เหมือนปีนี้เราแทบไม่ได้ยินเพลง ALL I
WANT FOR CHRISTMAS IS YOU ของ Mariah Carey เปิดตามห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพเลยนะ
คือปีนี้เราได้ยินเพลงนี้แค่ครั้งเดียวตอนเราไปเดินห้าง CENTURY ตรงอนุสาวรีย์ชัยเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ
ยังได้ยินเพลงนี้เปิดตามห้างในกรุงเทพอยู่หรือเปล่า
ส่วนรูปนี้มาจากมิวสิควิดีโอเพลง WEAK
(1993) ของ SWV ที่เราได้ยินในห้างพารากอนเมื่อไม่กี่วันก่อน
พอเราได้ยินเพลงนี้ในห้างสรรพสินค้า เราก็เลยต้องกลับมาฟังเพลงนี้อีกครั้งด้วยความคิดถึง
อดีตเมื่อ 32 ปีก่อนมันช่างงดงามจริง ๆ
https://youtu.be/976b8TPPFJU?si=m8o9u95b7W4MUKvJ
++++
เห็นคนเขาเล่นพิมพ์ ๆ อะไรกันที่เครื่องนี้ในนิทรรศการ
CAN’T WE RECANT? เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เราก็เลยไปลองพิมพ์เล่น
ๆ ด้วย โดยไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันคือ Chat Bot ที่สร้างขึ้นมาจากบทความของคุณพ่อของศิลปิน (Sina Wittayawiroj)
พอเราได้รู้แบบนี้แล้ว เราก็เลยสงสัยว่า มันมี Chat
Bot ที่สร้างจากงานเขียนของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วคนอื่น ๆ
หรือเปล่านะ เพราะเราไม่ได้ตามข่าวคราวความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอะไรแบบนี้เลย
อยากให้มีคนสร้าง Chat Bot จากงานเขียนของ
1. Karl Marx
2. ทมยันตี
3. ไม้หนึ่ง ก.กุนที
4. Susan Sontag
5. Marguerite Duras
อะไรทำนองนี้ เผื่อถ้าหากเรามีปัญหาอะไร
เราจะได้ลองถามความเห็นของ Duras ดูเล่น ๆ ได้
หรือถ้าหากเราเกลียดใคร เราก็ไปด่า Chat Bot ของคนคนนั้นได้
เพื่อเป็นการระบายอารมณ์
++++++
พอเราได้อ่านที่ชามดองเขียน เราก็เลยจะบอกว่า
วิดีโอคอมเมนต์นี่มันมีประโยชน์กับตัวเราเองอย่างรุนแรงมาก ๆ เลยนะ เมื่อเวลาผ่านไป
เพราะอย่างล่าสุดนี้ ตอนที่เราเขียนถึงหนังเรื่อง ตาโขน THE CURSED
MASK (2025, Puwadon Naosopa, A+30) เราก็ได้เขียนพาดพิงถึงผลงานเก่า
ๆ ของคุณทศพร เหรียญทอง ผู้เขียนบทของ “ตาโขน” ด้วย ซึ่งรวมถึงหนังเรื่อง MY
BEST FRIEND เพื่อน (2009, Tossaphon Riantong, 25min)
แล้วพอเราเขียนถึงประเด็นนี้ เราก็เลยพบว่า
เราจำ “รายละเอียดเนื้อเรื่อง” ของหนังเรื่อง “เพื่อน” ไม่ได้แล้ว เราก็เลย google
หาว่า มีใครเขียนถึงหนังเรื่อง “เพื่อน” ของคุณทศพรเอาไว้บ้าง
แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเขียนถึงเลย
คือจริง ๆ แล้วคงมีคนเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ใน
exteen blogs อยู่บ้าง และอาจจะมีเขียนไว้ใน webboards
ต่าง ๆ ด้วย เพราะว่า Thai cinephiles หลายคนใช้
exteen blog ในปี 2009 และพวกเราก็มักจะพูดคุยกันในเว็บบอร์ดต่าง
ๆ แต่พอ exteen blog มันเจ๊งไป และ webboards ต่าง ๆ เจ๊งไป (โดยเฉพาะ BIOSCOPE WEBBOARD) ข้อมูลเหล่านี้เลยหายสาบสูญไปหมดเลย
น่าเสียดายที่สุด
ส่วนเราก็จดไว้แค่เพียงว่า เราได้ดูหนังเรื่อง “เพื่อน”
ในวันที่ 23 ก.ค. 2009 เราก็เลยลองเข้าไปดูใน VDO COMMENT ของงานหนังสั้นมาราธอนประจำวันที่
23 ก.ค. 2009 แล้วก็ปรากฏว่ามีคุณวิชชา สุยะรา พูดถึงหนังเรื่อง “เพื่อน” ของคุณทศพรเอาไว้ด้วย
เราก็เลยพบว่า VDO COMMENT ของงานหนังสั้นมาราธอนนี่มันทรงคุณค่ามหาศาลสำหรับเราจริง ๆ เพราะว่าหนังเรื่อง
“เพื่อน” ได้ฉายไปในปี 2009 และก็คงมีคนเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ในปี 2009 แต่พอ
exteen blog เจ๊ง, Bioscope Webboard เจ๊ง, webboards
ต่าง ๆ เจ๊ง มันก็เลยเหลือแค่ VDO COMMENT นี่แหละ
ที่ช่วยบันทึก “ความเห็น, อารมณ์, ความรู้สึกของผู้ชม” ที่มีต่อหนังไทยหลายเรื่องในปี
2009 เอาไว้ได้อย่างอยู่ยั้งยืนยงตลอดช่วง 16 ปีที่ผ่านมา
กราบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
++++
TRIPLE BILL FILM WISH LIST
YOUR ASH & MY BONE ธุลีดาว (2025,
Sina Wittayawiroj, documentary, 110min, A+30)
+ DIRECTOR’S DIARY (2025, Alexander
Sokurov, Russia, documentary, 5hrs 5mins, A+30)
+ I A PIXEL, WE THE PEOPLE (2025,
Chulayarnnon Siriphol, video installation, 24hrs, A+30)
1. เราได้ดู YOUR ASH & MY BONE เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พอดูแล้วก็เลยนึกถึง DIRECTOR’S DIARY กับ I A PIXEL, WE THE PEOPLE มาก ๆ เพราะหนังทั้ง 3
เรื่องทำหน้าที่เป็นทั้ง “ไดอารี่ของผู้กำกับภาพยนตร์ และบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศชาติ”
ควบคู่ไปด้วยกันทั้ง 3 เรื่องเลย
โดย YOUR ASH & MY BONE นั้น พูดถึงประวัติชีวิตของตัวผู้กำกับ, ประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ
1980 เป็นต้นมา, ผลกระทบโดยตรงที่ตัวผู้กำกับได้รับจาก “การเมืองไทย” และผลงานศิลปะต่าง
ๆ ที่น่าสนใจและที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
ส่วน DIRECTOR’S DIARY นั้น
จริง ๆ แล้วตัวโซคูรอฟแทบไม่ได้พูดถึงชีวิตส่วนตัวของตัวเองเลย หนังที่มีความยาว 5
ชั่วโมงเรื่องนี้เน้นนำเสนอข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1957-1991
โดยเน้นไปที่ข่าวการเมืองโลก, ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในโซเวียต ตั้งแต่ยุคของ
Nikita Khrushchev, Leonid Brezhnev, Mikhail Gorbachev เรื่อยมาจนถึง
Boris Yeltsin, ความเคลื่อนไหวทางภาพยนตร์ในโซเวียต, คลิปต่าง
ๆ จากเมืองเลนินกราด และข่าวเครื่องบินตก + ยานอวกาศ
ส่วน I A PIXEL, WE THE PEOPLE นั้น พูดถึงทั้งประวัติชีวิตส่วนตัวของครอบครัวของผู้กำกับ
ตั้งแต่ชีวิตของคุณตาของผู้กำกับ, ของคนรุ่นพ่อแม่, ของตัวเข้เอง
และเรื่อยมาจนถึงรุ่นลูกของเข้ และวิดีโอนี้ก็พูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ยุค
2475 (1932) เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน
และก็มีพูดถึงปัญหาด้านการเรียนการสอนวิชาภาพยนตร์ในไทย และความประสาทแดกต่าง ๆ
ในวงการศิลปะไทยด้วย
เราก็เลยชอบมากที่หนังเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นทั้งบันทึกประวัติศาสตร์ส่วนตัว
(ยกเว้น DIRECTOR’S DIARY) และประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศชาติไปด้วยในเวลาเดียวกัน
2. เราชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้ในจุดที่แตกต่างกันไป
โดยในส่วนของ YOUR ASH & MY BONE นั้น เราชอบหนังเรื่องนี้มาก
ๆ ทั้งในส่วนของประวัติชีวิตส่วนตัวของผู้กำกับ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ George
Soros, ผลกระทบอย่างรุนแรงที่ตัวผู้กำกับได้รับจากการเมืองไทยหลังรัฐประหารในปี
2014 และข้อมูลเรื่องงานศิลปะต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วงราว 30
ปีที่ผ่านมา
ในส่วนของประวัติชีวิตส่วนตัวของตัวผู้กำกับนั้น
เราชอบมาก ๆ ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วหนังไทยจำนวนมาก (โดยเฉพาะหนังสั้น) ก็มีการถ่ายทอด
“ชีวิตของผู้กำกับและครอบครัว” ออกมาเหมือน ๆ กัน คือในแง่ “ประเด็นเรื่อง
ชีวิตของผู้กำกับและครอบครัว” นั้น มันไม่ใช่ประเด็นที่แปลกใหม่
มันซ้ำกับหนังสั้นไทยจำนวนมาก แต่ “รายละเอียดของเนื้อหา”
ของหนังเหล่านี้มันไม่ซ้ำกันเลย เพราะชีวิตมนุษย์แต่ละคนมันมีรายละเอียดแตกต่างกันมากมายในตัวมันเองอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าหากผู้กำกับคนไหนกล้าเปลือยชีวิตตนเองจริง ๆ ออกมา มันก็จะทำให้เนื้อหาของหนังเรื่องนั้นแตกต่างไปจากเรื่องอื่น
ๆ โดยอัตโนมัติ อย่างเช่นในเรื่องนี้เราจะสะดุดตากับประเด็นเรื่อง George
Soros มากเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยถูกพูดถึงในหนังไทยเรื่องอื่น
ๆ
ประเด็นเรื่องผลกระทบที่ผู้กำกับได้รับจากรัฐประหารปี
2014 นั้นก็เจ็บปวดมาก ๆ เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
และมันก็ทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาที่เราเคยคิดจะฆ่าตัวตายในช่วงกลางปี 2014 ด้วย
เราจำได้ด้วยว่า เราเคยชอบผลงาน animation
เรื่อง FABLES (2012, Sina Wittayawiroj) มาก
ๆ แต่หลังจากนั้นเราก็แทบไม่เคยได้ดูผลงานของคุณ Sina อีกเลย
พอมาดูหนังเรื่องนี้เราก็เลยถึงได้เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่ค่อยได้เห็นชื่อของคุณ
Sina อยู่ระยะนึงในช่วงหลังปี 2014
ส่วนประเด็นเรื่องผลงานศิลปะต่าง ๆ ที่น่าสนใจ
(อย่างเช่นงาน WANTANEE RETROSPECTIVE) และผลงานศิลปะต่าง ๆ
ที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วงเวลาราว 30 ปีที่ผ่านมานั้น ถือเป็นประเด็นที่เราชอบสุดขีด
เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะทั้งนำเสนอข้อมูลและตั้งคำถามที่น่าสนใจต่องานศิลปะเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
เราว่าประเด็นนี้มัน unique มาก ๆ ด้วย เพราะว่าเราไม่เคยเห็นประเด็นนี้ถูกพูดถึงมาก่อนเลยในหนังไทย
ถึงแม้มีการผลิตหนังไทยออกมาราว 700 เรื่องต่อปีในงานหนังสั้นมาราธอน
3. ส่วนประเด็นเรื่อง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ทศวรรษ
1980” เป็นต้นมา ใน YOUR ASH & MY BONE นั้น เราก็ชอบมาก
ๆ เหมือนกัน แต่อาจจะเป็นส่วนที่เราชอบน้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ของหนังเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นประเด็นที่เราพอจะรู้อยู่บ้างแล้ว
และมันก็เป็นประเด็นที่ไม่ได้แตกต่างมากนักจากหนังสั้นไทยบางเรื่อง
แต่ไม่ใช่ว่าส่วนนี้มันไม่สำคัญนะ
มันสำคัญที่สุด สำคัญมาก ๆ ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าหากหนังเรื่องนี้ต้องการสื่อสารกับคนในวงกว้าง
(ซึ่งรวมถึงสื่อสารกับเด็ก ๆ รุ่นใหม่ และคนที่ไม่ได้ตามดูหนังสั้นไทย) เพียงแต่ว่าโดยส่วนตัวแล้ว เราชอบส่วนอื่น ๆ
ของหนังเรื่องนี้มากกว่าเท่านั้นเองจ้ะ
ยกตัวอย่างเช่น เราเดาว่าผู้ชมหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้อาจจะเกิดไม่ทันยุคพฤษภาทมิฬปี
1992 ส่วนเรานั้นเกิดปี 1973 เพราะฉะนั้นเรื่องเหตุการณ์ในปี 1992
ก็เลยเป็นเรื่องที่เราพอรู้ ๆ อยู่บ้างแล้ว อะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบมาก
ๆ ที่หนังเรื่องนี้ใส่ประเด็นเรื่องปี 1992 เข้ามาในหนัง
เพราะเราว่าส่วนนี้มันมีประโยชน์มาก ๆ ๆ ต่อผู้ชมคนอื่น ๆ และมันก็กระตุ้นให้เรารำลึกถึงอะไรต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา, ครอบครัวเรา และเพื่อน ๆ ของเราในปี 1992 ด้วย เพียงแต่ว่าส่วนนี้ของหนังอาจจะไม่ได้
“ให้ข้อมูลใหม่” กับเราเท่านั้นเองจ้ะ
4. พอเราเอา YOUR ASH & MY BONE ไปเทียบกับ DIRECTOR’S DIARY และ I A PIXEL,
WE THE PEOPLE แล้ว เราก็รู้สึกว่า จุดแข็งของ YOUR ASH
& MY BONE ก็คือ
4.1 หนังเรื่องนี้ “เป็นมิตรต่อผู้ชมในวงกว้าง” มากที่สุดเมื่อเทียบกับหนังอีก
2 เรื่องในกลุ่ม เพราะหนังเรื่องนี้มีความยาวเพียงแค่ 110 นาที, หนังเรื่องนี้มีการสื่อสารกับผู้ชมอย่าง
“ตรงไปตรงมา” และหนังมีการให้ข้อมูลเรื่องการเมืองไทยในแบบที่ครบถ้วน เข้าใจง่าย
คือเราว่าผู้ชมชาวต่างชาติที่ไม่มีความรู้มากนักเรื่องการเมืองไทย
หรือเด็กไทยรุ่นใหม่ ๆ ที่อาจจะไม่มีความรู้เรื่องทศวรรษ 1980-1990 ก็สามารถติดตามทำความเข้าใจกับหนังเรื่องนี้ได้โดยง่าย
4.2 หนังเรื่องนี้น่าจะ “กระตุ้นผู้ชม” ในเรื่องจิตสำนึกทางการเมืองได้มากที่สุด
เมื่อเทียบกับหนังอีก 2 เรื่องในกลุ่ม
ซึ่งนี่ก็น่าจะเป็นจุดประสงค์ของผู้กำกับอยู่แล้ว เพราะหนังมีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา
และเหมือนเป็นการระบายออก + จดบันทึกทางการเมือง
5. เราว่า YOUR ASH & MY BONE กับ I A PIXEL, WE THE PEOPLE นั้น สามารถเปรียบเทียบกันได้หลายแง่
อย่างเช่น
5.1 หนังทั้งสองเรื่องเอาชีวิตของผู้กำกับ+ครอบครัว
กับประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาผสมเข้าด้วยกัน แต่ YOUR ASH & MY BONE ยาว 110 นาที, พูดถึงคนสองรุ่น และพูดเน้นช่วงทศวรรษ 1980-2020 ส่วน I
A PIXEL, WE THE PEOPLE ยาว 1440 นาที, พูดถึงคน 4 รุ่น และพูดถึงปี
1932-2025
ด้วยเหตุนี้แหละ เราก็เลยรู้สึกว่า YOUR
ASH & MY BONE เป็นหนังที่เหมาะสำหรับผู้ชมในวงกว้าง มันเหมือน “คั้นมาแต่หัวกะทิ” ส่วน I A PIXEL, WE
THE PEOPLE นั้นเหมือนให้เราเห็น “ต้นมะพร้าวทั้งสวน” 55555 ซึ่งเราก็ชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้ตรงที่มันแตกต่างกันมาก
ๆ ในจุดนี้ด้วยนี่แหละ คือแต่ละเรื่องมันก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป
5.2 หนังทั้งสองเรื่องเป็น “ส่วนหนึ่งของนิทรรศการศิลปะ”
เหมือน ๆ กัน
5.3 เรารู้สึกว่าหนังทั้งสองเรื่อง “สะท้อนความไม่พอใจต่อการเมืองไทย”
เหมือน ๆ กัน แต่เรารู้สึกว่า YOUR ASH & MY BONE ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เห็น
“ใบหน้าแห่งความโกรธ หรือความเจ็บปวด” ของตัวผู้กำกับ แต่ I A PIXEL, WE
THE PEOPLE ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เห็น “ใบหน้าแสยะยิ้ม”
ของตัวผู้กำกับ 555555
6. ในส่วนของ DIRECTOR’S DIARY ของ Sokurov นั้น เราชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลมากมายมหาศาลที่เราแทบไม่เคยรู้มาก่อนเลย
โดยเฉพาะเรื่องของครุชเชฟและเบรซเนฟ, เรื่องของหนังทำเงินต่าง ๆ ในสหภาพโซเวียต,
เรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ ในโซเวียต
คือเหมือนพอเราเป็นคนไทย เราก็เคยได้ยินแต่เรื่องของเลนิน,
สตาลิน และกอร์บาชอฟเป็นหลักน่ะ ส่วนครุชเชฟและเบรซเนฟนี่ถูกพูดถึงในโลกภาพยนตร์น้อยมาก
ๆ และหนังโซเวียตที่เรารู้จัก ก็มีแต่หนังของ Tarkovsky, Eisenstein, Dziga
Vertov, Alexander Dovzhenko, Vsevolod Pudovkin
หรือผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องในวงการหนัง arthouse แต่เราแทบไม่เคยรู้จัก
“หนังทำเงิน” ของสหภาพโซเวียตมาก่อนเลย
เพราะฉะนั้นเราก็เลยสงสัยว่า บางทีถ้าหากผู้ชมหนังเรื่อง
DIRECTOR’S DIARY เป็นชาวรัสเซียอายุ 70-80 ปี
เขาก็อาจจะรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ “แทบไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ ๆ กับเขา” เลยก็ได้
แต่พอดีเราเป็นคนไทยอายุ 52 ปี เราก็เลยชอบสุดขีดที่หนังเรื่อง
DIRECTOR’S DIARY อัดแน่นไปด้วยข้อมูลมหาศาลที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
เกือบตลอด 5 ชั่วโมงเต็มของหนัง
สิ่งนึงที่เรารู้สึกฮาโดยไม่ได้ตั้งใจก็คือว่า DIRECTOR’S
DIARY นั้น เหมือนจะพูดผ่าน ๆ ถึง “เหตุการณ์เชอร์โนบิล” ในช่วงท้าย
ๆ ของหนัง ส่วน YOUR ASH & MY BONE นั้น พูดถึง “เหตุการณ์เชอร์โนบิล”
ในช่วงต้นของหนัง เพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนกับว่า YOUR ASH & MY BONE มารับไม้ต่อจาก DIRECTOR’S DIARY ได้อย่างพอดิบพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ
6. สรุปว่าเราชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้อย่างสุดขีดทั้ง
3 เรื่อง แต่อาจจะชอบในแบบที่แตกต่างกันไป
6.1 เราชอบ DIRECTOR’S DIARY อย่างสุดขีด เพราะหนังเรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลต่าง ๆ
ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับโซเวียต และเต็มไปด้วยคลิปข่าวที่เราไม่เคยดูมาก่อน
เกือบตลอดเวลา 5 ชั่วโมงเต็มของหนัง
6.2 เราชอบหลาย ๆ ประเด็นใน YOUR ASH &
MY BONE โดยเฉพาะเรื่องชีวิตของผู้กำกับและผลงานศิลปะที่ได้รับการยกย่องในไทย
และเราชอบ “พลังผลักดันทางการเมืองอย่างรุนแรง” ที่ปะทุออกมาจากหนังเรื่องนี้
6.3 เราชอบ “ความรู้สึกอันมหาศาลที่ยากจะอธิบายได้”
ที่ได้รับจากการดู I A PIXEL, WE THE PEOPLE โดยเฉพาะความรู้สึกที่ว่า
“เราเป็นประชาชนคนหนึ่ง เราอาจจะมีเพียงแค่เสียงเดียว แต่เรารู้สึกว่าเรา “ได้ถูกนับรวม”
ในหนังเรื่องนี้”
No comments:
Post a Comment