Saturday, December 09, 2006

BLUE MOON BY MINA MAZZINI

ตอบน้อง zm

อ่านความฝันของน้องแล้ว ก็ทำให้นึกถึงความฝันของตัวเองด้วยเหมือนกัน

เมื่อไม่กี่เดือนก่อน มีคืนนึงดิฉันฝันว่าดิฉันนั่งรถแท็กซี่ แล้วอยู่ดีๆ แท็กซี่ก็เลี้ยวรถออกนอกเส้นทาง คนขับแท็กซี่พารถเลี้ยวเข้าไปในซอยลึก แล้วก็พาดิฉันไปฆ่า

หลังจากนั้นดิฉันก็ตื่นเช้าขึ้นมา ไปทำงาน แล้วตอนเย็นก็ไปดูหนังเรื่อง MASTERS OF HORROR: INCIDENT ON AND OFF A MOUNTAIN ROAD (2005, DON COSCARELLI, A+) ที่โรงหนัง HOUSE RCA พอดูเสร็จประมาณ 3-4 ทุ่มกว่า ดิฉันก็เดินมาที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แล้วก็เรียกรถแท็กซี่ โดยบอกแท็กซี่ว่าจะไปเพชรบุรีซอย 5

แต่พอรถแท็กซี่แล่นไปได้แป๊บนึง เขาก็วกรถกลับมายังฝั่ง RCA ดิฉันก็งง แล้วถามคนขับว่าทำยังงั้นทำไม เขาก็บอกว่าถ้าหากแล่นตรงไปแบบเดิม รถมันจะไปถึงรามคำแหง แต่ถ้าหากวกรถกลับมา รถมันก็จะตรงไปอโศก

ดิฉันก็งงว่าตัวเองสับสนหรือคนขับสับสนกันแน่ รถแท็กซี่ก็แล่นไปเรื่อยๆ ดิฉันก็เลยพยายามมองป้ายบอกเส้นทางที่ห้อยอยู่ตามสะพานลอย ป้ายมันก็บอกว่า ถ้าหากแล่นตรงไป มันจะถึง “คลองตัน” ดิฉันก็เลยจะบอกรถแท็กซี่ให้วกรถกลับไปทางเดิม แต่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงความฝันเมื่อคืนขึ้นมาได้ ก็เลยบอกให้แท็กซี่จอดรถไปเลย แล้วดิฉันก็ยอมเสียเงินเพื่อเรียกแท็กซึ่คันใหม่ดีกว่า กลัวว่าถ้าหากดิฉันด่ากับคนขับรถแท็กซี่ต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะเกิดเหตุการณ์แบบในความฝัน หรือไม่ตัวเองก็อาจจะได้เป็นนางเอกหนังเรื่อง INCIDENT ON AND OFF PETCHBURI ROAD โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะดิฉันไม่แน่ใจว่าคนขับรถแท็กซี่คันนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราว ขับรถหลงทางโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือมีเจตนาจะก่ออาชญากรรมตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ก็ขอลงจากรถก่อนดีกว่า

เมื่อคืนนี้ก็ฝันเหมือนกัน ฝันว่าเจอแม่ที่สถานีรถไฟฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

ปรากฏว่าเย็นนี้เจอคนที่สถานีรถไฟฟ้าโดยไม่ได้นัดหมายจริงๆ แต่ไม่ใช่คุณแม่ของดิฉัน แต่เป็นคุณแฟรงเกนสไตน์ ดิฉันก็เลยไม่แน่ใจว่าความฝันเมื่อคืนนี้เป็น “บุพนิมิต”, “จิตนิวรณ์”, “เทพสังหรณ์” หรือ “ธาตุกำเริบ” กันแน่ ฮ่าๆๆๆ




--อีกงานนึงที่น่าสนใจมากในเดือนธ.ค.ก็คืองานประกวดมิส ACDC ซึ่งจะมีขึ้นที่ BEC TERO HALL สวนลุมไนท์บาซาร์ ในวันอาทิตย์ที่ 10 ธ.ค.นี้ เวลา 18.00 น.ค่ะ

ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.missacdc.com/

ดูภาพการประกวดมิส ACDC ปีที่แล้วได้ที่
http://www.missacdc.com/gallery01.php
http://www.missacdc.com/gallery01/missacdc(1)010.jpg
http://www.missacdc.com/gallery01/missacdc(1)022.jpg
http://www.missacdc.com/gallery01/missacdc(1)033.jpg
http://www.missacdc.com/gallery01/missacdc(1)060.jpg
http://www.missacdc.com/gallery01/missacdc(1)176.jpg
อยากให้ทุกคนในรูปข้างบนเป็นตัวละครที่อยู่ในภาพยนตร์แฟนตาซีเรื่องเดียวกัน


--ขอบคุณคุณ aun+ มากค่ะสำหรับภาพของ J.M.W. TURNER ภาพที่คุณนำมาให้ดูให้ความรู้สึกถึงความรุนแรงเกรี้ยวกราดจริงๆด้วย

ดิฉันชอบภาพที่เห็นท้องฟ้าและเมฆค่ะ ก็เลยชอบภาพของเทอร์เนอร์บางภาพที่แสดงให้เห็นทัศนียภาพแบบนั้น

พูดไปแล้วก็นึกถึงหนังเกี่ยวกับท้องฟ้าสองเรื่องที่อยากดูมาก ซึ่งก็คือเรื่อง

1.TEN SKIES (2004, JAMES BENNING)
http://www.imdb.com/title/tt0479550/

2.CLOUDS: LETTERS TO MY SON (2001, MARION HANSEL)
http://www.imdb.com/title/tt0285802/
http://www.studiokontrast.com/daf/images/nuages.jpg

ส่วนหนังเกี่ยวกับท้องฟ้าที่ดูแล้วชอบสุดๆ ก็คือเรื่อง DUTCH LIGHT (2003, PIETER-RIM DE KROON, A+++++)

ส่วนหนังที่นำเสนอฉากท้องฟ้าได้อย่างประทับใจสุดๆในปีนี้ ก็คือ ANAT(T)A (2006, AKRITCHALERM KALAYANAMITR + KOICHI SHIMIZU, A+++++) และ SHE IS READING NEWSPAPER (TOSSAPOL BOONSINSUKH, A+++++)

ส่วนเพลงเกี่ยวกับท้องฟ้าที่ชอบมากๆ ก็รวมถึงเพลง

1.LITTLE FLUFFY CLOUDS (1993) – THE ORB

ชอบเพลงในระดับ A+

ชอบมิวสิควิดีโอในระดับ B+/B

ดูมิวสิควิดีโอเพลงนี้ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=oWMIXgCaJPQ

เพลงนี้บรรจุอยู่ในอัลบัมชุด THE ORB’S ADVENTURES BEYOND THE ULTRA WORLD ซึ่งบรรจุเพลงชื่อยาวเหยียดที่มีชื่อว่า A HUGE EVER GROWING PULSATING BRAIN THAT RULES FROM THE CENTRE OF THE ULTRAWORLD (JIM CAUTY & DR. ALEX PATTERSON’S AUBREY MIX MK. II)
http://www.amazon.com/Orbs-Adventures-Beyond-Ultraworld-Orb/dp/B000FJAV2I/sr=1-2/qid=1165592667/ref=pd_bbs_sr_2/104-5039019-5274338?ie=UTF8&s=music
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B000FJAV2I.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V62198597_.jpg


2.THE BIG SKY – KATE BUSH

ชอบเพลงในระดับ A
ชอบมิวสิควิดีโอในระดับ A-
KATE BUSH กำกับมิวสิควิดีโอเพลงนี้เอง

ดูมิวสิควิดีโอเพลงนี้ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=LeAmhTG8oa4

They look down
At the ground,

Missing.
But I never go in now.
I'm looking at the Big Sky.
I'm looking at the Big Sky now.
I'm looking at the Big Sky.
You never really understood me.
You never really tried.
That cloud, that cloud—
Looks like Ireland.
C'mon and blow it a kiss now,
But quick,
'Cause it's changing in the Big Sky,
It's changing in the Big Sky now.
We're looking at the Big Sky.
You never understood me.
You never really tried.
This cloud, this cloud—
Says "Noah,
C'mon and build me an Ark."
And if you're coming, jump,
'Cause
We're leaving with the Big Sky.
We're leaving with the Big Sky.
And we pause for the jets—
hup! hup!--in the Big Sky!
You want my reply?
What was the question? I was looking at the Big Sky.
Tell 'em, sisters!
"Rolling over like a great big cloud,
Rolling over with the Big Sky!
Rolling over like a great big cloud,
Rolling over with the Big Sky!"


ส่วนเพลงที่มีชื่อเกี่ยวกับเมฆที่ชอบสุดๆก็คือเพลง CLOUD 8 ของวง FRAZIER CHORUS
http://www.amazon.com/Cloud-8-Frazier-Chorus/dp/B00000DPAV
http://ec1.images-amazon.com/images/G/01/ciu/bb/40/8d0792c008a0c05ea827a010.L.jpg

เพลง CLOUD 8 อยู่ในอัลบัมชุด RAY (1991)
http://www.amazon.com/Ray-Frazier-Chorus/dp/B00000DP80/sr=1-1/qid=1165593943/ref=sr_1_1/104-5039019-5274338?ie=UTF8&s=music
http://ec1.images-amazon.com/images/G/01/ciu/3a/85/5d08729fd7a09db5fb1ae010.L.jpg

Frazier Chorus was a pop group from Brighton, England. A pop group without a drummer, bassist or guitarist, they instead utilised flute, clarinet, bongos and hush-hush vocals.
http://en.wikipedia.org/wiki/Frazier_Chorus


--วันนี้เพิ่งรู้ว่าคุณทศพล บุญสินสุข หนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่ดิฉันชอบที่สุดในชีวิต มี BLOG ของตัวเองด้วย อยู่ที่
http://www.myspace.com/pokcoco
เข้าใจว่าชื่อ BLOG นี้มาจากคำว่า POK ซึ่งเป็นชื่อเล่นของคุณทศพล ส่วนคำว่า COCO มาจากชื่อวงดนตรีของเขาที่มีชื่อว่า COCONUT_CREAM ซึ่งวงนี้เคยทำอัลบัมออกขายในงานแฟตที่ผ่านมา (ไม่ได้มาจาก COCO LEE แต่อย่างใด ฮ่าๆๆ)

ใน BLOG ของคุณทศพลมีเพลงของวง COCONUT_CREAM ให้ฟังด้วย


วันนี้ได้ดู

1.คอนเสิร์ต PLATFORM LIVE ของ KOICHI SHIMIZU (A+++++++++++++++) ที่หอกลาง จุฬา

คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดที่สุดประสบการณ์หนึ่งในชีวิตของดิฉัน บางช่วงของคอนเสิร์ต ดิฉันรู้สึกเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ดนตรีของคุณ KOICHI SHIMIZU เป็นดนตรีที่ถูกโฉลกกับดิฉันมากที่สุดในชีวิต มันนำพาดิฉันเข้าสู่ภวังค์ทางจิตบางอย่างที่ให้ความรู้สึกสุดยอดมากๆ นอกจากนี้ คอนเสิร์ตครั้งนี้ยังมีการใช้ภาพวิดีโอที่เข้ากับเพลงอย่างมากๆ และมีการให้ผู้ชมมาช่วยกันกดปุ่มคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มเสียงเข้าไปในคอนเสิร์ตด้วย

มีบางช่วงของคอนเสิร์ตที่ให้ความรู้สึก “สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น” มากๆ จนดิฉันรู้สึกว่าถ้าหากคลื่นเสียงที่เกิดจากคอนเสิร์ตนี้สามารถทำให้ตึกถล่มลงมาได้ทั้งตึก ดิฉันก็คงจะไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด

ประสบการณ์ในการชมคอนเสิร์ตของคุณ KOICHI SHIMIZU ในครั้งนี้ ให้ความสุขเท่ากับการชมภาพยนตร์เรื่อง INDIA SONG (1975, MARGUERITE DURAS, A+++++) และ TAKE THE 5:10 TO DREAMLAND (1976, BRUCE CONNER, A+++++)

ในคอนเสิร์ตนี้ยังมีการแสดงกีตาร์ผสมเสียงคอมพิวเตอร์ของฝรั่งหนุ่มหล่อคนนึงด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร เสียงกีตาร์ของเขาก็หลอนๆดี และภาพวิดีโอที่ฉายด้านหลังของเขาก็แสดงถึงการซ้อนเหลื่อมของเวลาได้อย่างหลอนๆดีเหมือนกัน แต่เสียงดนตรีของเขาให้ความหลอนในแบบที่แตกต่างจากของคุณ KOICHI SHIMIZU เพราะดนตรีของคุณ KOICHI SHIMIZU ให้ความรู้สึกหลอนแบบโหดร้ายเจ็บปวดคลุ้มคลั่งในบางขณะ ส่วนดนตรีของฝรั่งคนนี้หลอนแบบหวานๆ เหมือนกับเป็นการนำภาพยนตร์เหงาหวานของ JUN ICHIKAWA มาผสมกับความหลอนของภาพยนตร์ของ HIDEO NAKATA+TAKASHI SHIMIZU

การนำภาพวิดีโอมาใช้ประกอบคอนเสิร์ตได้อย่างเหมาะเจาะในครั้งนี้ ทำให้รู้สึกว่าการแสดงแบบมัลติมีเดียเป็นสิ่งที่น่าสนใจจริงๆ เพราะเมื่อต้นปีนี้ ก็ได้ดูละครเวทีเรื่อง SLOWFLY/V.IC.T.O.R.I.A. ของ MONICA EMILIE HERSTAD ที่มีการนำภาพวิดีโอที่น่าสนใจมากๆมาใช้ประกอบด้วยเช่นกัน

2.THE KING AND THE CLOWN (2005, LEE JUN-IK, A+)

3.DEJA VU (2006, TONY SCOTT, A-)


ตอบคุณ FILMSICK

--เขียนได้หลอนและให้อารมณ์เถื่อนๆดิบๆดีค่ะ มันให้ทั้งอารมณ์เศร้า, เหงา, เจ็บปวด, คั่งแค้น, โหยหา, รังเกียจและหลงใหลในเวลาเดียวกัน
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B0001A79DK.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1074027913_.jpg

ล่าสุดนี้ตอนได้ดูฉากเปิดของหนังออสเตรียเรื่อง BLUE MOON (2002, ANDREA MARIA DUSL, A+++++) ก็นึกถึงหนังเรื่อง IN A YEAR OF 13 MOONS (1978, RAINER WERNER FASSBINDER, A) ขึ้นมา โดยที่ทางผู้สร้าง BLUE MOON เองอาจจะไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าฉากเปิดของ BLUE MOON เป็นการพูดถึงความเชื่อเก่าๆเกี่ยวกับ BLUE MOON ขณะที่ฉายให้เห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงบันไดโอเดสซา (บันไดเดียวกับในหนังเรื่อง BATTLESHIP’S POTEMKIN) ส่วนฉากเปิดของ IN A YEAR OF 13 MOONS ก็เป็นการพูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับปีที่มีพระจันทร์เต็มดวง 13 ครั้ง

BLUE MOON
http://www.variety.com/review/VE1117918393.html?categoryid=31&cs=1&p=0
http://www.cineclub.de/filmarchiv/2002/blue_moon.html#
http://www.cineclub.de/images/2002/blue_moon_2.jpg
http://www.cineclub.de/images/2002/blue_moon_4.jpg

คำว่า BLUE MOON อาจจะมีหลายความหมาย แต่ความหมายที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง BLUE MOON น่าจะหมายถึงเดือนในปฏิทินแบบสุริยคติที่มีพระจันทร์เต็มดวง 2 ครั้งในเดือนเดียวกัน แต่จำไม่ได้แล้วว่าความเชื่อเกี่ยวกับ BLUE MOON ที่พูดถึงในฉากเปิดเรื่องมีรายละเอียดว่ายังไงบ้าง

There are in fact two definitions for a blue moon. According to the more recent definition, a blue moon is the second full moon in a calendar month. For a blue moon to occur, the first of the full moons must appear at or near the beginning of the month so that the second will fall within the same month (the average span between two moons is 29.5 days). June 2007 will have two full moons: the first on June 1, the second on June 30—that second full moon is called the blue moon.


สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชอบ BLUE MOON มากที่สุดในเทศกาลภาพยนตร์ยุโรปปีนี้ เป็นเพราะฉากจบของเรื่องและการใช้เพลง BLUE MOON มาประกอบในฉากจบได้อย่างลงตัวที่สุด พอได้เห็นฉากจบของหนังเรื่องนี้ แล้วก็เลยหลงรักเพลง BLUE MOON ไปเลย

เพลง BLUE MOON ที่อยู่ในหนังเรื่อง BLUE MOON เป็นเวอร์ชันที่ร้องโดย ALI GAGGL ดิฉันไม่สามารถหาเพลงเวอร์ชันนี้มาฟังได้ แต่ลองค้นในอินเทอร์เน็ตดูแล้ว พบว่ามีเวอร์ชันนึงที่ใกล้เคียงกับเวอร์ชันในหนังมากๆ นั่นก็คือเวอร์ชันของ MINA MAZZINI ฟังเวอร์ชันนี้ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=bBfKJoffyMw

อย่างไรก็ดี ดิฉันพบว่าหนังเรื่อง BLUE MOON มีส่วนสำคัญอย่างที่สุดที่ทำให้ดิฉันรู้สึกอินกับเพลงนี้ เพราะถ้าหากดิฉันไม่คิดถึง “ความรู้สึกของนางเอกหนังเรื่อง BLUE MOON” ขณะที่ฟังเพลงนี้ ดิฉันจะรู้สึกเฉยๆกับเพลงนี้ แต่พอดิฉันคิดถึงความรู้สึกของนางเอกหนังเรื่องนี้ปุ๊บ เพลง BLUE MOON ก็จะบีบหัวใจของดิฉันอย่างรุนแรงมากจนทำให้อยากร้องไห้ในทันที รู้สึกประหลาดดีเหมือนกันที่ความรู้สึกที่มีต่อเพลงๆเดียวกันอาจจะแตกต่างกันอย่างรุนแรงมากๆได้โดยขึ้นอยู่กับว่าวินาทีนั้นดิฉันคิดถึงตัวละครตัวใดตัวนึงอยู่หรือเปล่า

บางทีสิ่งที่ดิฉันชอบสุดๆอาจจะไม่ใช่เพลง BLUE MOON แต่เป็น “ความรู้สึกของนางเอกภาพยนตร์เรื่อง BLUE MOON ในฉากจบของเรื่อง” แต่ในการที่ดิฉันจะเข้าถึงความรู้สึกแบบนั้นได้นั้น ดิฉันต้องอาศัยเพลง BLUE MOON เป็น “สื่อ” เพื่อให้ตัวเองเข้าถึงความรู้สึกแบบนั้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อใดก็ตามที่ดิฉันไม่ได้ใช้เพลง BLUE MOON เป็นสะพานเชื่อมไปยัง “ความรู้สึกแบบที่ตัวเองต้องการ” ดิฉันจึงรู้สึกเฉยๆกับเพลงนี้

เพลง BLUE MOON แต่งขึ้นในปี 1934 อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเพลงนี้ได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Blue_Moon_(song)

อย่าจำเพลงนี้สลับกับเพลง BLUE MOON BLUE (A+++++) ของ MIKI IMAI

ภาพ BLUE MOON
http://sisi.altervista.org/BlueMoon.jpg

ปกอัลบัม PLATINUM COLLECTION (2004) ของ MINA MAZZINI
http://www.amazon.com/Platinum-Collection-Mina/dp/B0001GNH4O/sr=1-1/qid=1165596506/ref=pd_bbs_1/104-5039019-5274338?ie=UTF8&s=music
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B0001GNH4O.01._SS400_SCLZZZZZZZ_V1115523298_.jpg

ปกอัลบัม SERIE DE ORO: GRANDES EXITOS (2005) ของ MINA MAZZINI
http://www.amazon.com/Serie-Oro-Grandes-Exitos-Mina/dp/B0009IORU2/ref=pd_bxgy_m_text_b/104-5039019-5274338
http://ec2.images-amazon.com/images/P/B0009IORU2.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1114965914_.jpg

ปกอัลบัม UN ANNO D’AMORE (1996) ของ MINA MAZZINI
http://www.amazon.com/Un-Anno-DAmore-Mina/dp/B000007WTO/ref=pd_sim_m_3/104-5039019-5274338
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B000007WTO.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1115862302_.jpg

--พูดถึง “NOODLE BOXER” หรือแสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้าแล้ว ก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ามีจุดนึงใน NOODLE BOXER และใน LOVEAHOLIC ที่ดิฉันชอบตรงกัน นั่นก็คือการที่หนังสองเรื่องนี้มีตัวละครประกอบเป็นชายหนุ่มหล่อล่ำบึ้กที่มาเป็นศัตรูหัวใจของพระเอก แต่สิ่งที่ดิฉันชอบมากก็คือว่า หนังทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้หาทางออกง่ายๆด้วยการทำให้ตัวละครคนนี้เป็น “ผู้ร้าย” แต่กลับทำให้ตัวละครคนนี้เป็น “คนดี” และดูเหมือนจะเป็นพระรองมากกว่าจะเป็นผู้ร้าย รู้สึกชอบ “ทัศนคติ” แบบนี้มากๆ ชอบหนังที่แสดงให้เห็นว่า ศัตรูหัวใจของเราไม่ใช่คนเลวแต่อย่างใด แต่เขาอาจจะเป็นคนดีคนนึงที่มาชอบคนๆเดียวกับเรา


ตอบคุณตี๋หล่อมีเสน่ห์

ชอบ THE KING AND THE CLOWN มากค่ะ ชอบมากกว่าหนังย้อนยุคของ IM KWON-TAEK และชอบมากกว่าหนังป็อปปูล่าร์อย่าง THE HOST (2006, BONG JOON-HO, A) เสียอีก จริงๆแล้วดิฉันคิดว่า THE KING AND THE CLOWN อาจจะไม่ใช่หนังที่ “ดี” หรือ “มีความเป็นศิลปะ” มากเท่าหนังของ IM KWON-TAEK หรือหนังอย่าง THE PRESIDENT’S LAST BANG (2005, IM SANG-SOO, A+) แต่ก็ชอบ THE KING AND THE CLOWN มากถึงขั้น A+ อยู่ดี สาเหตุสำคัญเป็นเพราะว่า

1.ฉากที่ GONG-GIL (LEE JUN-GI) เล่นละครหุ่นครั้งแรก ฉากนั้นโดนใจดิฉันมากๆ เพราะเนื้อหาของละครหุ่นนั้นตรงกับความใฝ่ฝันของดิฉันตอนเด็กๆ ที่อยากจะมีผู้ชายสักคนมาคอยปกป้องคุ้มครองดูแล เหมือนกับเป็นทั้งพี่ชาย+เพื่อน+ผัวในคนๆเดียวกัน ตัวละครพระเอกของละครหุ่นนั้นตรงกับผู้ชายในฝันของดิฉันในวัยเด็กอย่างมากๆ ก็เลยซาบซึ้งตรงจุดนี้มากๆ

2.ชอบ “ความรู้สึกไม่ปลอดภัยตลอดเวลา” ที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ นับตั้งแต่ฉากเปิดของเรื่องนี้ เราก็รู้สึกแล้วว่าตัวละครพระเอกนางเอก (ขอเรียก GONG-GIL ว่านางเอกแล้วกันนะ) มีชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา พวกเขาอาจจะหัวหลุดจากบ่าได้ทุกเมื่อ ก่อนที่จะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นแนวยังไง ไม่รู้ว่ามันจะเป็นหนังตลก หรือเป็นหนังที่โรแมนติกหวานหยดติ๋งๆ หรือเป็นหนังสั่งสอนศีลธรรม แต่พอเข้าไปดูแล้ว ก็พบว่าหนังเรื่องนี้ผสมผสานอารมณ์ต่างๆให้ออกมาในแบบที่ดิฉันค่อนข้างชอบ และความรู้สึกประเภทที่ว่า “พระเอกนางเอกอาจจะถูกฆ่าตายได้ในทุกวินาที” ก็เป็นความรู้สึกแบบที่ดิฉันชอบมากๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าดิฉันชอบหนังแนวฆาตกรโรคจิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่แตกต่างกันตรงที่ว่า ฆาตกรโรคจิตในหนังเรื่องนี้คือจักรพรรดิ และพระเอกนางเอกในหนังเรื่องนี้พาตัวเองเข้าหาอันตรายทั้งๆที่น่าจะเลี่ยงได้ในบางโอกาส ในขณะที่พระเอกนางเอกในหนังฆาตกรโรคจิตส่วนใหญ่ไม่ได้พาตัวเองเข้าหาอันตรายโดยจงใจแต่อย่างใด

3.ชอบตัวละครจักรพรรดิในเรื่องนี้ ที่ถึงแม้ว่าเขาจะเลว แต่เขาก็ตบตีกับคนเลวๆด้วยกัน ดิฉันชอบหนังประเภทที่ “คนเลวตบตีกับคนเลว” ค่ะ มันมันส์ดี และมันดูแล้วสะใจมากกว่าหนังประเภทที่ “คนดีตบตีกับคนเลว”

4.ถึงแม้ดิฉันจะรู้สึกว่าพระเอกนางเอกของหนังเรื่องนี้ “แกว่งเท้าหาเสี้ยน” โดยไม่จำเป็นในบางโอกาส แต่ก็รู้สึกให้อภัยตัวละครทั้งสองคนนี้ และไม่รู้สึกว่าพวกเขาโง่จนเกินไป ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งกับความรักของพระเอกนางเอกของหนังเรื่องนี้มากค่ะ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ชัดเจนว่าเป็นความรักในแบบไหนก็ตาม

สรุปว่าดิฉันคิดว่า THE KING AND THE CLOWN ไม่ใช่หนังที่ “ดีสุดๆ” แต่มีบางจุดในหนังที่ “โดนใจดิฉันอย่างสุดๆ” ค่ะ

รู้สึกประหลาดดีที่ในช่วง 1-2 ปีมานี้ ได้ดูการแสดงละครเวทีอิทธิฤทธิ์สูงทั้งบนเวทีและในภาพยนตร์ในหลายๆเรื่องด้วยกัน อย่างเช่น

1.การแสดงละครเวทีสวมหน้ากากในหนังเกาหลีเรื่อง THE KING AND THE CLOWN

2.การแสดงละครเวทีสวมหน้ากากในหนังฮ่องกงเรื่อง THE BANQUET (2006, FENG XIAOGANG, A+/A)น

3.การแสดงละครเวทีไทยสวมหน้ากากเรื่อง MAHAJANOK NEVER SAY DIE EPISODE II (2006, PRADIT PRASARTTHONG, A+++++)

4.การแสดงละครเวทีอินโดนีเซียสวมหน้ากากในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง RASINAH: THE ENCHANTED MASK (2004, RHODA GRAUER, A+)

5.การแสดงแบบกึ่งๆละครใบ้ในหนังฝรั่งเศสเรื่อง PARIS I LOVE YOU: TOUR EIFFEL (2006, SYLVAIN CHOMET, A)

6.การแสดงคาบูกิในหนังญี่ปุ่นเรื่อง ASHURA (2005, YOJIRO TAKITA, C+)

7.การแสดงละครเวทีย้อนยุคในหนังอังกฤษเรื่อง THE LIBERTINE (2004, LAURENCE DUNMORE, A+)

8.การแสดงมายากลในหนังเรื่อง THE PRESTIGE (2006, CHRISTOPHER NOLAN, A+/A)

9.การแสดงกายกรรมในหนังลักเซมเบิร์กเรื่อง BYE BYE BLACKBIRD (2005, ROBINSON SAVARY, A+)

No comments: