ASIAN MOVIE PULSE ประกาศ 25 BEST
SOUTHEAST ASIAN FILMS OF 2025 ออกมาแล้ว
1. The
Fox King by Woo Ming Jin (Malaysia, A+30)
เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ SF
CENTRAL WORLD
2. Ikatan
Darah by Sidharta Tata (Indonesia)
3. Republic of
Pipolipinas by Renei Dimla (Philippines)
4. Riverstone
by Lalith Rathnayake (Sri Lanka)
5.On
Your Lap by Reza Rahadian (Indonesia)
6. Cinemartyrs
by Sari Dalena (Philippines)
เราเคยดู WHITE FUNERAL (1997, Sari
Dalena, A+30) ของผู้กำกับคนนี้ ตอนที่หนังเรื่องนั้นมาฉายที่สถาบันปรีดี
พนมยงค์ ซอยสุขุมวิท 55
7. Macai
by Sun-J Perumal (Malaysia)
8. A
Useful Ghost by Ratchapoom Boonbunchachoke (Thailand, A+30)
9. Human
Resource by Nawapol Thamrongrattanarit (Thailand)
10. Ky
Nam Inn by Leon Le (Vietnam, A+30)
เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ HOUSE
SAMYAN
11. Amoeba
by Siyou Tan (Singapore)
12. Spying
Stars by Vimukthi Jayasundara (Sri Lanka, A+25)
เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ SF
CENTRAL WORLD
13. Lilim
by Mikhail Red (Philippines)
เราเคยดู BIRDSHOT (2016, Mikhail Red,
A+30) ของผู้กำกับคนนี้
14. Panor
by Putipong Saisikaew (Thailand, A+30)
15. Flat
Girls by Jirassaya Wongsutin (Thailand, A+30)
16. Magellan
by Lav Diaz (Philippines, A+30)
เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ HOUSE
SAMYAN
17. Raging
by Ryan Machado (Philippines)
18. Hen by
Sinung Winahyoko (Indonesia)
19. Slave
Island by Jimmy Hendrickx and Jeremy Kewuan (Indonesia)
20. Dreamboi
by Rodina Singh (Philippines)
21. Sore:
A Wife from the Future by Yandy Laurens (Indonesia)
22. The
Waves Will Carry Us by Lau Kek-Huat (Malaysia)
อยากดูอย่างรุนแรงที่สุด เพราะเราเป็นแฟนคลับของ
Lau Kek-Huat
23. Dopamine
by Teddy Soeria Atmadja (Indonesia)
ชอบผู้กำกับคนนี้อย่างรุนแรงมาก เราเคยดูหนัง 2
เรื่องของเขา ซึ่งก็คือ LOVELY MAN (2011) กับ ABOUT
A WOMAN (2015)
24. The
Sleeping Beauty by Mattie Do (Laos)
อยากดูอย่างรุนแรง เพราะเราเป็นแฟนคลับของ Mattie
Do
25. The
Red Envelope by Chayanop Boonprakob (Thailand, A+15)
สรุปว่าใน 25 เรื่องนี้ เราเคยดูแค่ 8 เรื่อง
เหลือที่ยังไม่ได้ดูอีก 17 เรื่อง
+++++++
คำสาปของ CINEPHILES
ฟิล์มซิคเหมือนเพิ่งจะโดนคำสาปนี้ในปีนี้
ส่วนเราโดนคำสาปนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว คำสาปที่ว่าก็คือ “ทางเดียวที่จะเรามีเวลาเขียนถึงหนังที่เราได้ดู
นั่นก็คือเราต้องงดดูหนัง เพราะตราบใดที่เรายังคงดูหนัง
เราก็จะไม่มีเวลาเขียนถึงหนัง” 55555
เพราะเรามีเวลาไม่มากพอ เราต้องการเวลาทำงานหาเงิน,
พักผ่อน, ทำกิจธุระที่จำเป็น, ออกกำลังกาย, เลี้ยงลูกหมี, etc.
ในอดีตเมื่อราว 20 กว่าปีก่อนนั้น เราเคยมีเวลาว่างมากพอที่จะ
1. ดูหนัง
2. ดูละครเวที
3. ดูงานศิลปะตามแกลเลอรี่ต่าง ๆ
4. ฟังเพลง
5. เขียนถึงหนังเกือบทั้งหมดที่เราได้ดูลง
webboards + blog โดยในส่วนของหนังสั้นนั้น
อย่างน้อยเราก็ยังมีเวลาแปะชื่อหนัง+ชื่อผู้กำกับ+แปะระดับความชอบ (เกรด)
แต่ยิ่งเราแก่ตัวลง เราก็ยิ่งทำอะไรได้น้อยลงเรื่อย
ๆ เราก็เลยลด ละ เลิก กิจกรรมที่เราทำไม่ไหวตั้งแต่เข้าสู่ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา
แกลเลอรี่เราก็แทบไม่ได้ไป ยกเว้นนิทรรศการที่มี video installations ส่วนละครเวทีเราก็เลิกดูตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา
เพราะสังขารเราไม่เอื้ออำนวยอีกต่อไป
เหมือนปี 2011
น่าจะเป็นปีสุดท้ายที่เราแปะชื่อหนังสั้นที่เราได้ดูเกือบครบ ซึ่งก็เป็นเพราะว่าปีนั้นไทยเจอน้ำท่วมใหญ่ในช่วงปลายปี
เราก็เลย “มีเวลาว่างเหลือเยอะ” ก็เลยมีเวลาเขียนถึงหนังสั้นเยอะหน่อยในปีนั้น แต่หลังจากปี
2011 เวลาว่างของเราก็ดูเหมือนจะน้อยลงเรื่อย ๆ ในขณะที่สังขารของเราก็โรยรามากขึ้นเรื่อย
ๆ
และเราก็พบว่า ในที่สุดเราก็ต้องเลือก ว่าจะ “ดูหนัง”
หรือ “เขียนถึงหนัง” เราไม่มีเวลาในชีวิตเหลือพอที่จะทำทั้งสองอย่างได้อีกต่อไป เพราะว่าถ้าหากเรายังคงเน้นดูหนังที่เราอยากดูตามโรงภาพยนตร์หลาย
ๆ เรื่อง เราก็จะมีเวลาเขียนถึงหนังเพียงแค่ 1-10% ของที่เราได้ดูเท่านั้น
แต่ถ้าหากเราอยากจะเขียนถึงหนังที่เราได้ดู เราก็อาจจะต้องดูหนังเพียงแค่ 2
วันต่อสัปดาห์ แล้วอีก 5 วันที่เหลือเราถึงจะมีเวลาเขียนถึงหนัง อะไรทำนองนี้
อย่างในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนปีนี้ เราก็ดูหนังไปได้
169 เรื่อง แต่เพิ่งเขียนถึงไปแค่ 5 เรื่อง หรือ 3% เท่านั้น
และก็อาจจะไม่มีเวลาเขียนถึงอีก 164 เรื่องที่เราได้ดู นอกจากว่าเราจะต้องงดดูหนังทุกเรื่องในช่วงเวลา
3 เดือนข้างหน้า 55555
ก็เลยรู้สึกว่าเราเหมือนมี “ชีวิตต้องสาป”
เราต้องเลือกว่าจะดูหนัง หรือเขียนถึงหนัง และเราก็เลือกแล้วว่าเราขอดูหนังแล้วกัน
ส่วนการเขียนถึงหนังนั้น เราคงจะมีเวลาเขียนถึงเพียงแค่ 1% ของหนังที่เราได้ดูเท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้นก็ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ cinephiles
ทุกคนเขียนถึงหนังกันต่อไป เราขอเน้นอ่านสิ่งที่เพื่อน ๆ เขียนนะคะ
ส่วนดิฉันต้องคำสาปนี้มาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว และทำใจยอมรับได้แล้วว่า
ชีวิตเราก็เท่านี้แหละ แค่เราได้มีเวลาดูหนัง เราก็มีความสุขมากพอแล้ว
+++
เราชอบจำหนังเรื่องนี้สลับกับ MADAME
ROSA (1977, Moshe Mizrahi, France) ที่นำแสดงโดย Simone
Signoret แต่เรายังไม่เคยดูทั้งสองเรื่องนะ อยากให้มีคนจัดฉาย double
bill MADAME ROSA + MADAME SOUSATZKA มาก ๆ คนดูจะได้งงเล่น 555
No comments:
Post a Comment