Wednesday, December 31, 2025

THE YEAR 2025

 

อยากย้อนเวลากลับไปดู "มหกรรมภาพยนตร์จีนในประเทศไทย" ในปี 1985 ที่โรงภาพยนตร์รามา อยากรู้มาก ๆ เลยว่า ตอนนั้นมีหนังเรื่องไหนมาฉายบ้าง มีหนังของผู้กำกับรุ่น 1-4 มาฉายบ้างหรือเปล่า

 

นิตยสารอย่าง STARPICS กับ "หนังและวิดีโอ" ในปี 1985 มีบันทึกรายชื่อหนังจีนในเทศกาลภาพยนตร์เหล่านี้ไว้บ้างไหม

 

ตัวอย่างของผู้กำกับภาพยนตร์รุ่น 4 ของจีนก็มีเช่น Wu Yigong, Wu Tianming, Zhang Nuanyi, Huang Jianzhong, Teng Wenji, Zheng Dongtian, Xie Fei, Hu Bingliu, Ding Yinnan, Li Qiankuan, Lu Xiaoya, Yu Benzheng, Yan Xueshu, Huang Shuqin, Yang Yanjin, Wang Haowei, Wang Junzheng, Zhang Zi'en, Song Chong and Cong Lianwen

+++

 

2025 ปีแห่ง “การดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า”

 

เห็นคุณมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์ บอกว่าเคยมีภาพยนตร์เรื่อง “แสตมป์สื่อรัก” มาฉายในงานมหกรรมภาพยนตร์จีนในกรุงเทพในปี 1985 ที่โรงภาพยนตร์รามา เราก็เลยลอง search ดู แล้วก็เดาว่า มันต้องเป็นหนังเรื่อง ROMANCE IN PHILATELY (1984, Hu Sang, China, 98min) แน่ ๆ เลย อิจฉา cinephiles รุ่นเก่า ๆ ที่ทันได้ดูหนังเรื่องนี้ในกรุงเทพในปี 1985 มาก ๆ ค่ะ

 

ดิฉันมีอายุ 12 ปีในปี 1985 ค่ะ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็น cinephile ตอนนั้นเรายังเน้นอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น และอ่านนิยายของจินตวีร์ วิวัธน์ + ทมยันตี + ตรี อภิรุม + ม.มธุการีอยู่ เพราะฉะนั้นในปี 1985 เราก็เลยพลาดดูหนังดี ๆ หลายเรื่องที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพในช่วงนั้น

 

เราเพิ่งมาเป็น cinephile ในช่วงปี 1995 เมื่อได้ดูหนังเรื่อง CLASS ENEMY (1983, Peter Stein, West Germany, A+30) ที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 ตอนนั้นเรามีอายุ 22 ปี และการดูหนังเรื่อง CLASS ENEMY ก็ทำให้เราเริ่มตกหลุมรักการดูภาพยนตร์อย่างรุนแรงจนถอนตัวไม่ขึ้น

 

เทศกาลภาพยนตร์แรกที่เราได้ดู น่าจะเป็นเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่นในปี 1995 โดยในตอนนั้นเราได้ดูหนังเรื่อง THE NAKED ISLAND (1960, Kaneto Shindo, A+30) ที่มูลนิธิญี่ปุ่น ถนนอโศก

 

แต่เราไม่แน่ใจ 100% เต็มนะ ว่าตอนนั้นมันเป็นเทศกาลภาพยนตร์ญี่ปุ่นหรือเปล่า แต่เราเดาว่าน่าจะเป็นเทศกาล เพราะเหมือนเราไม่เห็นหนังเรื่อง THE NAKED ISLAND กลับมาฉายที่ Japan Foundation อีก แต่ถ้าหากเราจำผิด ก็ทักท้วงมาได้นะ

 

เทศกาลภาพยนตร์ที่สองที่เราได้ดู ก็คือ “เทศกาลภาพยนตร์นิวซีแลนด์” ในปี 1995 ที่ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแสงอรุณ ถนนสาทร โดยในตอนนั้นเราได้ดูหนังเรื่อง

 

1. RUBY AND RATA (1990, Gaylene Preston, New Zealand)

 

2. UTU (1983, Geoff Murphy, New Zealand)

 

3. THE END OF THE GOLDEN WEATHER (1991, Ian Mune, New Zealand)

 

4. AN ANGEL AT MY TABLE (1990, Jane Campion, New Zealand, 158min)

 

แล้วเราก็เลยบ้าดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์มาโดยตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา หรือนับตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา จนมาถึงจุดพีคสุดก็ปีนี้นี่แหละ ปี 2025 ที่เราเกิดอาการ “ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า”

 

คือเราเติบโตมาในยุคที่การเข้าถึงหนังนอกกระแสเป็นเรื่องที่ยากลำบากลำบนมาก ๆ น่ะ เหมือนการจะได้ดูหนังนอกกระแสในยุคทศวรรษ 1990 มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ เราสามารถเข้าถึงหนังเหล่านี้ได้ก็โดยผ่านทางการดูวิดีโอร้านเฟม + การดูหนังที่เกอเธ่, สมาคมฝรั่งเศส + Japan Foundation + DK Filmhouse Filmvirus เท่านั้น เทศกาลภาพยนตร์ในยุคนั้นก็น้อยมาก ๆ อาจจะมีจัดกันทุก ๆ 3 เดือน หรือปีละ 4 เทศกาล ไม่ใช่เดือนละ 3 เทศกาลเหมือนในยุคปัจจุบัน แต่ถ้าใครรวยหน่อยก็สามารถซื้อวิดีโอร้านแมงป่อง+ลูกแมว+AVS มาดูได้ แต่เราไม่ได้มีเงินมากพอที่จะซื้อวิดีโอเหล่านี้ได้เป็นประจำ

 

เพิ่งมาในทศวรรษ 2000 นี่แหละ ที่ “ร้านแว่นวิดีโอ” ช่วยให้เราเข้าถึงหนังนอกกระแสได้ง่ายขึ้น และอินเทอร์เน็ตก็ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลหนังนอกกระแสได้ง่ายขึ้นด้วย

 

เพราะฉะนั้นพอเราเติบโตมากับการเป็น cinephile ในทศวรรษ 1990 เติบโตมากับ “ความอัตคัดขาดแคลนหนังนอกกระแสอย่างรุนแรง” เติบโตมากับ “ความรู้สึกอดอยากปากแห้งทางภาพยนตร์อย่างรุนแรง” เราก็เลยเหมือนเก็บกด “ความอยากดูหนังเทศกาล” เอาไว้อย่างล้นปรี่น่ะ เพราะเทศกาลภาพยนตร์มันเป็นสิ่งที่หายากมาก ๆ ในยุคนั้น

 

ปมทางจิตที่เราเก็บกดไว้เมื่อ 30 ปีก่อน มันก็เลยเหมือนได้รับการตอบสนองจนหายอยากไปเลยในปี 2025 นี้แหละ เหมือนในที่สุดปมทางจิตของเราก็ได้รับการรักษาให้หายขาดในปีนี้

 

เพราะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มันมีเทศกาลภาพยนตร์อัดแน่นเยอะมาก ๆ ในกรุงเทพและปริมณฑล เยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์ในชีวิตของเราเลย จนเราเองก็ตามดูไม่ไหวทุกเทศกาล และในที่สุดเราก็ล้า และคิดว่าหลังจากนี้คงไม่ตามดูหนังเทศกาลอีกแล้ว คือเราคงไปดูหนังตามเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ เหมือนเดิมแหละ แต่จะดูเฉพาะที่เราอยากดูจริง ๆ เท่านั้น ถ้าอันไหนเรารู้สึกขี้เกียจ เราก็จะไม่ไปดู 555555

 

คือ “การให้ความสำคัญกับเทศกาลภาพยนตร์เป็นหลัก” ส่งผลให้เราไม่ได้เข้าฟิตเนสเลยมาเป็นเวลาติดต่อกัน 4 เดือนครึ่งน่ะ เราเข้าฟิตเนสในวันที่ 11 ส.ค. 2025 แล้วพอเข้าสู่ช่วง “ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” เราก็ไม่ได้เข้าฟิตเนสอีกเลย จนเพิ่งได้มาเข้าฟิตเนสอีกทีในวันที่ 28 ธ.ค. 2025 นี่แหละ แล้วคือกูต้องจ่ายเงินค่าฟิตเนสไปฟรี ๆ เป็นเวลา 4 เดือนครึ่ง เพราะกูมัวแต่ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์นี่แหละ สุขภาพกูก็ย่ำแย่มากด้วย เราก็เลยรู้สึกว่า ต่อแต่นี้ไป เราจะให้ความสำคัญกับเทศกาลภาพยนตร์เป็นหลักไม่ได้แล้วล่ะ คงจะต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพตัวเองเป็นหลักได้แล้ว “ความอยากในเทศกาลภาพยนตร์” ที่อยู่ในใจเราตลอด 30 ปีที่ผ่านมาได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่แล้ว ต่อไปนี้เราจะต้องเข้าสู่ phase ใหม่ของชีวิตได้เสียที

 

ช่วง “ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” ของเรา เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 23 ส.ค. และสิ้นสุดอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธ.ค. หรือกินเวลา 4 เดือนเต็ม ๆ และส่งผลให้เราไม่ได้เข้าฟิตเนสเลยเป็นเวลา 4 เดือนครึ่ง

 

ในช่วงเวลาดังกล่าว เราหมดเวลาไปกับ

 

1.เทศกาลภาพยนตร์ WHAT THE DOC

 

2. เทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง

 

3. เทศกาลภาพยนตร์ QUEER ที่ ICONSIAM

 

4. SIAM ANIMA

 

5. EDUARDO WILLIAMS’ RETROSPECTIVE

 

6. WILDTYPE

 

7. BANGKOK INTERNATIONAL FILM FESTIVAL แบบอภิมหาอลังการ

 

8. กางจอของนิเทศจุฬา

 

9. SPANISH FILM FESTIVAL

 

10. GODZILLA FILM FESTIVAL

 

11. IRISH FILM FESTIVAL

 

12. RE:COMPLEX at Goethe

 

13. GHOST 2568

 

14. TAIWAN DOCUMENTARY FILM FESTIVAL

 

15. AMAZING STONER FILM FEST at Cinema Oasis

 

16. MARATHON THAI SHORT FILMS

เราได้ดูหนังเพียงแค่ 169 เรื่องในเทศกาลมาราธอนปีนี้

 

17. CHINESE FILM FESTIVAL

 

18. GERMAN FILM FESTIVAL (KINOFEST)

 

19. ARAYA RASDJARMREARNSOOK’S RETROSPECTIVE

เราได้ดูเพียงแค่ 20 จาก 23 เรื่องในงานนี้ แต่เราคงไม่มีแรงไปดูอีก 3 เรื่องที่เหลือแล้วล่ะ (เรายังไม่ได้ดู I’M LIVING, SURVIVOR’S WAY OF LIFE กับ VILLAGE KIDS SINGING)

 

20. THAI SHORT FILM FESTIVAL

 

น่าสนใจดีที่ช่วงเวลาของ “การดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” ของเรา เริ่มต้นด้วยหนังปาเลสไตน์ และก็จบลงด้วยหนังปาเลสไตน์โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะช่วง “ดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” ของเรา เริ่มต้นด้วยการดูหนังเรื่อง AYNY (2016, Ahmad Saleh, Palestine/Jordan, animation, 11min, A+30) ในโปรแกรม PALESTINE ANIMATIONS: 3 FILMS BY AHMAD SALEH ที่โรงหนัง House Samyan ในวันเสาร์ที่ 23 ส.ค. 2025

 

และช่วงเวลาของ “การดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” ของเรา ก็จบลงด้วยหนังเรื่อง A STONE’S THROW (2024, Razan AlSalah, Palestine/Lebanon/Canada, 40min, A+30) ในโปรแกรม DEAR PALESTINE ที่หอภาพยนตร์ ศาลายา ในวันอาทิตย์ที่ 21 ธ.ค. 2025

 

ก็เลยเท่ากับว่า ช่วงเวลาของ “การดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” ของเรา ที่กินเวลา 4 เดือนเต็มนี้ เริ่มต้นด้วยหนังปาเลสไตน์ และจบลงด้วยหนังปาเลสไตน์โดยไม่ได้ตั้งใจ

 

แต่นี่คือเราไม่ได้ไปดูหนังใน “เทศกาลหนังเงียบ” ที่หอภาพยนตร์ และไม่ได้ไปดูหนังในเทศกาล BATURU WOMEN’S FILM FESTIVAL เลยนะ คือเราตัดทิ้งไปเลย 2 เทศกาล เพราะตารางเวลามันชนกัน และเราก็ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

 

ก็เลยรู้สึกว่า  “การดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” มาเป็นเวลา 4 เดือนเต็มนี้ มันคือการเติมเต็มความฝันของเราตั้งแต่ปี 1995 ความใฝ่ฝันของเราตั้งแต่เป็น cinephile ในปี 1995 เป็นต้นมา ได้รับการตอบสนองอย่างเต็มที่แล้ว หนังที่เราอยากดู ก็มีเข้ามาให้ดูอย่างแน่นขนัดเป็นเวลา 4 เดือนเต็ม ซึ่งรวมถึงโปรแกรมภาพยนตร์ที่ fulfill my wish จริง ๆ โดยเฉพาะโปรแกรม Harun Farocki Retrospective, Ryusuke Hamaguchi Retrospective และ Araya Rasdjarmrearnsook Retrospective

 

ชีวิต cinephile ของเรา สมบูรณ์แล้ว นอนตายตาหลับแล้ว เพราะช่วงเวลาของ “การดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” ตลอด 4 เดือนเต็มนี่แหละค่ะ

 

เข้าใจว่า ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดเทศกาลภาพยนตร์ดี ๆ แน่นขนัดกันอย่างนี้ โดยเฉพาะ BANGKOK INTERNATIONAL FILM FESTIVAL ก็คือ Thacca กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนะ ดิฉันขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

 

ก็เลยถือว่าปี 2025 นี่เป็นปีของ “การดูหนังในเทศกาลภาพยนตร์จนเป็นบ้า” จริง ๆ เพราะมันเริ่มต้นปีด้วย The 7th Bangkok Experimental Film Fesitval: Nowhere Somewhere ในเดือนม.ค. ซึ่งอัดแน่นไปด้วยหนังดี ๆ อย่างล้นปรี่ แล้วก็มีการจัดเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ในกรุงเทพและปริมณฑลเรื่อยมาตลอดทั้งปี อย่างเช่น Japan Film Festival ในเดือนก.พ., Italy Film Festival ในเดือนพ.ค., European Film Festival ในเดือนพ.ค., Japanese & Thai Prewar Talkies ในเดือนมิ.ย., Flaherty Seminar ในเดือนมิ.ย.,  Signes de Nuit Film Festival ในเดือนก.ค. และก็เข้าสู่ช่วงพีคที่สุดของชีวิตเราตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นมา ตามที่ได้เขียนไปแล้ว

 

ขอกราบขอบพระคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนที่ช่วยกันจัดเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมานะคะ ดิฉันนอนตายตาหลับแล้วค่ะ

 

ถ้าให้เลือก TOP THREE ของช่วง 4 เดือนนี้ในวินาทีนี้ ก็น่าจะเป็น

 

1. ABOUT NARRATION (1975, Harun Farocki, Ingemo Engström, West Germany, 58min)

 

2. TITLE WAIVE (2019-2025, Ryan Trecartin, 33min)

 

3. NIRANAM (2014, Araya Rasdjarmrearnsook, 60min)

 

NIRANAM ยังมีฉายอยู่ที่ 100 TONSON FOUNDATION นะครับ หนังเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน Araya Rasdjarmrearnsook Retrospective จัดฉายอยู่จนถึงวันที่ 18 ม.ค. แกลเลอรี่นี้เปิดวันพฤหัสถึงวันอาทิตย์

 

แต่ถ้าให้เลือก TOP THREE ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า รายชื่อหนังใน top three ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ 55555

 

NIRANAM (2014, Araya Rasdjarmrearnsook, 60min, A+30) นี่น่าจะเป็น one of my most favorite films (or moving-mages) I saw in 2025 นะ ถือเป็นหนี่งในหนังที่เราชอบมากที่สุดที่ได้ดูในปี 2025 เลย

 

ตัวภาพในหนังจริง ๆ แล้วไม่น่าสนใจสำหรับเรา เพราะมันเป็นภาพคนเย็บปากแผลไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่ตัวเสียงในวิดีโอนี้เป็นอารยาเล่าเรื่องครอบครัวตัวเอง แล้วมันงดงามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

NIRANAM ยังมีจัดฉายอยู่ในงาน Araya Rasdjarmrearnsook Retrospective ที่ 100 TONSON FOUNDATION จนถึงวันที่ 18 ม.ค.นะ โดยในวันพฤหัส, ศุกร์ กับ เสาร์ ทางแกลเลอรี่จะฉายหนังเฉพาะในโปรแกรม C ซึ่งประกอบด้วยหนังของอารยา 6 เรื่อง ซี่งรวมถึงหนังเรื่อง NIRANAM ด้วย

 

แต่ในทุก ๆ วันอาทิตย์ ทางแกลเลอรี่จะฉายโปรแกรมหนัง A, B, C ซึ่งประกอบด้วยหนังของอารยาทั้งหมด 23 เรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าหากใครอยากดูหนังของอารยาทั้ง 23 เรื่อง ซึ่งมีความยาวรวมกันเพียงแค่ 437 นาที หรือ 7 ชั่วโมง 17 นาทีเท่านั้น ก็ไปดูได้ในวันอาทิตย์ค่ะ จนถึงวันที่ 18 ม.ค.

 

แต่เราไม่รู้ว่าทางแกลเลอรี่จะปิดช่วงปีใหม่ในวันไหนบ้างนะ ใครจะไปดูก็เช็คกับทางแกลเลอรี่ก่อนแล้วกันว่าปิดปีใหม่วันไหนบ้าง

 

ใครจะไปนั่งดูหนังยาว ๆ 23 เรื่องเป็นเวลา 7 ชั่วโมงในวันอาทิตย์ เราก็ขอแนะนำให้ “พกน้ำดื่ม” ติดตัวไปด้วยนะ เพราะแถวนั้นไม่มีน้ำดื่มขายจ้า แต่มี “ตัวเหี้ย” เล่นน้ำในลำคลองแถว ๆ นั้น 55555 เราเพิ่งถ่ายคลิปตัวเหี้ยในซอยต้นสนมาลงให้ดูเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน หลายคนคงจำได้

 

เราไปดูหนังในงานนี้ใน 2 วันอาทิตย์ สรุปว่าดูไปได้แค่ 20 เรื่องเท่านั้นค่ะ ยังขาดอีก 3 เรื่องที่ยังไม่ได้ดู ซึ่งก็คือ I’M LIVING, SURVIVOR’S WAY OF LIFE กับ VILLAGE KIDS SINGING

 

เราเพิ่งเขียนเปรียบเทียบ NIRANAM กับ “หนังสะท้อนชีวิตผู้หญิงหลายรุ่น” อีก 4 เรื่องไปนะ ซี่งก็คือ KEEPER (2025, Osgood Perkins, A+30), SOUND OF FALLING (2025, Mascha Schilinsky, Germany, A+30), A PALE VIEW OF HILLS (2025, Kei Ishikawa, Japan, A+30) และ WITCHES CAN’T BE BURNED เจ้าดอกกระดังงา (2025, Naphat Thanarotchudet, A+30)

 

หนังอีกเรื่องที่เราว่าเหมาะปะทะกับ NIRANAM ก็คือ น้องชายที่แสนดี(ย์)” FIRST-DEGREE VANISHING (2025, Montree Saelo, 85min, A+30) เพราะว่าหนังทั้งสองเรื่องนี้เปิดโอกาสให้ผู้ชม “จินตนาการภาพในหัวตามเสียงเล่าตลอดทั้งเรื่อง” เหมือนกันเลย โดย FIRST-DEGREE VANISHING นั้น มีแต่จอมืดตลอดทั้งเรื่อง กับเสียงเล่าเรื่องแบบหนัง mystery thriller ส่วน NIRANAM นั้น ภาพเป็นคนเย็บปากแผลตลอดทั้งเรื่อง ส่วนเสียงนั้นเล่าเรื่องของครอบครัวอารยาแบบกระแสสำนึกไปเรื่อย ๆ

++++++++

 

Favorite Fighting Female Characters:

22. Cure Majesty

 

วันนี้เราได้ดู YOU AND IDOL PRETTY CURE THE MOVIE: FOR YOU! OUR KIRAKILALA CONCERT! (2025, Koji Ogawa, Japan, animation, A+30) ที่เมเจอร์ รัชโยธิน แล้วก็ประทับใจตัวละคร Cure Majesty มาก ๆ เพราะว่าเธอใช้สีม่วงเป็นสีประจำตัว และสีนี้คือสีโปรดของเรา

 

พอเราไป search ดูข้อมูลของตัวละครตัวนี้ในอินเทอร์เน็ต ก็เลยเพิ่งรู้ว่า ตัวละครตัวนี้ใช้ Magic Hour เป็นอาวุธ รุนแรงมาก ไม่รู้คิดขึ้นมาได้ยังไง ชอบมาก ๆ ที่มีตัวละครหญิงสาวใช้ Magic Hour เป็นอาวุธในการฟาดฟันเหล่าผู้ร้าย

 

 


  

 

No comments: