เมื่อคืนฝันสนุกมาก
พอตื่นมาแล้วเราเลยขอจดบันทึกความฝันไว้หน่อย
ในฝันคือเราเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนึง
แล้วก็มีคนมาเล่าให้เราฟังว่า ในอดีตยุคของอ.ศิลป พีระศรี (1892-1962) นั้น ท่านเคยจ้างลูกมือที่เป็นศิลปินชาวอิตาเลียนจำนวนนึง
เพื่อให้ช่วยท่านทำงานในไทย แต่ท่านไม่รู้ว่า ในบรรดาลูกมือชาวอิตาเลียนนั้น
มีบางคนที่เป็น “พวกบูชาปีศาจ” ที่หนีการตามล่าของวาติกัน
ด้วยการเดินทางมาทำงานในไทยในยุคนั้นด้วย (นึกถึงหนังของ Dario Argento,
Mario Bava อะไรทำนองนี้)
ศิลปินลูกมือชาวอิตาเลียนกลุ่มนี้
ได้แอบนำของวิเศษสำหรับการบูชาปีศาจ, ปลุกปีศาจ, ขอพรจากปีศาจ
ไปฝังไว้ในประติมากรรมบางชิ้น หรืองานศิลปะบางชิ้นในไทยด้วย
แล้วคนที่เล่าเรื่องนี้ให้เราฟังก็ชวนเราไปเดินสำรวจในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
เพื่อหาว่า “ของวิเศษสำหรับปลุกปีศาจต่าง ๆ” ถูกฝังไว้ในจุดใดบ้างในพิพิธภัณฑ์
หรือถูกแอบซ่อนไว้ในงานศิลปะชิ้นใดบ้างในพิพิธภัณฑ์ เราก็เลยช่วยเขาค้นหา
แต่ก็พบว่า เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นฝรั่งหนุ่มหล่อ 3 คน มีพิรุธแปลก
ๆ เราก็เลยพยายามหนีเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์หนุ่มหล่อ 3 คนนี้ แล้วเราก็ตื่นขึ้นมา
ส่วนรูปประกอบนี้เป็นรูปของ “สัญลักษณ์ของปีศาจ
72 ตน”
+++
เก็บศพไร้ญาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ.
2503 (1960, บุญเอก (ฮุย) วิวัฒนศร Boonake
Wiwattanasorn, สร้างโดย สมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถาน จ.จันทบุรี, documentary, 137min, A+30)
เป็นหนังที่น่าจะมีคุณค่าทั้งในทางประวัติศาสตร์และมานุษยวิทยา
เพราะหนังเรื่องนี้ได้บันทึกพิธีกรรมที่น่าสนใจของชาวจีนในชนบทของไทยเมื่อราว 60
กว่าปีก่อนเอาไว้ ซึ่งก็คืองานล้างป่าช้าในจังหวัดจันทบุรี
หนังเรื่องนี้จึงถือเป็นการบันทึกสิ่งที่หาดูยากหลายอย่างเอาไว้ในเวลาเดียวกัน
เพราะ
1.หนังเรื่องนี้บันทึก “พิธีล้างป่าช้า”
และขั้นตอนต่าง ๆ ในพิธีอย่างละเอียด
ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเห็นมาก่อนในภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ
โดยเฉพาะในภาพยนตร์เชิงพาณิชย์
2. หนังเรื่องนี้บันทึก “ภาพชาวจีนในไทยเมื่อ 60
กว่าปีก่อน” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากเช่นกัน
โดยเฉพาะในภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ของไทยที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1950-1960 เพราะภาพยนตร์ไทยในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีตัวละครเชื้อสายจีนมากนัก
3.ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้บันทึกสภาพบ้านเรือนและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในจันทบุรีเมื่อราว
60 กว่าปีก่อนเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากอีกเช่นกัน
นอกจากนี้ สิ่งอื่น ๆ
ที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็รวมถึงการได้เห็นบทบาทของพระในศาสนาพุทธ
ทั้งในนิยายเถรวาทและในนิกายมหายาน ในพิธีกรรมเดียวกัน
และอีกสิ่งที่น่าสนใจมากในภาพยนตร์เรื่องนี้
ก็คือ gaze ของหนังที่มีต่อ “ศพมนุษย์” ซึ่งเป็น gaze
ที่มองศพมนุษย์ราวกับว่าเป็น “สิ่งธรรมดาตามธรรมชาติ
เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แตกต่างจาก gaze ที่มองศพมนุษย์ในภาพเคลื่อนไหวแบบอื่น ๆ ที่เรามักพบเห็นกันในยุคปัจจุบัน
อย่างเช่น ใน “คลิปข่าว” ที่อาจนำเสนอภาพศพมนุษย์พร้อมด้วย “ความรู้สึกเศร้าใจ”
หรือ “ความรู้สึกสะเทือนใจ” และใน “ภาพยนตร์สยองขวัญ”
ที่อาจนำเสนอภาพศพมนุษย์ปลอมพร้อมด้วย “ความรู้สึกขยะแขยง”,
“ความรู้สึกน่ารังเกียจ” หรือ “ความรู้สึกหวาดกลัว”
+++++
ตอนดูหนังเรื่องนี้เราจะนึกถึง “สติแตกสุดขั้วโลก”
(1995, Poj Arnon, A+30) อย่างรุนแรง เหมือนพชร์
อานนท์ย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้นของตนเองอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปนาน 30 ปี
เพราะหนังเรื่องนั้นก็เป็นการทะลุมิติข้ามกันไปมาระหว่าง “โลกละครจีนยุคโบราณ” กับ
“โลกยุคปัจจุบัน” เหมือนกัน แต่เราอาจจะชอบ “สติแตกสุดขั้วโลก” มากกว่า
เพราะว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนั้นคือความหล่อสุดขีดของจอห์น ดีแลน, อัษฎา พานิชกุล
และแอนดริว เกรกสัน 55555
++++
เห็นหอภาพยนตร์จะฉายหนังเรื่อง “เสียงซึงที่สันทราย”
(1980, ประวิทย์ ชุ่มฤทธิ์) เราก็สงสัยว่า เราเคยดูหนังเรื่องนี้แล้วหรือยัง
เพราะชื่อหนังมันคุ้นๆ ยังไงชอบกล เราก็เลยลองเช็คข้อมูลดู แล้วก็พบว่า
หนังที่เราเคยดูคือ “ดอกไม้ร่วงที่แม่ริม” (1979, ประวิทย์ ชุ่มฤทธิ์) ส่วน “เสียงซึงที่สันทราย”
นั้น เราน่าจะยังไม่เคยดู
ส่วนละครโทรทัศน์เรื่อง “เดือนดับที่สบทา” นั้น
เราก็ยังไม่เคยดูเหมือนกัน
No comments:
Post a Comment