Friday, December 26, 2025

CEMETERY CLEANING

 

เมื่อคืนฝันสนุกมาก พอตื่นมาแล้วเราเลยขอจดบันทึกความฝันไว้หน่อย

 

ในฝันคือเราเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนึง แล้วก็มีคนมาเล่าให้เราฟังว่า ในอดีตยุคของอ.ศิลป พีระศรี (1892-1962) นั้น ท่านเคยจ้างลูกมือที่เป็นศิลปินชาวอิตาเลียนจำนวนนึง เพื่อให้ช่วยท่านทำงานในไทย แต่ท่านไม่รู้ว่า ในบรรดาลูกมือชาวอิตาเลียนนั้น มีบางคนที่เป็น “พวกบูชาปีศาจ” ที่หนีการตามล่าของวาติกัน ด้วยการเดินทางมาทำงานในไทยในยุคนั้นด้วย (นึกถึงหนังของ Dario Argento, Mario Bava อะไรทำนองนี้)

 

ศิลปินลูกมือชาวอิตาเลียนกลุ่มนี้ ได้แอบนำของวิเศษสำหรับการบูชาปีศาจ, ปลุกปีศาจ, ขอพรจากปีศาจ ไปฝังไว้ในประติมากรรมบางชิ้น หรืองานศิลปะบางชิ้นในไทยด้วย แล้วคนที่เล่าเรื่องนี้ให้เราฟังก็ชวนเราไปเดินสำรวจในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพื่อหาว่า “ของวิเศษสำหรับปลุกปีศาจต่าง ๆ” ถูกฝังไว้ในจุดใดบ้างในพิพิธภัณฑ์ หรือถูกแอบซ่อนไว้ในงานศิลปะชิ้นใดบ้างในพิพิธภัณฑ์ เราก็เลยช่วยเขาค้นหา แต่ก็พบว่า เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นฝรั่งหนุ่มหล่อ 3 คน มีพิรุธแปลก ๆ เราก็เลยพยายามหนีเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์หนุ่มหล่อ 3 คนนี้ แล้วเราก็ตื่นขึ้นมา

 

ส่วนรูปประกอบนี้เป็นรูปของ “สัญลักษณ์ของปีศาจ 72 ตน”

 

+++

 

เก็บศพไร้ญาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2503 (1960, บุญเอก (ฮุย) วิวัฒนศร Boonake Wiwattanasorn, สร้างโดย สมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถาน จ.จันทบุรี, documentary, 137min, A+30)

 

เป็นหนังที่น่าจะมีคุณค่าทั้งในทางประวัติศาสตร์และมานุษยวิทยา เพราะหนังเรื่องนี้ได้บันทึกพิธีกรรมที่น่าสนใจของชาวจีนในชนบทของไทยเมื่อราว 60 กว่าปีก่อนเอาไว้ ซึ่งก็คืองานล้างป่าช้าในจังหวัดจันทบุรี หนังเรื่องนี้จึงถือเป็นการบันทึกสิ่งที่หาดูยากหลายอย่างเอาไว้ในเวลาเดียวกัน เพราะ

 

1.หนังเรื่องนี้บันทึก “พิธีล้างป่าช้า” และขั้นตอนต่าง ๆ ในพิธีอย่างละเอียด ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเห็นมาก่อนในภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะในภาพยนตร์เชิงพาณิชย์

 

2. หนังเรื่องนี้บันทึก “ภาพชาวจีนในไทยเมื่อ 60 กว่าปีก่อน” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากเช่นกัน โดยเฉพาะในภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ของไทยที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1950-1960 เพราะภาพยนตร์ไทยในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีตัวละครเชื้อสายจีนมากนัก

 

3.ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้บันทึกสภาพบ้านเรือนและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในจันทบุรีเมื่อราว 60 กว่าปีก่อนเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากอีกเช่นกัน

 

นอกจากนี้ สิ่งอื่น ๆ ที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็รวมถึงการได้เห็นบทบาทของพระในศาสนาพุทธ ทั้งในนิยายเถรวาทและในนิกายมหายาน ในพิธีกรรมเดียวกัน

 

และอีกสิ่งที่น่าสนใจมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ gaze ของหนังที่มีต่อ “ศพมนุษย์” ซึ่งเป็น gaze ที่มองศพมนุษย์ราวกับว่าเป็น “สิ่งธรรมดาตามธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แตกต่างจาก gaze ที่มองศพมนุษย์ในภาพเคลื่อนไหวแบบอื่น ๆ ที่เรามักพบเห็นกันในยุคปัจจุบัน อย่างเช่น ใน “คลิปข่าว” ที่อาจนำเสนอภาพศพมนุษย์พร้อมด้วย “ความรู้สึกเศร้าใจ” หรือ “ความรู้สึกสะเทือนใจ” และใน “ภาพยนตร์สยองขวัญ” ที่อาจนำเสนอภาพศพมนุษย์ปลอมพร้อมด้วย “ความรู้สึกขยะแขยง”, “ความรู้สึกน่ารังเกียจ” หรือ “ความรู้สึกหวาดกลัว”

+++++

 

ตอนดูหนังเรื่องนี้เราจะนึกถึง “สติแตกสุดขั้วโลก” (1995, Poj Arnon, A+30) อย่างรุนแรง เหมือนพชร์ อานนท์ย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้นของตนเองอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปนาน 30 ปี เพราะหนังเรื่องนั้นก็เป็นการทะลุมิติข้ามกันไปมาระหว่าง “โลกละครจีนยุคโบราณ” กับ “โลกยุคปัจจุบัน” เหมือนกัน แต่เราอาจจะชอบ “สติแตกสุดขั้วโลก” มากกว่า เพราะว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนั้นคือความหล่อสุดขีดของจอห์น ดีแลน, อัษฎา พานิชกุล และแอนดริว เกรกสัน 55555

++++

 

เห็นหอภาพยนตร์จะฉายหนังเรื่อง “เสียงซึงที่สันทราย” (1980, ประวิทย์ ชุ่มฤทธิ์) เราก็สงสัยว่า เราเคยดูหนังเรื่องนี้แล้วหรือยัง เพราะชื่อหนังมันคุ้นๆ ยังไงชอบกล เราก็เลยลองเช็คข้อมูลดู แล้วก็พบว่า หนังที่เราเคยดูคือ “ดอกไม้ร่วงที่แม่ริม” (1979, ประวิทย์ ชุ่มฤทธิ์) ส่วน “เสียงซึงที่สันทราย” นั้น เราน่าจะยังไม่เคยดู

 

ส่วนละครโทรทัศน์เรื่อง “เดือนดับที่สบทา” นั้น เราก็ยังไม่เคยดูเหมือนกัน

No comments: