Saturday, March 01, 2025

SUZAN PITT

 

THE BIRTH OF VENUS (mid-1480s, Sandro Botticelli)

 

PUERTA A PUERTA (2022, Jessica Sarah Rinland, Luis Arnías , Mexico/USA,  10 min, A+30)

 

พิศวงมาก ช่วงแรกของหนังดูปกติดี เพราะช่วงแรกของหนังเล่าถึงคนที่แพ็คสิ่งของต่าง ๆ เพื่อส่งไปยังเวเนซูเอลา ซึ่งรวมถึงครีมที่ทำจากนกอีมู แต่ช่วงที่สองของหนังเริ่มพิศวง เพราะมันเป็นจอมืด ผู้ชมได้ยินแต่เสียงนก และเสียงปี๊บ ๆ ที่คล้าย ๆ ว่ามาจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่วนช่วงที่สามเป็นเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งที่เหมือนเล่มบอร์ดเกมพิศวงอะไรสักอย่าง และมีการใช้แอปพลิเคชันในการฟังเสียงนกต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับบอร์ดเกม ส่วนช่วงที่สี่เป็นการเล่นเกมคอมพิวเตอร์

https://www.lecinemaclub.com/now-showing/puerta-a-puerta/

++++++

 

เพิ่งได้ดูหนัง 7 เรื่องของ Suzan Pitt ใน MUBI ไป กราบตีนจริง ๆ ชอบสุดขีดมาก ๆ ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป

 

ในบรรดา 7 เรื่องนี้ เรื่องที่เราชอบที่สุดคือ ASPARAGUS (1979, animation, 18min) และหนังเรื่องนี้เคยได้ฉายควบกับ ERASERHEAD (1977, David Lynch) ด้วย

++++++++++++

อยากดู SO IS THIS (1982, Michael Snow), LATE SEASON (1967, Zoltán Fábri, Hungary), BLUE COLLAR (1978, Paul Schrader)

Friday, February 28, 2025

THREE FILMS I SAW TWICE THIS YEAR

ขอบคุณมากจ้า

 

เราเดาไม่ออกอยู่ 2 เรื่อง ช่วยมาเฉลยด้วย 5555

 

เรื่องที่เดาออก

 

1. HAPPY HOUR (2015, Ryusuke Hamaguchi, Japan)

 

2. HAPPINESS (1965, Agnes Varda, France)

 

3. HAPPY AS LAZZARO (2018, Alice Rohrwacher, Italy)

 

4. HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan)

 

5. HAPPY-GO-LUCKY (2008, Mike Leigh, UK)

 

6. HAPPY TOGETHER (1997, Wong Kar-wai, Hong Kong)

 

7. HAPPY FLIGHT (2008, Shinobu Yaguchi, Japan)

++++++++

ลูกหมีบอกว่า ได้หนังอันดับ 1 ประจำปี 2025 แล้ว และหนัง/moving image อันนั้นก็คือ TEDDY BEARS’ PICNIC (2024, Singing Hands UK, music video, A+30)

 

เราเพิ่งดูหนังเรื่อง A ZED AND TWO NOUGHTS (1985, Peter Greenaway, UK/Netherlands, A+30) และก็เลยเพิ่งรู้ว่า มันมีเพลงชื่อ TEDDY BEARS’ PICNIC อยู่บนโลกนี้ด้วย ลูกหมีบอกว่า รักเพลงนี้ที่สุดเลย 55555

https://www.youtube.com/watch?v=5DJmi14ONqo

 

++++++++

 

พอดู LEGENDS OF THE CONDOR HEROES: THE GALLANTS (2025, Tsui Hark, China, A+25) แล้วก็เลยทำให้ nostalgia ต้องกลับไปดู มังกรหยก เวอร์ชั่นปี 1983 หนึ่งในสิ่งที่ชอบที่สุดในมังกรหยกเวอร์ชั่นปี 1983 คือเพลงประกอบเพลงนี้ ชอบ “ดนตรีช่วงอินโทร” ของเพลงนี้อย่างสุดขีดมาก ๆ เป็นดนตรีที่ฝังใจมากสุดขีดตลอดช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าใช้เครื่องดนตรีอะไร synthesizer หรือขลุ่ย หรืออะไร ใครรู้บ้าง

https://www.youtube.com/watch?v=ddC34e9J_qg

++++

 

เหมือนปีนี้มีหนังที่เข้าทางเราเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เยอะมาก เพราะฉะนั้นพอผ่านไปแค่ 2 เดือน ก็มีหนังยาว 3 เรื่องแล้วที่เราเข้าไปดูในโรงภาพยนตร์ถึง 2 รอบ เพราะเราชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนั้นอย่างสุดขีด ซึ่งหนังยาว 3 เรื่องนั้นได้แก่

 

1. SMALL HOURS OF THE NIGHT (2024, Daniel Hui, Singapore, 103min)

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ใน BANGKOK EXPERIMENTAL FILM FESTIVAL ในวันที่ 26 ม.ค. และในวันที่ 31 ม.ค.

 

2. THE MOURNING FOREST (2007, Naomi Kawase, Japan, 97min)

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ HOUSE ในวันที่ 9 ก.พ. และในวันที่ 15 ก.พ. แต่จริง ๆ แล้วเป็นการดูเพียง 1 รอบครึ่ง เพราะในวันที่ 15 ก.พ.เราได้ดูเพียงแค่ 60 นาทีแรก แล้วเราต้องรีบวิ่งมาดู BLACK BUTTERFLIES (2024, David Baute, Spain/Panama, animation, A+30) ที่ Alliance รอบ 18.00 น.

 

เราเลือกที่นั่งริมสุดนะ เราจะได้ออกจากโรงได้สะดวก

 

3. THE BOY ON THE LIGHTHOUSE เด็กชายบนประภาคาร (2025, Pichet Wongjoi, 90min, A+30)

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ CINEMA OASIS ในวันที่ 23 ก.พ. และในวันที่ 27 ก.พ.

 

ตลกดีที่ทั้ง THE MOURNING FOREST และ THE BOY ON THE LIGHTHOUSE เป็นหนัง “เดินป่า” ทั้งสองเรื่องเลย 55555

 

ชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้อย่างสุดขีดมาก และก็ดีใจมาก ๆ ที่ได้ดูหนังทั้ง 3 เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ 2 รอบ แต่ถ้าจัดอันดับจริง ๆ แล้ว THE MOURNING FOREST กับ THE BOY ON THE LIGHTHOUSE ก็อาจจะไม่ได้ติด TOP 5 หนังที่ชอบที่สุดประจำปีนี้แต่อย่างใดนะ แต่เหมือนหนังทั้งสองเรื่องนี้มันไม่ได้เน้น “เนื้อเรื่อง” น่ะ เหมือนความสุข + ความเพลิดเพลินของเราจากการดูหนัง 2 เรื่องนี้มันเกิดจากองค์ประกอบอื่น ๆ ของหนังที่ไม่ใช่ “เนื้อเรื่อง” มันก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราอยากดูหนังทั้งสองเรื่องนี้ซ้ำ ถึงแม้เราจะรู้เนื้อเรื่องของหนังทั้งหมดแล้ว

 

เหมือนพอ THE MOURNING FOREST มันไม่ได้เน้นไปที่ “ใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่” แต่หนังเรื่องนี้มันมีความทรงพลังอย่างรุนแรงบางอย่างที่ไม่ได้เกิดจากเนื้อเรื่อง เราก็เลยอยากดูมันซ้ำ

 

ส่วน THE BOY ON THE LIGHTHOUSE นั้น หนังมันอาจจะมีเนื้อเรื่อง แต่เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันมี “ความไร้เหตุผลของความฝัน” ครอบคลุมหนังอยู่ และความไร้เหตุผลของความฝันนี่มันทำให้เรารู้สึกเป็นอิสระมาก ๆ อิสระเสรีเหนืออื่นใด มั่นใจโกเต๊กซ์ นิวฟรีด้อม มาก ๆ เราก็เลยอยากดูหนังเรื่องนี้ซ้ำเป็นรอบที่สอง ถึงแม้เราจะรู้เนื้อเรื่องของหนังหมดแล้วในการดูรอบแรก

 

ส่วน SMALL HOURS OF THE NIGHT นั้น เราตามเนื้อเรื่องไม่ทันในการดูรอบแรก มันก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจดูรอบสอง 55555

 

จริง  ๆ แล้วในบรรดาหนังในเทศกาลหนังญี่ปุ่นปีนี้ เราอาจจะชอบ THE MOURNING FOREST น้อยกว่า LET’S GO KARAOKE! (2023, Nobuhiro Yamashita) และ GOOD MORNING (1959, Yasujiro Ozu) อีกนะ แต่เหมือน LET’S GO KARAOKE! เป็นหนังที่เราชอบสุดขีด แต่ไม่ได้อยากดูรอบสองในเวลาอันกระชั้นชิดน่ะ

 

ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจดีเหมือนกัน คือถ้าเปรียบหนังเป็นอาหาร หนังอย่าง LET’S GO KARAOKE! และ GOOD MORNING ก็เหมือนอาหารที่เรากินแล้วชอบมาก แต่ไม่ได้อยากกินมันซ้ำอีกทุกวัน ส่วน SMALL HOURS OF THE NIGHT, THE MOURNING FOREST กับ THE BOY ON THE LIGHTHOUSE เหมือนอาหารที่เรากินแล้วชอบมาก เราก็เลยสั่งเบิ้ลสองจานในทันที ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ทำไมหนังที่เราชอบมากบางเรื่องถึงส่งผลกระทบต่อเราในแบบที่แตกต่างกันแบบนี้ 

 

Thursday, February 27, 2025

SOME ICT FILMS I LOVE

 

SOME ICT FILMS I LOVE

 

1. MY ROOM AND I ห้องของฉันและเรื่องของผม (2010, Ka-nes Boonyapanachoti, documentary)

 

2. SUNDAY (2010, Siwapond Cheejedreiw, documentary)

 

3. BEHIND BEHIND BEHIND AND BEHIND (2012, Setthasiri Chanjaradpong)

 

4. THE DOCUMENTARY OF COSPLAYER (2012, Krittaporn Petchnamkeow)

 

5. ABACADABRA (2012, Kittanai Tang, 14.11min)

 

6. BE-WHERE (2013, Pornsiri Tongbaisri, 30min)

 

7. “FORM” FAR AWAY ลักษณ์ (2013, Kamonwan Chantarat)

 

8. FRIENDS SHIFT (2013, Boonyarit Wiangnon)

 

9. HEY MANOB I REALLY NEED YOU สวัสดีมานพ (2013, Tanaset Siriwattanadirek, Wandee Taboonpong, 26MIN)

 

10. NO ADDRESS (2013, Sattaya Janchana, 21.31min)

 

11. SHE’S THE MOST BEAUTIFUL ผู้หญิงคนนี้...สวยที่สุด (2013, Kittisap Erbsuk, 24.49min)

 

12. WANTAYAHAT วันทยหัตถ์ (2013, Busarin Seengam)

 

13. OLDS (2014, Watcharapol Seangarunroj, 25.34min)

 

14. กะทันหัน PART 1 (2014, กัตติกา ตันหยง Kattika Tanyong, 13.12min)

 

15. ผ่าน (2014, กนกวัฒน์ ช่วงไชยยะ Kanokwat Chuangchaiya, 18.41min)

 

จริง ๆ แล้วก็คือเราชอบเป็นร้อยเรื่อง แต่ลิสท์ไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน 55555

Tuesday, February 25, 2025

LEGENDS OF THE CONDOR HEROES: THE GALLANTS (2025, Tsui Hark, China, 146min, A+25)

 

76. SAVAGE WITCHES (2012, Daniel Fawcett and Clara Pais, UK, A+25)

 

เพิ่มรายชื่อหนังเรื่องนี้เข้าไปในกลุ่ม “หนังเกี่ยวกับเด็กสาวสองคน”

 

เราเคยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ที่นี่
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10204114527966814&set=a.10201975069921700

++++++++++

พอ “มังกรหยก” THE LEGENDS OF THE CONDOR HEROES: THE GALLANTS (2025, Tsui Hark, China, A+25) เข้าฉาย เราก็เลยขอรีโพสท์สิ่งนี้อีกครั้ง

 

ถ้าหากเทียบกับเหตุการณ์ในละครทีวีฮ่องกงเรื่องอื่น ๆ แล้ว เหตุการณ์ใน “มังกรหยก” ก็เกิดหลัง “เปาบุ้นจิ้น”, เกิดช่วงหลังจาก “GENGHIS KHAN” (1987) เล็กน้อย (เพราะ GENGHIS KHAN พูดถึงวัยหนุ่มของเจงกิสข่าน) และเกิดก่อนเหตุการณ์ใน “ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม” (1980) ที่พูดถึง “วัยหนุ่มของจางซันฟง” (เหตุการณ์ใน “ดาบมังกรหยก” ก็เกิดหลังจาก ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม เล็กน้อย)

 

ตลกดีที่ “ว่านจื่อเหลียง” เคยแสดงเป็นทั้ง “เจงกิสข่าน” ใน GENGHIS KHAN และ “จางซันฟง” ใน “ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม”

 

 

LEGENDS OF THE CONDOR HEROES: THE GALLANTS (2025, Tsui Hark, China, 146min, A+25)

 

1. ปรากฏว่า สิ่งที่เราชอบมากที่สุดคือการที่ตัวละครใช้ภาษามองโกลคุยกันเกือบครึ่งเรื่อง ฟังแล้วรู้สึกแปลกหูมาก ๆ ชอบมาก ๆ เหมือนเราไม่เคยดูหนังจีนที่ตัวละครใช้ภาษามองโกลคุยกันเกือบครึ่งเรื่องมาก่อน

 

2. ชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้เน้นนำเสนอความขัดแย้งระหว่างลูกชาย 4 คนของ “เจงกิสข่าน” ซึ่งเหมือนเป็นสิ่งที่เราแทบจำไม่ได้ว่ามันเคยมีอยู่ในละครทีวี “มังกรหยก” ที่เราเคยดูตอนเด็ก ๆ หรือเปล่า

 

คือเราเคยดูละครทีวีมังกรหยกเวอร์ชั่น 1976 ที่นำแสดงโดยไป่เปียว แบบผ่านๆ และเคยดูเวอร์ชั่นปี 1983 ที่นำแสดงโดย หวงเย่อหัว แต่เหมือนตอนที่เราตามดูเวอร์ชั่นของหวงเย่อหัวนั้น เราไม่ได้มุ่งความสนใจไปยังเรื่องราชสำนักมองโกลเลย คือละครทีวีปี 1983 อาจจะนำเสนอประเด็นนี้ แต่เรามองข้ามประเด็นนี้ไปเลยตอนที่ดูละครทีวีเรื่องนั้น

 

พอหนังเวอร์ชั่นปี  2025 ยกประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างองค์ชายมองโกล 4 คนขึ้นมาเป็นจุดเด่น เราก็เลยสงสัยว่า ประเด็นนี้มันถูกนำเสนอมากน้อยแค่ไหนในนิยายของ “กิมย้ง” และเราก็ชอบในระดับนึงที่ “ฉีเคอะ” หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญในหนังเรื่องนี้ เหมือนการเลือกชูประเด็นนี้มันทำให้ “มังกรหยก” เวอร์ชั่นนี้มีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าโดยส่วนตัวแล้วเราไม่ได้อินกับประเด็นนี้มากนักก็ตาม

 

พอดู “มังกรหยก” เวอร์ชั่นปี 2025 แล้ว เราก็เลยต้องไปอ่านบทความนี้ในเว็บไซท์ ศิลปวัฒนธรรม ด้วย เพราะมันพูดถึงการตบตีกันขององค์ชายมองโกลทั้ง 4 คน

https://www.silpa-mag.com/history/article_95759

 

แล้วเราก็ตามไปอ่านประวัติของ “กุบไลข่าน” (1215-1294) ด้วย เพิ่งรู้ว่าอาณาจักรมองโกลเคยขยายไปจนติดกรุงเวียนนาของออสเตรียในปี 1241 รุนแรงมาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Mongol_invasion_of_Europe

 

3. แต่เราก็ไม่ได้ชอบ “มังกรหยก” เวอร์ชั่น 2025 ในระดับ A+30 นะ เพราะเราไม่ค่อยชอบหนังจีนกำลังภายในที่ผูกโยงกับ “เรื่องราวในราชสำนัก” น่ะ เราชอบหนัง/ละครจีนกำลังภายในที่เน้นเรื่องของยุทธภพเป็นหลักมากกว่า แบบพวก “เดชคัมภีร์เทวดา”, REIGN OF ASSASSINS (2010, Su Chao-Bin), SWORD MASTER (2016, Derek Yee)

 

เพราะฉะนั้นพอ “มังกรหยก” เวอร์ชั่นนี้มันไปเน้นที่เรื่องราชสำนักมองโกล แทนที่จะเน้นการต่อสู้กันด้วยกำลังภายใน เพลงกระบี่ อะไรพวกนี้ หนังเรื่องนี้ก็เลยไม่ค่อยเข้าทางเราซะทีเดียว

 

4. Xiao Zhan เซียวจ้านหล่อสุดขีด แต่บทของเขาในเรื่องนี้มันดูไม่ค่อยเป็นมนุษย์ในแบบที่เข้าทางเรา คือเราว่าบทของเขาในเรื่องนี้มันดูเป็นผู้ชายที่ perfect เกินไป เป็น hero มากเกินไป ดูเหมือนเป็น “เครื่องจักร hero” ยังไงไม่รู้ 55555

 

5. แต่ก็ชอบ dilemma ในหนังนะ ที่ก๊วยเจ๋งต้องเลือกว่าจะช่วย “ชาติ” ไหน หรือฝ่ายไหน

 

ซึ่งถ้าหากเราเป็น ก๊วยเจ๋ง ในหนังเรื่องนี้ เราคงไม่ตัดสินใจแบบเดียวกับก๊วยเจ๋งในหลาย ๆ สถานการณ์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงท้าย ๆ ที่เราคงปล่อยให้ผู้ร้ายตบกันเอง 55555

 

เหมือนสิ่งที่เราเคยประทับใจมากที่สุดในตัวละคร “ก๊วยเจ๋ง” ไม่ใช่เรื่องความรักชาติ รักแผ่นดิน ความเป็นวีรบุรุษของเขาน่ะ แต่เป็นซีนที่เขาต้องประลองกับ “อาวเอี้ยงเค็ก” ในฉากนึงในละครทีวีปี 1983

 

ถ้าเราจำไม่ผิด มันมีฉากนึงที่ มารบูรพา อึ้งเอี๊ยะซือ เป่าขลุ่ย หรืออะไรทำนองนี้ แล้ว เสียงขลุ่ยของมารบูรพา สามารถทำร้ายอาวเอี้ยงเค็ก ได้ แต่ไม่สามารถทำร้าย ก๊วยเจ๋ง ได้เลย เพราะก๊วยเจ๋ง “ไม่มีความรู้เรื่องทฤษฎีดนตรี” เหมือนเสียงขลุ่ยอันพิสดารล้ำลึกของมารบูรพา สามารถทำร้ายได้เฉพาะคนที่มีความรู้เรื่องทฤษฎีดนตรีเท่านั้น แต่ถ้าหากใครไม่มีความรู้เรื่องทฤษฎีดนตรี อย่างเช่น ก๊วยเจ๋ง เสียงขลุ่ยของมารบูรพาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

 

เราก็เลยชอบซีนนี้หรือฉากนี้ของ “ก๊วยเจ๋ง” มากที่สุด 55555

 

6. อีกสิ่งที่เราชอบในหนังเรื่องนี้ ก็คือการที่หนังเรื่องนี้เน้นเรื่อง “วิธีการสื่อสารในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ” 55555

 

7.ปรากฏว่าตัวละครที่เราชอบในละครทีวี “มังกรหยก” ไม่ปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้เลย แต่เราก็ไม่ว่าอะไร เข้าใจได้ เพราะการจะดัดแปลงนิยายขนาดยาวให้กลายเป็นหนังแค่ 2-3 ชั่วโมง มันก็ต้องดัดแปลงให้แตกต่างไปจากนิยายต้นฉบับอย่างรุนแรงอยู่แล้ว

 

ตัวละครที่เราชอบในละครทีวีมังกรหยกปี 1983 ก็คือ

 

7.1 เหมยเชาฟง นางศพเหล็ก (แสดงโดย หวงเหวินฮุ่ย)

 

7.2 ยัยเซ่อ (เฉินอันอิ๋ง)

 

7.3 เฒ่าทารก จิวแป๊ะทง (ฉินหวง)

 

7.4 เอ็งโกว เทพคำนวณจอมอำมหิต (เจิ้งชิ่งอวี๋)

 

8.เราชอบหนังของ “ฉีเคอะ” มากกว่าหนังย้อนยุคหลาย ๆ เรื่องของ “จางอี้โหมว” แต่แน่นอนว่าเราชอบ ASHES OF TIME (1994, Wong Kar-wai) มากกว่า มังกรหยก เวอร์ชั่นนี้

 

อยากให้มีคนทำหนังแบบ ASHES OF TIME อีกมากๆ หรือทำหนังแบบที่ดัดแปลงนิยายต้นฉบับให้ออกมาแตกต่างไปจากเดิมอย่างรุนแรง อย่างเช่น นำเอาตัวละครในมังกรหยกที่เราชอบ อย่างเช่น เหมยเชาฟง, เอ็งโกว มา spin off เป็นหนังของตัวเอง หรือนำมาดัดแปลงเป็นตัวละครหญิงสาวจิตใจอำมหิตในโลกยุคปัจจุบัน

 

หรืออยากให้มีคนนำเอาตัวละครที่เราชื่นชอบใน “ดาบมังกรหยก” มา spin off เป็นเรื่องราวของตัวเองด้วย อย่างเช่น “แม่นางเสื้อเหลือง” ผู้สำเร็จวิชา กรงเล็บกระดูกขาว จากคัมภีร์เก้าอิม

 

ชอบมาก ๆ ที่มีคนสรุปเรื่องราวของ คัมภีร์เก้าอิม ไว้ที่นี่

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=2894920737474083&id=2007331706232995&set=a.2007341916231974&locale=th_TH&_rdc=1&_rdr#

 

9.ดู TIMELINE ประวัติศาสตร์จีนในละครทีวี/หนังฮ่องกงได้ที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10227244116752078&set=a.10223045281543822

++++

 

อะไรคือการที่เรากลับเข้ามาในอพาร์ทเมนท์ แล้วเจอลูกหมีกำลังทำพิธีฝังรูปฝังรอยให้ผู้ชายรักผู้ชายหลง

 

(จริง ๆ คือเราเห็นพวงกุญแจสองอันนี้มันน่ารักดี ก็เลยเอามันมาประกบกัน 55555)

++++

การ์ดจากภาพยนตร์เรื่อง HAPPY MONDAY(S) (2025, Chakorn Chaipreecha, A+30) กับ THE LOST PRINCESS (2024, Kornpat Pawakranond, A+30)

++++

 

DAWSON CITY: FROZEN TIME (2016, Bill Morrison, 120min) จะมาฉายที่หอภาพยนตร์ ศาลายา กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ดีใจที่สุด อยากดูหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก ๆ

 

ก่อนหน้านี้หนังเรื่อง INCIDENT (2023, Bill Morrison, A+30) ก็เพิ่งมาฉายในเทศกาลภาพยนตร์ SIGNES DE NUIT FILM FESTIVAL IN BANGKOK ในปี 2024 และเป็นหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาสารคดีสั้นอยู่ในตอนนี้ด้วย

Saturday, February 22, 2025

MANEE MANA

 

ฉันรักเขา Yousuke Yukimatsu from HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan, A+30)

+++++

วันนี้ดู MANEE MANA มานี มานะมิตรภาพระหว่างเพื่อน (2025, Nanthapol Gamutwanich นันทพล กมุทวณิช, 95min, A+15) พอเราได้เห็นตัวละคร “เพชร” ในหนังเรื่องนี้ เราก็เลยนึกถึงภาพวาดนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ มันคือภาพวาด AT THE SCHOOL DOORS (1897, Nikolay Bogdanov-Belsky, Russia) ที่นำเสนอภาพของเด็กชายจน ๆ คนหนึ่งที่ทำท่าลังเลอยู่หน้าประตูห้องเรียน เหมือนเขาอยากเรียนหนังสือ แต่ความจนของเขาอาจจะเป็นอุปสรรค

 

พอเราได้ดู MANEE MANA ที่โรงหนัง SF CENTRAL WORLD ในวันนี้ เราก็เลยนึกถึงเด็กผู้ชายที่เดินจากหัวลำโพงมาดูหนังที่โรงหนังนี้ในช่วง WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK ในเดือนพ.ย.ปีที่แล้วด้วย เพราะตัวละคร “เพชร” ใน MANEE MANA มีบางอย่างที่ทำให้นึกถึงเด็กผู้ชายคนนั้นเป็นอย่างมาก

Friday, February 21, 2025

RIP SOULEYMANE CISSÉ (1940-2025)

 

RIP SOULEYMANE CISSÉ (1940-2025)

 

เราเคยดูหนังของเขาแค่ 3 เรื่อง แต่ก็ชอบอย่างสุดขีดคลั่งทั้ง 3 เรื่อง ซึ่งก็คือ

 

1. THE YOUNG GIRL (DEN MUSO) (1975, Mali)

 

หนังเรื่องนี้ติดอันดับ 43 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2010

https://celinejulie.blogspot.com/2015/01/favorite-films-i-saw-in-2010.html

 

2. WORK (BAARA) (1978, Mali)

 

หนังเรื่องนี้ติดอันดับ 27 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2013

https://www.sensesofcinema.com/2014/2013-world-poll/2013-world-poll-part-3-2/#9

 

3. THE WIND (FINYE) (1982, Mali)

 

หนังเรื่องนี้เคยมาฉายที่สมาคมฝรั่งเศส ถนนสาทรใต้

 

เราเคยใส่หนังเรื่องนี้ไว้ในลิสท์ FAVORITE FILMS ABOUT CIVIL WARS

https://celinejulie.blogspot.com/2011/02/civil-war-film-wish-list.html

 

และลิสท์ MY FIFTEEN FAVORITE FILMS FROM SOME INTERESTING COUNTRIES

https://web.facebook.com/photo?fbid=10205649862829226&set=a.3158279119263

++++++

 

ช่วง “กะหรี่ออกหากินหลังพระอาทิตย์ตกดิน”

 

วันนี้เรามาดูหนังเรื่อง FEAR (1996, James Foley, A+25) กับ KING CREOLE (1958, Michael Curitz, A+30) ที่หอภาพยนตร์ แล้วพอช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เราก็เลยออกไปหาอะไรกินค่ะ โดยวันนี้เราลองไปกินที่ร้าน BRIX HOUSE ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับหอภาพยนตร์และห้าง MACRO ร้านนี้มีขายทั้งอาหารฝรั่งและอาหารไทย เราลองกินแล้วก็พบว่าอร่อยดีค่ะ ร้านนี้เปิด 09.00-22.30 น. (เห็นเพจของทางร้านบอกว่าอย่างนั้น) คิดว่าวันหลังคงจะมาอุดหนุนร้านนี้อีกค่ะ

++++++++++

หนังที่จัดฉายในกรุงเทพที่เรายังไม่ได้ดู แต่อยากหาเวลาไปดูในสัปดาห์นี้

 

เหมือนสัปดาห์นี้มีหนังเข้าใหม่เยอะมาก และก็มีหนังที่เข้าฉายในสัปดาห์ก่อน + video installations อีกเยอะมากที่เรายังไม่ได้ดู ตอนนี้เราก็เลยขอจดไว้ก่อนแล้วกันว่า ช่วงสัปดาห์นี้เราจะต้องตามดูอะไรบ้าง

 

1.ATTACK ON TITAN THE MOVIE: THE LAST ATTACK (2024, Yuichiro Hayashi, Japan, animation, 145min)

 

2.THE BOY ON THE LIGHTHOUSE (2025, Pichet Wongjoi, 90min)

 

3.BRIDGET JONES: MAD ABOUT THE BOY (2025, Michael Morris, UK, 124min)

 

4.CAPTAIN AMERICA: BRAVE NEW WORLD (2025, Julius Onah, 118min)

มีฉากท้ายเครดิต

 

5.CLEANER (2025, Martin Campbell, UK, 96min)

 

6.DEN OF THIEVES 2: PANTERA (2025, Christian Gudegast, 144min)

 

7.HAPPY MONDAYS สวัสดีวันจันทร์ (ส) (2025, Chakorn Chaipreecha, 130min)

 

8.LEGENDS OF THE CONDOR HEROES: THE GALLANTS (2025, Tsui Hark, China, 146min)

 

9.NO OTHER LAND (2024, Yuval Abraham, Basel Adra, Hamdan Ballal, Palestine/Norway, documentary, 92min)

 

10.NOSFERATU (2024, Robert Eggers, USA/UK/Hungary, 132min)

 

11.PHANTHAI NORASING พันท้ายนรสิงห์ (1950, Marut, 108min)

ฉายที่ อัศวินภาพยนตร์

https://asvinbangkok.com/exhibitions-and-events/#showtime

แต่แอบสงสัยว่าทำไมเวอร์ชั่นออนไลน์ยาว 134 นาที 555555
https://web.facebook.com/watch/?v=1010183199160786

 

12.THE SEED OF THE SACRED FIG (2024, Mohammad Rasoulof, France/Germany, 167min)

 

13.มานี มานะ: มิตรภาพระหว่างเพื่อน (2025, นันทพล กมุทวณิช, 95min)

 

ส่วนงาน VIDEO INSTALLATIONS ที่เรายังไม่ได้ดู ก็มีเช่น

 

1.SHAPESHIFTING SPACES (92min) at Bangkok Kunsthalle, until 27 February

https://web.facebook.com/BangkokKunsthalle/posts/pfbid0XXp1ZM8vCso6pJjHTtYf2h82mDkp7KBwFjSXxUH5aaNi3wYdnzXtUspM17QdyYZtl

 

2.FLICKERING OBJECTS at 100 TONSON FOUNDATION, until 9 March

https://web.facebook.com/100TonsonFoundation/videos/660360199760642/

 

3.COLLAPSING CLOUDS FORM STARS: A MINI-RETROSPECTIVE at Gallery Ver, until 22 March

https://web.facebook.com/events/1001994241964617

 

4.CICADA (2020, Swoon) at SAC Gallery, until 12 April

https://web.facebook.com/sacbangkok/posts/pfbid02GqCxXu2EzUwZeQVja8CmkSstHTNuPk5mDd4hvWNGvLMjw2ZzrRkZxKsXRn1eMEy1l

 

5.INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985, produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705 min) ที่ฉายที่หอภาพยนตร์ ศาลายา เราดูไปแล้ว 150 นาที ยังเหลืออยู่อีก 555 นาที หรือเหลืออยู่อีก 9 ชั่วโมง 15 นาทีที่เรายังไม่ได้ดู

 

แล้วก็มีหนังออนไลน์ที่เราอยากดูอีก อย่างเช่น

 

1.R21 AKA RESTORING SOLIDARITY (2022, Mohanad Yaqubi, Palestine, 71min) หมดเขต 26 February

https://www.palestinefilminstitute.org/en/pfp

 

2.A ZED AND TWO NOUGHTS (1985, Peter Greenaway, UK, 117min) ใน MUBI หมดเขตราว ๆ 27 February

https://mubi.com/en/th/films/a-zed-and-two-noughts

 

3.หนังสั้น 3 เรื่อง ใน E-FLUX หมดเขต 2 March

https://www.e-flux.com/film/

 

ส่วนหนังที่เราชอบที่สุดที่ได้ดูมาตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งก็คือ HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan) ก็กำลังเข้าฉายที่ HOUSE SAMYAN ในช่วงนี้ด้วยนะ

Thursday, February 20, 2025

ARCHIVAL TIME ON OUR RETINA

 

เผื่อคนอยากมาดูนิทรรศการ ARCHIVAL TIME ON OUR RETINA ที่หอภาพยนตร์ แล้วอยากรู้ว่าต้องใช้เวลาดูนานกี่นาที คำตอบก็คือ นิทรรศการนี้ใช้เวลาดูเพียงแค่ 1274 นาที หรือ 21 ชั่วโมง 14 นาทีก็พอค่ะ แต่มีงานหลายชิ้นในนิทรรศการนี้ที่เคยฉายมาก่อนหน้านี้แล้ว

 

นิทรรศการนี้ประกอบด้วย

 

1. TRIP AFTER (2023, Ukrit Sa-nguanhai, 10min, A+30)

เราเคยดูมาก่อนแล้ว

 

2. ALL THE POETRY AND THE PITY OF THE SCENE (2023, Nakrob Moonmanus, video installation, 4.40min, A+30)

 

เราเพิ่งดูเมื่อวานนี้ กราบตีนมาก ๆ

 

3. RED EAGLE SANGMORAKOT: LESSONS FROM THE ARCHIVE (2025, Chulayarnnon Siriphol, video installation, 4min, A+30)

 

เราเพิ่งดูเมื่อวานนี้

 

4. THE AGE OF ANXIETY (2013, Taiki Sakpisit, 14min, A+30)

 

เราเคยดูมาก่อนหน้านี้แล้วในรูปแบบภาพยนตร์ แต่ไม่แน่ใจว่าพอมันมาเป็น video installation แล้วมันมีการจัดวางอะไรขึ้นมาใหม่หรือเปล่า

 

5. SOON TO BE FORGOTTEN (2023, Thai Film Archive + Rolling Wild, video installation, 40min, A+30)

 

เราเคยดูมาก่อนหน้านี้แล้ว เราเคยเขียนถึงหนังชุดนี้ไว้ที่นี่

https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid0cFvmXaF2jRBL5taoQeutnYdrertTAbG3vSB7TahzoHqwWBzioH46AGMdmQvPmtqzl

 

6. FROM THE ROYAL STATE RAILWAYS COLLECTION (151 min, A+30)

 

เราเคยดูมาก่อนหน้านี้แล้วในเทศกาลหนังเงียบ แต่เราเข้าใจว่าเวอร์ชั่นที่ฉายในเทศกาลหนังเงียบมันสั้นกว่าเวอร์ชั่นที่ฉายในนิทรรศการนี้ แต่เราไม่แน่ใจว่ามันสั้นกว่ากันกี่นาที และเราไม่รู้ว่ามีส่วนไหนบ้างที่เพิ่มเข้ามาตอนที่ฉายในนิทรรศการ ARCHIVAL TIME นี้

https://web.facebook.com/photo?fbid=10159831852221650&set=a.10159373403516650

 

7. INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985, produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705min)

 

หนังยาว 11ชั่วโมง 45 นาที แต่เราเพิ่งดูไปแค่ 90 นาที ยังเหลืออีก 10 ชั่วโมง 15 นาที

 

เห็นเพื่อนบอกว่ามีให้ดูที่ห้องสมุดของหอภาพยนตร์ด้วย

 

8. ARCHIVE คลังภาพยนตร์ (345 min)

 

หนังสารคดีสั้นยุคโบราณของไทยจำนวน 57 เรื่อง ซึ่งดูเหมือนว่าเราเคยดูไปแค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือ NEW DAWNS IN THE FOREST (1980, Comrade Rassamee, documentary, A+30) หรือ “รุ่งอรุณวันใหม่ในป่า”  (1980, สหายรัศมี) โดยเราเคยเขียนถึง NEW DAWNS IN THE FOREST ไว้ที่นี่

https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid02jZLMC6T6b3c4svHBZ3TNgRH65VCE3aciFycyUhzRtBHBWigcuUUme1RaNckm5YR5l

 

สรุปว่า ในส่วนของตัวดิฉันเอง ที่ตั้งใจว่าจะดูก็คือ INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY ที่เหลืออีก 615 นาที และหนังสารคดีสั้นยุคโบราณของไทยอีก 56 เรื่อง ที่น่าจะยาวรวมกันราว 300 นาที ก็เลยเหลือที่ต้องดูอีกเพียงแค่ 915 นาที หรือ  15 ชั่วโมง 15 นาทีเท่านั้นค่ะ

 

+++

 

เราเคยดูหนังของ Hellmuth Costard แค่สองเรื่อง คือ SOCCER AS NEVER BEFORE (1971) กับ ECHTZEIT (1983) และยกให้หนังทั้งสองเรื่องนี้ติดอันดับหนังที่เราชอบที่สุดตลอดกาลไปเลย

+++

 

ALL DAY AND ALL OF THE NIGHT (2022, Priya Naresh, India, documentary, 9min, A+30)

https://www.youtube.com/watch?v=KOSj7SzPE5g

+++

 

INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985, produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705min)

 

ขอบันทึกความทรงจำไว้ก่อนนิดนึงสำหรับช่วง 90 นาทีที่เราได้ดูไป

 

1.หนังยาว 11ชั่วโมง 45 นาที แต่เราเพิ่งดูไปแค่ 90 นาที ยังเหลืออีก 10 ชั่วโมง 15 นาที

 

ทางนิทรรศการเขาห้ามถ่ายรูปหนัง THAI COMMUNISTS เสียดายมาก ๆ เพราะ COMMUNIST หนุ่มบางคนหล่อน่ากินที่สุด ฉันรักเขาอย่างรุนแรงมาก

 

2. ONE OF MY MOST FAVORITE SCENES I SAW THIS YEAR อยู่ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็คือฉากที่จิระนันท์ พิตรปรีชา ให้สัมภาษณ์ แล้วมีเสียงจากรถเร่ขายของดังเข้ามาในฉากว่า "หอยแมลงภู่ 3 กิโล 10 บาท" แล้วจิระนันท์ก็ถามคนสัมภาษณ์ในทำนองที่ว่า ต้องรอให้รถแล่นผ่านไปก่อนไหม แล้วเธอค่อยเมาท์มอยต่อ

 

ชอบมาก ๆ ที่ MOMENT นั้นมันเป็น MOMENT ที่ผู้สร้างภาพยนตร์ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน แล้วพอมาดูในยุคปัจจุบัน มันก็สะท้อน "ภาวะเงินเฟ้อในข่วง 40 ปีที่ผ่านมา" ได้ดีด้วย

 

3.เราได้ดูหนังเรื่องนี้ไปแค่ 90 นาทีจาก 705 นาที แต่ก็เจอ “ตัวละครหญิง” ที่เราชอบสุดขีดตลอดกาลคนหนึ่งไปแล้ว นั่นก็คือ เด็กสาวชาวม้งชื่อ “หนี่เอ๋อ”

 

จริง ๆ จะเรียกว่า “ตัวละครหญิง” ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะ “หนี่เอ๋อ” เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริง แต่เธอถือว่าเป็น “ผู้หญิงในภาพยนตร์” ที่สร้างความประทับใจให้เราได้อย่างรุนแรงก็แล้วกัน ประทับใจเรื่องราวของเธอมาก ๆ

 

ในหนังสารคดีเรื่องนี้ คุณจิระนันท์ พิตรปรีชา เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตตอนเข้าป่าไปร่วมกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ในช่วงทศวรรษ 1970 (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) และเธอเล่าว่า ตอนที่เธอถูกส่งไปอยู่ที่พะเยานั้น เธอต้องอยู่ร่วมค่ายกับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีเด็กสาวชาวม้งชื่อ “หนี่เอ๋อ” อยู่ในค่ายเดียวกันด้วย

 

หนี่เอ๋อเป็น “บ้า” เพราะสิ่งที่ครอบครัวทำกับเธอ เหมือนครอบครัวของเธอไม่อยากได้ลูกผู้หญิง เพราะฉะนั้นพอเธอถือกำเนิดขึ้นมา บางคนในครอบครัวของเธอก็เลยพยายามฆ่าเธอ จับเธอไปถ่วงน้ำ แต่เธอไม่ตาย คนในครอบครัวของเธอเฆี่ยนตีเธออย่างรุนแรงด้วย (ถ้าเราจำไม่ผิด)

 

ตอนที่คุณจิระนันท์พบกับหนี่เอ๋อในค่ายคอมมิวนิสต์ที่จังหวัดพะเยานั้น หนี่เอ๋อมีสภาพ “เหมือนสัตว์” พูดไม่เป็นภาษามนุษย์ และชอบนั่งหลับ หลับแล้วก็ “กลิ้งตกเหว” คุณจีระนันท์กับพรรคพวกก็ต้องคอยไปอุ้มขึ้นมาจากเหวเพื่อให้มานั่งหลับตามเดิม แล้วหนี่เอ๋อก็ “ถ่ายอุจจาระในห้องครัว” ด้วย คุณจิระนันท์ก็ต้องคอยมาตามเช็ด อะไรทำนองนี้

 

เราก็เลยประทับใจเรื่องราวของ “หนี่เอ๋อ” มาก ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้หนี่เอ๋อยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า และชีวิตของเธอเป็นอย่างไรแล้วบ้าง แต่พอเราฟังเรื่องราวของเธอในหนังสารคดีเรื่องนี้ เราก็ประทับใจมาก ๆ นึกถึง HELEN KELLER, หนังเรื่อง NELL (1994, Michael Apted) , หนังเรื่อง THE ENIGMA OF KASPAR HAUSER (1974, Werner Herzog, West Germany) และหนังสารคดีเรื่อง LAND OF SILENCE AND DARKNESS (1971, Werner Herzog, West Germany) ที่พูดถึงเด็กพิการบางคนที่พ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนอบรม แล้วเด็กคนนั้นก็เลยกลายเป็นเหมือนสัตว์ ไม่สามารถสื่อสารภาษามนุษย์กับใคร ๆ ได้

 

จริง ๆ แล้วเรื่องของหนี่เอ๋อมันเศร้ามาก ๆ เลยนะ เราก็ได้แต่หวังว่าเธอน่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากนั้น บางทีเธออาจจะเป็นหนึ่งในชาวม้งที่ได้อพยพไปอยู่อเมริกา และเธออาจจะมีชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่อเมริกาแล้วก็ได้ เราได้แต่หวังอย่างนั้น

 

4. ประทับใจเรื่องของกลุ่ม “ดรุณีเหล็ก” ในค่ายคอมมิวนิสต์มาก ๆ เลยด้วย เป็นกลุ่มเด็กสาวในวัยมัธยมกับมหาลัยที่มาเข้าค่ายคอมมิวนิสต์ และอยู่รวมกันเป็นกลุ่มดรุณีเหล็ก นำโดยอาจารย์ชลธิรา (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด) เด็กสาวกลุ่มนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตีสาม เพื่อไปหาบน้ำจากลำห้วยมาทำอาหาร และต้องทำงานหนักมาก ๆ ทั้งถางป่า, ทำไร่, ผ่าฟืน, etc.

 

ต่อมาสมาชิกบางคนในกลุ่มดรุณีเหล็กเริ่มไม่พอใจชนชั้นนำในพรรคคอมมิวนิสต์ บางคนก็เลยเริ่มกินเหล้า สูบบุหรี่

 

5. เรื่องของ “หญิงชาวบ้าน” ในค่ายคอมมิวนิสต์ก็น่าสนใจมาก ๆ เพราะในค่ายคอมมิวนิสต์มีทั้งนักศึกษา และ “หญิงชาวบ้าน” และหญิงชาวบ้านเหล่านี้บางทีก็ตบตีกันเอง เพราะทุกคนมีหน้าที่ต้องไปทำไร่ แต่บางคนก็ไม่ไปทำไร่ เพราะป่วย เพราะฉะนั้นก็เลยมีการระแวงกันว่า อีนี่ป่วยจริง หรืออีนี่ขี้เกียจ อีนังนี่พยายามกินแรงคนอื่น ๆ คือพอเป็น “ไร่รวม” เป็น “สมบัติส่วนรวม” ก็เลยเกิดการระแวงกันว่า อีนี่ขี้เกียจ กินแรงคนส่วนรวมหรือเปล่า หญิงชาวบ้านเหล่านี้ก็เลยตบตีกัน

 

ตอนหลังพอแยกให้ทำกันคนละแปลง แปลงของใครของมัน ปรากฏว่าคราวนี้ “ข้าวโพดงอกงามดี” เลย คือพอเป็น “ของส่วนรวม” แล้วก็เลยขี้เกียจกัน เกี่ยงกัน ตบตีกัน แต่พอเป็น “แปลงส่วนตัว” ปุ๊บ คนพวกนี้ก็ตั้งใจทำแปลงของตัวเองให้ดีที่สุด

 

6. ผู้นำหญิงบางคนในพรรคคอมมิวนิสต์ก็น่าสนใจมาก ถ้าหากเราจำไม่ผิด คุณจิระนันท์เล่าว่า ผู้นำบางคนในค่ายมี “ของดี ๆ เอาไว้กินเอง” อยู่ในบ้าน อย่างเช่นมี “ปลาหมึกที่ส่งมาจากประเทศจีน” เอาไว้กินเองอยู่ในบ้าน ส่วนลูกกระจ๊อกในค่ายก็แทบไม่ได้กินเนื้อสัตว์ดีๆ เลยมั้ง

 

แล้วมีอยู่ครั้งนึง คนในค่ายทนไม่ไหว เลยตะโกนว่า “ฟักทองจงพินาศ” หรืออะไรทำนองนี้ตอนช่วงกินอาหารเย็น ผู้นำหญิงคนนึงก็เลยผลุนผลันออกมาจากบ้าน แล้วก็ออกมาด่ากันแหลก