Thursday, December 25, 2025

YOUR ASH & MY BONE

 

เหมือนปีนี้เราแทบไม่ได้ยินเพลง ALL I WANT FOR CHRISTMAS IS YOU ของ Mariah Carey เปิดตามห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพเลยนะ คือปีนี้เราได้ยินเพลงนี้แค่ครั้งเดียวตอนเราไปเดินห้าง CENTURY ตรงอนุสาวรีย์ชัยเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ ยังได้ยินเพลงนี้เปิดตามห้างในกรุงเทพอยู่หรือเปล่า

 

ส่วนรูปนี้มาจากมิวสิควิดีโอเพลง WEAK (1993) ของ SWV ที่เราได้ยินในห้างพารากอนเมื่อไม่กี่วันก่อน พอเราได้ยินเพลงนี้ในห้างสรรพสินค้า เราก็เลยต้องกลับมาฟังเพลงนี้อีกครั้งด้วยความคิดถึง อดีตเมื่อ 32 ปีก่อนมันช่างงดงามจริง ๆ

https://youtu.be/976b8TPPFJU?si=m8o9u95b7W4MUKvJ

++++

 

เห็นคนเขาเล่นพิมพ์ ๆ อะไรกันที่เครื่องนี้ในนิทรรศการ CAN’T WE RECANT? เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เราก็เลยไปลองพิมพ์เล่น ๆ ด้วย โดยไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันคือ Chat Bot ที่สร้างขึ้นมาจากบทความของคุณพ่อของศิลปิน (Sina Wittayawiroj)

 

พอเราได้รู้แบบนี้แล้ว เราก็เลยสงสัยว่า มันมี Chat Bot ที่สร้างจากงานเขียนของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วคนอื่น ๆ หรือเปล่านะ เพราะเราไม่ได้ตามข่าวคราวความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอะไรแบบนี้เลย อยากให้มีคนสร้าง Chat Bot จากงานเขียนของ

 

1. Karl Marx

 

2. ทมยันตี

 

3. ไม้หนึ่ง ก.กุนที

 

4. Susan Sontag

 

5. Marguerite Duras

 

อะไรทำนองนี้ เผื่อถ้าหากเรามีปัญหาอะไร เราจะได้ลองถามความเห็นของ Duras ดูเล่น ๆ ได้ หรือถ้าหากเราเกลียดใคร เราก็ไปด่า Chat Bot ของคนคนนั้นได้ เพื่อเป็นการระบายอารมณ์

 

++++++

 

พอเราได้อ่านที่ชามดองเขียน เราก็เลยจะบอกว่า วิดีโอคอมเมนต์นี่มันมีประโยชน์กับตัวเราเองอย่างรุนแรงมาก ๆ เลยนะ เมื่อเวลาผ่านไป เพราะอย่างล่าสุดนี้ ตอนที่เราเขียนถึงหนังเรื่อง ตาโขน THE CURSED MASK (2025, Puwadon Naosopa, A+30) เราก็ได้เขียนพาดพิงถึงผลงานเก่า ๆ ของคุณทศพร เหรียญทอง ผู้เขียนบทของ “ตาโขน” ด้วย ซึ่งรวมถึงหนังเรื่อง MY BEST FRIEND เพื่อน (2009, Tossaphon Riantong, 25min) 

 

แล้วพอเราเขียนถึงประเด็นนี้ เราก็เลยพบว่า เราจำ “รายละเอียดเนื้อเรื่อง” ของหนังเรื่อง “เพื่อน” ไม่ได้แล้ว เราก็เลย google หาว่า มีใครเขียนถึงหนังเรื่อง “เพื่อน” ของคุณทศพรเอาไว้บ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเขียนถึงเลย

 

คือจริง ๆ แล้วคงมีคนเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ใน exteen blogs อยู่บ้าง และอาจจะมีเขียนไว้ใน webboards ต่าง ๆ ด้วย เพราะว่า Thai cinephiles หลายคนใช้ exteen blog ในปี 2009 และพวกเราก็มักจะพูดคุยกันในเว็บบอร์ดต่าง ๆ แต่พอ exteen blog มันเจ๊งไป และ webboards ต่าง ๆ เจ๊งไป (โดยเฉพาะ BIOSCOPE WEBBOARD) ข้อมูลเหล่านี้เลยหายสาบสูญไปหมดเลย น่าเสียดายที่สุด

 

ส่วนเราก็จดไว้แค่เพียงว่า เราได้ดูหนังเรื่อง “เพื่อน” ในวันที่ 23 ก.ค. 2009 เราก็เลยลองเข้าไปดูใน VDO COMMENT ของงานหนังสั้นมาราธอนประจำวันที่ 23 ก.ค. 2009 แล้วก็ปรากฏว่ามีคุณวิชชา สุยะรา พูดถึงหนังเรื่อง “เพื่อน” ของคุณทศพรเอาไว้ด้วย

 

เราก็เลยพบว่า VDO COMMENT ของงานหนังสั้นมาราธอนนี่มันทรงคุณค่ามหาศาลสำหรับเราจริง ๆ เพราะว่าหนังเรื่อง “เพื่อน” ได้ฉายไปในปี 2009 และก็คงมีคนเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ในปี 2009 แต่พอ exteen blog เจ๊ง, Bioscope Webboard เจ๊ง, webboards ต่าง ๆ เจ๊ง มันก็เลยเหลือแค่ VDO COMMENT นี่แหละ ที่ช่วยบันทึก “ความเห็น, อารมณ์, ความรู้สึกของผู้ชม” ที่มีต่อหนังไทยหลายเรื่องในปี 2009 เอาไว้ได้อย่างอยู่ยั้งยืนยงตลอดช่วง 16 ปีที่ผ่านมา กราบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

++++

 

TRIPLE BILL FILM WISH LIST

 

YOUR ASH & MY BONE ธุลีดาว (2025, Sina Wittayawiroj, documentary, 110min, A+30)

+ DIRECTOR’S DIARY (2025, Alexander Sokurov, Russia, documentary, 5hrs 5mins, A+30)

+ I A PIXEL, WE THE PEOPLE (2025, Chulayarnnon Siriphol, video installation, 24hrs, A+30)

 

1. เราได้ดู YOUR ASH & MY BONE เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พอดูแล้วก็เลยนึกถึง DIRECTOR’S DIARY กับ I A PIXEL, WE THE PEOPLE มาก ๆ เพราะหนังทั้ง 3 เรื่องทำหน้าที่เป็นทั้ง “ไดอารี่ของผู้กำกับภาพยนตร์ และบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศชาติ” ควบคู่ไปด้วยกันทั้ง 3 เรื่องเลย

 

โดย YOUR ASH & MY BONE นั้น พูดถึงประวัติชีวิตของตัวผู้กำกับ, ประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา, ผลกระทบโดยตรงที่ตัวผู้กำกับได้รับจาก “การเมืองไทย” และผลงานศิลปะต่าง ๆ ที่น่าสนใจและที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

 

ส่วน DIRECTOR’S DIARY นั้น จริง ๆ แล้วตัวโซคูรอฟแทบไม่ได้พูดถึงชีวิตส่วนตัวของตัวเองเลย หนังที่มีความยาว 5 ชั่วโมงเรื่องนี้เน้นนำเสนอข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1957-1991 โดยเน้นไปที่ข่าวการเมืองโลก, ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในโซเวียต ตั้งแต่ยุคของ Nikita Khrushchev, Leonid Brezhnev, Mikhail Gorbachev เรื่อยมาจนถึง Boris Yeltsin, ความเคลื่อนไหวทางภาพยนตร์ในโซเวียต, คลิปต่าง ๆ จากเมืองเลนินกราด และข่าวเครื่องบินตก + ยานอวกาศ

 

ส่วน I A PIXEL, WE THE PEOPLE นั้น พูดถึงทั้งประวัติชีวิตส่วนตัวของครอบครัวของผู้กำกับ ตั้งแต่ชีวิตของคุณตาของผู้กำกับ, ของคนรุ่นพ่อแม่, ของตัวเข้เอง และเรื่อยมาจนถึงรุ่นลูกของเข้ และวิดีโอนี้ก็พูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ยุค 2475 (1932) เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน และก็มีพูดถึงปัญหาด้านการเรียนการสอนวิชาภาพยนตร์ในไทย และความประสาทแดกต่าง ๆ ในวงการศิลปะไทยด้วย

 

เราก็เลยชอบมากที่หนังเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นทั้งบันทึกประวัติศาสตร์ส่วนตัว (ยกเว้น DIRECTOR’S DIARY) และประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศชาติไปด้วยในเวลาเดียวกัน

 

2. เราชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้ในจุดที่แตกต่างกันไป โดยในส่วนของ YOUR ASH & MY BONE นั้น เราชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ ทั้งในส่วนของประวัติชีวิตส่วนตัวของผู้กำกับ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ George Soros, ผลกระทบอย่างรุนแรงที่ตัวผู้กำกับได้รับจากการเมืองไทยหลังรัฐประหารในปี 2014 และข้อมูลเรื่องงานศิลปะต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วงราว 30 ปีที่ผ่านมา

 

ในส่วนของประวัติชีวิตส่วนตัวของตัวผู้กำกับนั้น เราชอบมาก ๆ ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วหนังไทยจำนวนมาก (โดยเฉพาะหนังสั้น) ก็มีการถ่ายทอด “ชีวิตของผู้กำกับและครอบครัว” ออกมาเหมือน ๆ กัน คือในแง่ “ประเด็นเรื่อง ชีวิตของผู้กำกับและครอบครัว” นั้น มันไม่ใช่ประเด็นที่แปลกใหม่ มันซ้ำกับหนังสั้นไทยจำนวนมาก แต่ “รายละเอียดของเนื้อหา” ของหนังเหล่านี้มันไม่ซ้ำกันเลย เพราะชีวิตมนุษย์แต่ละคนมันมีรายละเอียดแตกต่างกันมากมายในตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหากผู้กำกับคนไหนกล้าเปลือยชีวิตตนเองจริง ๆ ออกมา มันก็จะทำให้เนื้อหาของหนังเรื่องนั้นแตกต่างไปจากเรื่องอื่น ๆ โดยอัตโนมัติ อย่างเช่นในเรื่องนี้เราจะสะดุดตากับประเด็นเรื่อง George Soros มากเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยถูกพูดถึงในหนังไทยเรื่องอื่น ๆ

 

ประเด็นเรื่องผลกระทบที่ผู้กำกับได้รับจากรัฐประหารปี 2014 นั้นก็เจ็บปวดมาก ๆ เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย และมันก็ทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาที่เราเคยคิดจะฆ่าตัวตายในช่วงกลางปี 2014 ด้วย

 

เราจำได้ด้วยว่า เราเคยชอบผลงาน animation เรื่อง FABLES (2012, Sina Wittayawiroj) มาก ๆ แต่หลังจากนั้นเราก็แทบไม่เคยได้ดูผลงานของคุณ Sina อีกเลย พอมาดูหนังเรื่องนี้เราก็เลยถึงได้เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่ค่อยได้เห็นชื่อของคุณ Sina อยู่ระยะนึงในช่วงหลังปี 2014

 

ส่วนประเด็นเรื่องผลงานศิลปะต่าง ๆ ที่น่าสนใจ (อย่างเช่นงาน WANTANEE RETROSPECTIVE) และผลงานศิลปะต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วงเวลาราว 30 ปีที่ผ่านมานั้น ถือเป็นประเด็นที่เราชอบสุดขีด เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะทั้งนำเสนอข้อมูลและตั้งคำถามที่น่าสนใจต่องานศิลปะเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เราว่าประเด็นนี้มัน unique มาก ๆ  ด้วย เพราะว่าเราไม่เคยเห็นประเด็นนี้ถูกพูดถึงมาก่อนเลยในหนังไทย ถึงแม้มีการผลิตหนังไทยออกมาราว 700 เรื่องต่อปีในงานหนังสั้นมาราธอน 

 

3. ส่วนประเด็นเรื่อง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ทศวรรษ 1980” เป็นต้นมา ใน YOUR ASH & MY BONE นั้น เราก็ชอบมาก ๆ เหมือนกัน แต่อาจจะเป็นส่วนที่เราชอบน้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ของหนังเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นประเด็นที่เราพอจะรู้อยู่บ้างแล้ว และมันก็เป็นประเด็นที่ไม่ได้แตกต่างมากนักจากหนังสั้นไทยบางเรื่อง

 

แต่ไม่ใช่ว่าส่วนนี้มันไม่สำคัญนะ มันสำคัญที่สุด สำคัญมาก ๆ ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าหากหนังเรื่องนี้ต้องการสื่อสารกับคนในวงกว้าง (ซึ่งรวมถึงสื่อสารกับเด็ก ๆ รุ่นใหม่ และคนที่ไม่ได้ตามดูหนังสั้นไทย)  เพียงแต่ว่าโดยส่วนตัวแล้ว เราชอบส่วนอื่น ๆ ของหนังเรื่องนี้มากกว่าเท่านั้นเองจ้ะ

 

ยกตัวอย่างเช่น เราเดาว่าผู้ชมหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้อาจจะเกิดไม่ทันยุคพฤษภาทมิฬปี 1992 ส่วนเรานั้นเกิดปี 1973 เพราะฉะนั้นเรื่องเหตุการณ์ในปี 1992 ก็เลยเป็นเรื่องที่เราพอรู้ ๆ อยู่บ้างแล้ว อะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้ใส่ประเด็นเรื่องปี 1992 เข้ามาในหนัง เพราะเราว่าส่วนนี้มันมีประโยชน์มาก ๆ ๆ ต่อผู้ชมคนอื่น ๆ และมันก็กระตุ้นให้เรารำลึกถึงอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา, ครอบครัวเรา และเพื่อน ๆ ของเราในปี 1992 ด้วย เพียงแต่ว่าส่วนนี้ของหนังอาจจะไม่ได้ “ให้ข้อมูลใหม่” กับเราเท่านั้นเองจ้ะ

 

4. พอเราเอา YOUR ASH & MY BONE ไปเทียบกับ DIRECTOR’S DIARY และ I A PIXEL, WE THE PEOPLE แล้ว เราก็รู้สึกว่า จุดแข็งของ YOUR ASH & MY BONE ก็คือ

 

4.1 หนังเรื่องนี้ “เป็นมิตรต่อผู้ชมในวงกว้าง” มากที่สุดเมื่อเทียบกับหนังอีก 2 เรื่องในกลุ่ม เพราะหนังเรื่องนี้มีความยาวเพียงแค่ 110 นาที, หนังเรื่องนี้มีการสื่อสารกับผู้ชมอย่าง “ตรงไปตรงมา” และหนังมีการให้ข้อมูลเรื่องการเมืองไทยในแบบที่ครบถ้วน เข้าใจง่าย คือเราว่าผู้ชมชาวต่างชาติที่ไม่มีความรู้มากนักเรื่องการเมืองไทย หรือเด็กไทยรุ่นใหม่ ๆ ที่อาจจะไม่มีความรู้เรื่องทศวรรษ 1980-1990 ก็สามารถติดตามทำความเข้าใจกับหนังเรื่องนี้ได้โดยง่าย

 

4.2 หนังเรื่องนี้น่าจะ “กระตุ้นผู้ชม” ในเรื่องจิตสำนึกทางการเมืองได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับหนังอีก 2 เรื่องในกลุ่ม ซึ่งนี่ก็น่าจะเป็นจุดประสงค์ของผู้กำกับอยู่แล้ว เพราะหนังมีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และเหมือนเป็นการระบายออก + จดบันทึกทางการเมือง

 

5. เราว่า YOUR ASH & MY BONE กับ I A PIXEL, WE THE PEOPLE นั้น สามารถเปรียบเทียบกันได้หลายแง่ อย่างเช่น

 

5.1 หนังทั้งสองเรื่องเอาชีวิตของผู้กำกับ+ครอบครัว กับประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาผสมเข้าด้วยกัน แต่ YOUR ASH & MY BONE ยาว 110 นาที, พูดถึงคนสองรุ่น และพูดเน้นช่วงทศวรรษ 1980-2020 ส่วน I A PIXEL, WE THE PEOPLE ยาว 1440 นาที, พูดถึงคน 4 รุ่น และพูดถึงปี 1932-2025

 

ด้วยเหตุนี้แหละ เราก็เลยรู้สึกว่า YOUR ASH & MY BONE เป็นหนังที่เหมาะสำหรับผู้ชมในวงกว้าง มันเหมือน  “คั้นมาแต่หัวกะทิ” ส่วน I A PIXEL, WE THE PEOPLE นั้นเหมือนให้เราเห็น “ต้นมะพร้าวทั้งสวน” 55555 ซึ่งเราก็ชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้ตรงที่มันแตกต่างกันมาก ๆ ในจุดนี้ด้วยนี่แหละ คือแต่ละเรื่องมันก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป

 

 

5.2 หนังทั้งสองเรื่องเป็น “ส่วนหนึ่งของนิทรรศการศิลปะ” เหมือน ๆ กัน

 

5.3 เรารู้สึกว่าหนังทั้งสองเรื่อง “สะท้อนความไม่พอใจต่อการเมืองไทย” เหมือน ๆ กัน แต่เรารู้สึกว่า YOUR ASH & MY BONE ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เห็น “ใบหน้าแห่งความโกรธ หรือความเจ็บปวด” ของตัวผู้กำกับ แต่ I A PIXEL, WE THE PEOPLE ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เห็น “ใบหน้าแสยะยิ้ม” ของตัวผู้กำกับ 555555

 

6. ในส่วนของ DIRECTOR’S DIARY ของ Sokurov นั้น เราชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลมากมายมหาศาลที่เราแทบไม่เคยรู้มาก่อนเลย โดยเฉพาะเรื่องของครุชเชฟและเบรซเนฟ, เรื่องของหนังทำเงินต่าง ๆ ในสหภาพโซเวียต, เรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ ในโซเวียต

 

คือเหมือนพอเราเป็นคนไทย เราก็เคยได้ยินแต่เรื่องของเลนิน, สตาลิน และกอร์บาชอฟเป็นหลักน่ะ ส่วนครุชเชฟและเบรซเนฟนี่ถูกพูดถึงในโลกภาพยนตร์น้อยมาก ๆ และหนังโซเวียตที่เรารู้จัก ก็มีแต่หนังของ Tarkovsky, Eisenstein, Dziga Vertov, Alexander Dovzhenko, Vsevolod Pudovkin หรือผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องในวงการหนัง arthouse แต่เราแทบไม่เคยรู้จัก “หนังทำเงิน” ของสหภาพโซเวียตมาก่อนเลย

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยสงสัยว่า บางทีถ้าหากผู้ชมหนังเรื่อง DIRECTOR’S DIARY เป็นชาวรัสเซียอายุ 70-80 ปี เขาก็อาจจะรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ “แทบไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ ๆ กับเขา” เลยก็ได้

 

แต่พอดีเราเป็นคนไทยอายุ 52 ปี เราก็เลยชอบสุดขีดที่หนังเรื่อง DIRECTOR’S DIARY อัดแน่นไปด้วยข้อมูลมหาศาลที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เกือบตลอด 5 ชั่วโมงเต็มของหนัง

 

สิ่งนึงที่เรารู้สึกฮาโดยไม่ได้ตั้งใจก็คือว่า DIRECTOR’S DIARY นั้น เหมือนจะพูดผ่าน ๆ ถึง “เหตุการณ์เชอร์โนบิล” ในช่วงท้าย ๆ ของหนัง ส่วน YOUR ASH & MY BONE นั้น พูดถึง “เหตุการณ์เชอร์โนบิล” ในช่วงต้นของหนัง เพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนกับว่า YOUR ASH & MY BONE มารับไม้ต่อจาก DIRECTOR’S DIARY ได้อย่างพอดิบพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

6. สรุปว่าเราชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้อย่างสุดขีดทั้ง 3 เรื่อง แต่อาจจะชอบในแบบที่แตกต่างกันไป

 

6.1 เราชอบ DIRECTOR’S DIARY อย่างสุดขีด เพราะหนังเรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลต่าง ๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับโซเวียต และเต็มไปด้วยคลิปข่าวที่เราไม่เคยดูมาก่อน เกือบตลอดเวลา 5 ชั่วโมงเต็มของหนัง

 

6.2 เราชอบหลาย ๆ ประเด็นใน YOUR ASH & MY BONE โดยเฉพาะเรื่องชีวิตของผู้กำกับและผลงานศิลปะที่ได้รับการยกย่องในไทย และเราชอบ “พลังผลักดันทางการเมืองอย่างรุนแรง” ที่ปะทุออกมาจากหนังเรื่องนี้

 

6.3 เราชอบ “ความรู้สึกอันมหาศาลที่ยากจะอธิบายได้” ที่ได้รับจากการดู I A PIXEL, WE THE PEOPLE โดยเฉพาะความรู้สึกที่ว่า “เราเป็นประชาชนคนหนึ่ง เราอาจจะมีเพียงแค่เสียงเดียว แต่เรารู้สึกว่าเรา “ได้ถูกนับรวม” ในหนังเรื่องนี้”

 

No comments: