ซื้อขนม MUSAWA PUFFS ซีเรียลจากแป้งกล้วยน้ำว้าและข้าวไทย
มาให้ลูกหมีกิน :-)
+++
TRIPLE BILL FILM WISH LIST
PONAY (OR YOU’RE NOT F***ING WELCOME) (2025, Hesome
Chemamah, 27min, A+30)
+ MOTHER ISN’T MOTHERING (2025, Saroot Techasiripaiboon,
42min, A+30)
+ HAPPY NEW YEAR! แฮปเปียนิวยี่ (2025,
Tanawan Sooksomwoot ธนวรรณ สุขสมวุฒิ, 30min, A+30)
1. พอเราได้ดู PONAY เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
แล้วก็เลยนึกถึงหนังอีกสองเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็คือ MOTHER ISN’T
MOTHERING กับ HAPPY NEW YEAR!
สาเหตุที่นึกถึง MOTHER ISN’T MOTHERING นั้นคงเดาได้ไม่ยาก เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้พูดถึง queer ที่มีปัญหากับการเกณฑ์ทหารเหมือนกัน โดยในกรณีของ PONAY นั้นตัวละครเอกเป็น Muslim non-binary ที่ไม่อยากทำนม
ส่วนใน MOTHER ISN’T MOTHERING นั้น
ตัวละครเอกเป็นเกย์หนุ่มที่ไม่อยากแต่งตัวเป็นผู้หญิง
เพราะฉะนั้นตัวละครทั้งสองตัวก็เลยสุ่มเสี่ยงที่จะถูกเกณฑ์ทหาร เพราะพวกเขาไม่อยากทำนมหรือไม่อยากแต่งตัวเป็นผู้หญิง
ส่วนสาเหตุที่เราดู PONAY แล้วนึกถึง
HAPPY NEW YEAR! นั้นเป็นเพราะว่า
สิ่งที่เราชอบมากที่สุดสิ่งหนึ่งใน PONAY คือการนำเสนอตัวละครที่
“รู้สึกแปลกแยกจากครอบครัว” และ “ไม่อยากกลับบ้านอย่างรุนแรง”
และสิ่งนี้ก็สามารถพบได้ในหนังเรื่อง HAPPY NEW YEAR! เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าในกรณีของ HAPPY NEW YEAR! นั้น
ตัวละครนางเอกเป็นผู้หญิง
คือปัญหาใหญ่อย่างนึงที่เรามีกับหนังสั้นไทยจำนวนมาก
ก็คือหนังสั้นไทยจำนวนมาก ชอบนำเสนอตัวละครชายหนุ่มหญิงสาวที่มาเรียนต่อในกรุงเทพ
แล้วพวกเขาก็ได้กลับบ้านไปเจอพ่อแม่ครอบครัวในชนบท แล้วก็มี “moment ซึ้ง ๆ เมื่อได้กลับบ้านไปเจอกับครอบครัว”
ซึ่งอะไรแบบนี้เป็นสิ่งที่เราไม่อินอย่างรุนแรง
แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของหนังเหล่านี้แต่อย่างใดนะ
เพราะหนังแต่ละเรื่องไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องมาสะท้อนชีวิตของเรา หนังแต่ละเรื่องก็ควรจะสะท้อน “ชีวิตของคนอื่น
ๆ” หรือ “ชีวิตของคนที่แตกต่างจากเรา”
หรือ “ชีวิตของคนที่มีสภาพครอบครัวแตกต่างจากเรา” ให้เราได้รับรู้
เพราะฉะนั้นเราก็ยังคงชอบหนังกลุ่มนี้หลายเรื่องในระดับ A+30 หรือชอบมากจนติดอันดับประจำปีสูงมากๆ อยู่ดี อย่างเช่นหนังเรื่อง
กาลนิรันดร์ (2008, Issara Boonprasit) ที่ถือเป็น one
of my most favorite Thai short films of all time แต่เป็นความชอบใน
“ความงดงามในความเป็นภาพยนตร์” อะไรแบบนั้น ไม่ได้ชอบเพราะรู้สึกอินเป็นการส่วนตัว
แต่ในบางครั้งเราก็ได้ดูหนังสั้นไทยบางเรื่องที่นำเสนอตัวละครที่
“ใม่อยากกลับบ้าน” “ต้องการตัดขาดความสัมพันธ์จากครอบครัว”
“รู้สึกแปลกแยกจากครอบครัวอย่างรุนแรง” หรือเป็นหนังที่ “ต่อต้าน moment ซึ้ง ๆ ระหว่างสมาชิกครอบครัว”
ซึ่งเราก็จะอินกับหนังไทยเหล่านี้บางเรื่องตรงจุดนี้ ซึ่งเราว่าหนังเรื่อง HAPPY
NEW YEAR! นำเสนอจุดนี้ได้อย่างสาแก่ใจกูอย่างรุนแรงมาก ๆ 55555
ส่วน PONAY ก็นำเสนอจุดนี้ได้อย่างน่าสนใจเหมือนกัน
2. ถ้าหากเทียบระหว่างหนัง 3 เรื่องใน triple
bill นี้ ปรากฏว่าอันดับความชอบของหนังสวนทางกับเพศสภาพของเรา 55555
เพราะเรามองว่าตัวเองเป็นเกย์ ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับตัวละครใน MOTHER ISN’T
MOTHERING แต่ปรากฏว่า ในบรรดา 3 เรื่องนี้ เรากลับชอบ HAPPY
NEW YEAR! มากที่สุด ถึงแม้ตัวละครเอกจะเป็นผู้หญิง และเราอาจจะชอบ PONAY
มากเป็นอันดับสอง และ MOTHER ISN’T MOTHERING เป็นอันดับสาม
แต่เราก็ชอบทั้ง 3 เรื่องนี้ในระดับ “ชอบสุดขีด” (หรือ A+30) เหมือนกันนะ
สาเหตุที่เราชอบ HAPPY NEW YEAR! มากที่สุด ก็เป็นเพราะเหตุผลในข้อ 1 ที่เราได้เขียนไปแล้ว
นั่นก็คือหนังเรื่องนี้นำเสนอ “ตัวละครเอกที่รู้สึกแปลกแยกจากครอบครัวของตัวเอง
ได้อย่างสาแก่ใจกู ได้อย่างถึงใจพระเดชพระคุณอย่างถึงขีดสุด” ความรู้สึกโกรธ
คับแค้นใจ ของตัวละครนางเอกในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ touch เราอย่างรุนแรงถึงขีดสุดมาก
ๆ การได้ดูหนังเรื่องนี้มันช่วยปลอบประโลมจิตใจเราได้อย่างดีมาก ๆ
ส่วนสาเหตุที่เราชอบ MOTHER ISN’T
MOTHERING น้อยสุดนั้น สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า เรา
“รำคาญพระเอก” อย่างรุนแรงมาก ๆ 55555 ถึงแม้ว่าจะเป็นเกย์เหมือนกัน
เพราะในแง่หนึ่ง เราก็ “ตรงกันข้าม” กับตัวละครพระเอกของหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง
เพราะเรา “เคยชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาก ๆ เมื่อราว 30 ปีก่อน” อย่างที่เพื่อน ๆ
ทุกคนคงเคยเห็นรูปเก่า ๆ ของเรามาแล้ว เพราะฉะนั้นการที่ตัวละครเกย์ใน MOTHER
ISN’T MOTHERING ต่อต้านการแต่งตัวเป็นผู้หญิง
เราก็เลยรู้สึกต่อต้านตัวละครตัวนี้อย่างรุนแรงไปโดยปริยาย แต่ในแง่หนึ่งมันก็ดีที่หนังเรื่องนี้ทำให้เราได้รับรู้ว่า
มีเกย์แบบนี้อยู่ด้วย คือเราไม่อินกับหนังเรื่องนี้ เพราะว่า
“ตัวละครเกย์ในหนังเรื่องนี้เป็นเกย์ที่มีอะไรบางอย่างตรงกันข้ามกับเรา”
แต่เราก็ชอบที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ “ตัวละครเกย์ที่มีอะไรบางอย่างตรงกันข้ามกับเรา”
ในเวลาเดียวกัน คือเราไม่อินกับหนังมากนัก แต่เราก็
“ชอบสาเหตุที่ทำให้เราไม่อินกับหนังมากนัก” 55555
3. เรารู้สึกว่า PONAY กับ
MOTHER ISN’T MOTHERING เป็น “คู่ที่เหมาะสมกันมาก ๆ” 55555
เหมือนหนังทั้งสองเรื่องนี้มันช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปให้แก่กันได้ดี
คือเราอาจจะชอบ PONAY มากกว่า
MOTHER ISN’T MOTHERING อยู่หน่อยนึง เพราะเราชอบ
“ภาษาภาพยนตร์” ของ PONAY มากกว่า
ชอบความแพรวพราวทางความเป็นภาพยนตร์ของมัน ชอบเทคนิคทางภาพยนตร์ต่าง ๆ ของมัน ชอบ
“ความติดตา” ในหลาย ๆ ฉากของมัน
แต่เรารู้สึกว่า PONAY มันเป็น
“หนังประเด็น” ที่นำเสนอประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบคม สนุกสนาน น่าสนใจ
แต่เหมือนเกือบทุกอย่างในหนังมันถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้ “การนำเสนอประเด็น”
อะไรทำนองนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นมันก็เลยอาจจะขาดมิติความเป็นมนุษย์
หรือขาดมิติทางอารมณ์ความรู้สึกความสะเทือนใจอะไรบางอย่างไป
ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งผิดแต่อย่างใดในความเห็นของเรานะ เพราะในหลาย ๆ
ครั้งคุณก็ต้องเลือกว่าจะทำ “หนังประเด็น” หรือ “หนัง humanist” คุณไม่สามารถเลือกเป็นได้ทั้ง Jean-Luc Godard และ
Bertrand Tavernier ในเวลาเดียวกันได้
และเราก็รู้สึกว่า สิ่งที่ขาดหายไปใน
“หนังประเด็น” อย่าง PONAY มันได้รับการชดเชยในหนังอย่าง MOTHER
ISN’T MOTHERING แทน คือเรารักตัวละครนางเอกของ PONAY และเรารำคาญตัวละครพระเอกของ MOTHER ISN’T MOTHERING อย่างรุนแรงมาก แต่ในความน่ารำคาญของตัวละครพระเอก
มันก็ช่วยทำให้ตัวละครตัวนี้มีความเทา ๆ
มีความน่ารังเกียจและน่าเอาใจช่วยในเวลาเดียวกัน เป็นตัวละครที่ทำให้เรารู้สึก
“ก้ำกึ่ง” กับมันตลอดเวลา
และบางทีอะไรแบบนี้นี่แหละที่ช่วยทำให้ตัวละครตัวนี้ดูมีความเป็นมนุษย์จริง ๆ
มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ตัวละครที่ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอ “ประเด็น”
ก็เลยรู้สึกว่า หนัง 2
เรื่องนี้มันช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ดีมาก ๆ
4. กลายเป็นว่า ฉากที่เราชอบมากที่สุดใน PONAY
ก็คือ CHAPTER ที่นางเอกคุยกับเพื่อนสาวที่เป็นเหมือนกะเทยรุ่นป้า
เราว่าฉากนี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครมันเป็นมนุษย์มากที่สุด
และตัวละครกะเทยรุ่นป้าก็เป็นตัวละครที่น่าสนใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ในสายตาของเรา
คือดูแล้วอยากให้มีการ spin off เป็นหนังที่เล่าเรื่องของตัวละครตัวนี้มาก
ๆ
แต่ chapter นี้กลับดู
“ติดตา” น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับฉากอื่น ๆ นะ (อย่างเช่น
ฉากถ่ายหน้าชาวบ้านที่มองนางเอกด้วยความอคติ)
เราก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจดีเหมือนกัน ที่ “ฉากที่ติดตา” กับ
“ฉากที่สะท้อนความเป็นมนุษย์” ในบางครั้งมันเหมือนสวนทางกัน มันเหมือนกับว่าในหลาย
ๆ ครั้ง “ฉากที่ติดตา” ซึ่งความติดตานั้นเกิดจาก “ไอเดียที่ดี” และ “การจัดวางองค์ประกอบภาพที่ดี”
และ “การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ดี”
ในบางครั้งมันเหมือนต้องแลกด้วยความเป็นมนุษย์ของตัวละคร คือใน “ฉากที่ติดตา” นั้น
ในบางครั้งตัวละครมันถูกทำให้เป็นเครื่องมือเพื่อนำเสนอประเด็นหรือสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์
และต้องถูกจัดวางในตำแหน่งแห่งที่ที่เหมาะสมตามหลัก mise-en-scene, etc. เพราะฉะนั้นตัวละครในฉากติดตาบางฉากมันก็เลยเหมือนเป็น model หรือเป็น “เครื่องมือ” มากกว่าเป็นมนุษย์
แต่ก็มีผู้กำกับบางคนที่ balance สองสิ่งนี้ได้ดีมาก ๆ นะ อย่างเช่น Rainer Werner Fassbinder (ซึ่งอาจจะได้รับอิทธิพลตรงจุดนี้มาจาก Douglas Sirk) เหมือนหนังของเขานำเสนอได้ทั้ง “ฉากที่ติดตา”
และยังคงรักษาความเป็นมนุษย์ของตัวละครในฉากนั้น ๆ ได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะในหนังอย่าง
NORA HELMER (1974, Rainer Werner Fassbinder)
5. จำไม่ได้ว่าหนังเกี่ยวกับ Thai queer
Muslim ที่เราได้ดูเรื่องแรกมีชื่อเรื่องว่าอะไร
เหมือนเป็นหนังสั้นที่ฉายในงานหนังสั้นรอบมาราธอนในปี 2010-2015
โดยเป็นหนังสารคดีที่มีการสัมภาษณ์กะเทยชาวมุสลิม
เสียดายที่เราจำชื่อหนังเรื่องนั้นไม่ได้แล้ว มีใครจำได้บ้างไหมคะ
ส่วนหนังเกี่ยวกับ queer Muslim ในประเทศอื่น ๆ ที่เราชอบสุดขีด ก็คือเรื่อง A JIHAD FOR LOVE
(2007, Parvez Sharma, documentary), BE LIKE OTHERS (2008, Tanaz Eshaghian,
Iran, documentary) และ THIS
LITTLE FATHER OBSESSION (2016, Selim Mourad, Lebanon, documentary, 93min) แต่ในกรณีของ THIS LITTLE FATHER OBSESSION นั้น
เราไม่แน่ใจ 100% เต็มนะว่าตัวsubject เป็นชาวมุสลิมหรือเปล่า
รู้แต่ว่าเป็นชาวอาหรับในเลบานอน
เหมือนมีหนังกลุ่ม queer Arab เยอะมาก ๆ เลยนะ มีเป็นร้อยเรื่อง ดูรายชื่อหนังกลุ่ม queer Arab ได้ในเว็บไซท์ของ Arab Film Institute (ลิงค์อยู่ในคอมเมนท์)
6.
รู้สึกว่าพัฒนาการของหนังเกี่ยวกับทหารเกณฑ์ในไทย มีความน่าสนใจดี
เราเดาว่ามันอาจจะแบ่งได้คร่าว ๆ เป็น 3 ยุค
6.1 ยุคหนังตลกเกี่ยวกับทหารเกณฑ์
อย่างเช่น ทหารเกณฑ์ (1980, ล้อต๊อก),
กองพันทหารเกณฑ์ (1984, ประยูร วงษ์ชื่น), ทหารเกณฑ์ ผลัด 2 (1984, สนธยา
ดวงทองดี), ทหารเกณฑ์บานฉ่ำ (1993, อเลกซ์) และ กองพันครึกครื้น ท.ทหารคึกคัก
(2010, บำเรอ ผ่องอินทรีย์)
6.2 ยุคหนังต่อต้านการเกณฑ์ทหาร
ซึ่งเหมือนมีการผลิตกันออกมาตั้งแต่ทศวรรษ 2010
เป็นต้นมา โดยหนังที่เราชอบมาก ๆ ในกลุ่มนี้ก็มีเช่น
6.2.1 ONE YEAR (2018, Patthaporn Ratchatakittisuntorn ภัทราภรณ์ รัชตะกิตติสุนทร)
เรื่องนี้ถือเป็น One of my most
favorite Thai short films of all time
6.2.2 HOW TO WIN AT CHECKERS (EVERY TIME) (2015, Josh Kim,
A+30)
6.2.3 SONG FROM YESTERDAY (Thitipat Rotchanakorn + Tanadol
Sutawong, documentary, A+30)
ทหารเกณฑ์ในหนังสารคดีเรื่องนี้หล่อมาก ๆๆๆๆๆ
6.2.4 อดทน (2018, Krongpipop
Wirattinan, A+10)
6.3 ยุคหนัง QUEER และการเกณฑ์ทหาร
ซึ่งที่เราเคยดูมามีอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งก็คือ PONAY,
MOTHER ISN’T MOTHERING และ BEFORE APRIL ก่อนเมษา
(2020, Chaweng Chaiyawan, A+30)
ซึ่งก็สอดคล้องกับที่เกาหลีใต้มีหนังเรื่อง GOD’S
DAUGHTER DANCES (2020, Byun Gyuri, South Korea, A+30)
ออกมาในทศวรรษเดียวกัน
7. พอพูดถึงประเด็นนี้ เราก็เลยขอสารภาพถึง FORBIDDEN
DREAM ของตัวเอง 55555
คือทุกคนก็คงรู้อยู่แล้วว่าเรามีจุดยืนต่อต้านการเกณฑ์ทหาร แต่ในขณะเดียวกัน
เราก็มี FORBIDDEN DREAM ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
คือมีเพื่อนเกย์/กะเทยของเราเคยเขียนลง facebook
เมื่อราว 10-15 ปีก่อน ในทำนองที่ว่า
“กะเทยแต่งหญิงจะไม่ถูกเกณฑ์ทหารอยู่แล้ว แต่มีเกย์บางคนที่ถูกเกณฑ์ทหาร
แล้วพอพวกเธอเข้าค่ายทหารไปแล้ว พวกเธอค่อยมาออกสาวเล็กน้อยในค่าย
แล้วพวกนางก็กินผู้ชายเรียบหมดทั้งค่ายค่ะ”
คือเราไม่รู้ว่าสิ่งที่เพื่อนของเราเขียน
เป็นเรื่องจริง หรือเป็นเธอมโนขึ้นมาเองนะ เพราะเราก็ไม่เคยถูกเกณฑ์ทหาร
(เราเรียนรด.) แต่สิ่งที่เพื่อนของเราเขียน มันกระตุ้น sexual fantasy ของเราอย่างรุนแรงมากในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา คือเป็น sexual
fantasy ในรูปแบบของภาพยนตร์เลย เรื่องของเกย์ที่ถูกเกณฑ์ทหารเข้าไป
แล้วพอเข้าค่ายไปแล้ว เธอค่อยออกสาวเล็กน้อยแต่พองาม แล้วก็ได้กินผู้ชายหลาย ๆ
คนในค่ายทหารของตัวเอง
เพราะฉะนั้น FORBIDDEN FANTASY ของเรา ก็เลยเป็นอย่างในย่อหน้าข้างต้น
แต่เราก็ไม่ได้สนับสนุนให้ใครสร้างภาพยนตร์เพื่อตอบสนอง FORBIDDEN DREAM ของเรานะ เพราะเรากลัวว่าหนังเรื่องนั้นมันจะเป็นการสนับสนุนการเกณฑ์ทหาร
หรือเป็นการกระตุ้นให้เกย์หลาย ๆ คนสมัครเป็นทหารเกณฑ์ 55555
8. ไหน ๆ เราก็สารภาพถึง FORBIDDEN DREAM
ของตัวเองแล้ว
เราก็ขอสารภาพถึงความผิดบาปที่ตัวเองเคยกระทำในอดีตด้วย
คือพอพูดถึง “การเกณฑ์ทหาร” แล้ว
เราก็เลยนึกถึงสิ่งที่ตัวเองมักจะทำในอดีต นั่นก็คือ “การคอยตัดรูปผู้ชายถอดเสื้อตอนเกณฑ์ทหาร
จากหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” มาเก็บไว้ ซึ่งจริง ๆ มันก็อาจจะไม่ใช่ “บาป”
อะไร แต่มันทำให้เรา “รู้สึกผิด” รู้สึก guilty เพราะเราต่อต้านการเกณฑ์ทหาร
แต่พอถึงฤดูเกณฑ์ทหาร เราก็มักจะคอยตัดรูปจากหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มาเก็บสะสมไว้
(แต่ตอนนี้หายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ เสียดายมาก ๆ)
คือก็ต้องเข้าใจนะว่า ยุคเมื่อ 30 ปีก่อน
มันเป็นยุคที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต และมันเป็นยุคที่
“สื่อที่นำเสนอภาพผู้ชายถอดเสื้อ” มันมีน้อยกว่าในปัจจุบันมาก ๆ
เพราะฉะนั้นในยุคเมื่อ 30 ปีก่อน เราก็ต้องคอยหา “อาหารตา”
จากหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ช่วงฤดูเกณฑ์ทหารแบบนี้นี่แหละ
เพราะฉะนั้นเราก็เลยสงสัยว่า
มีเพื่อนคนไหนเคยทำแบบเราบ้างคะ มีใครมี collection หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ช่วงฤดูเกณฑ์ทหาร
เก็บสะสมเอาไว้บ้าง ถ้าหากใครมีอะไรแบบนี้เก็บสะสมไว้
ก็ได้โปรดแบ่งปันมาให้ดูกันด้วยนะคะ 55555
No comments:
Post a Comment