Sunday, February 25, 2007

pc's comments part 1

คุณ pc มักจะแสดงความเห็นที่น่าสนใจมากๆไว้ในเว็บบอร์ด BIOSCOPE อยู่เสมอ แต่เนื่องจากการค้นหาข้อมูลเก่าๆในเว็บบอร์ดบางครั้งทำได้ยาก ดิฉันจึงถือโอกาสนี้คัดลอกความเห็นบางอันที่น่าสนใจมาเก็บไว้ในนี้ด้วยนะคะ

copy from bioscope webboard


http://www.bioscopemagazine.com/web2006/webboard/index-in.php?id=55903

56404
ผมแค่สงสัยว่าทำไมมันต้องมากลายเป็นประเด็นด้วย
สาธารณชนมีสิทธิ์จะไม่ชอบพฤติกรรมของนักแสดง
และสามารถแสดงความไม่พอใจภายในขอบเขตของสิทธิ์ที่พึงมีเท่านั้น
เช่น บอยคอทการสนับสนุนผลงานการแสดง
แต่การที่ไปกดดันให้ทางมหาวิทยาลัยที่นักแสดงเหล่านั้นศึกษาอยู่
ให้มีการลงโทษ ดูเหมือนว่ามัน
วิธีการแบบนี้มันจะเกินขอบเขตไปนะครับ

และทัศนคติที่ว่า ผู้คนในวงการสื่อ โดยเฉพาะนักแสดง
มีหน้าที่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างกับเยาวชน
โทษทีเถอะครับ หน้าที่ของนักแสดงคือ
สร้างความบันเทิง
หรือผลงานศิลปะผ่านความสามารถในการแสดงเท่านั้นครับ
และการที่สาธารณชนเที่ยวไปถือสิทธิ์เอาเองว่า
คนเหล่านี้เป็นคนของประชาชน
พวกเขาจึงต้องทำหน้าที่ทั้งในเวลางาน และนอกเวลางาน
เพื่อมีชีวิตอยู่บนความคาดหวังของผู้คน
ดูเหมือนว่ามันเป็นการเรียกร้องที่มากเกินไปด้วยนะครับ
ความต้องการบนความคาดหวังของสาธารณชนอย่างนี้
มันถึงได้เปิดโอกาสให้พวกธุรกิจที่เป็นซากเดนของวงการส่อสารมวลชน
อย่างพวกปาปารัสซี่ หรือหนังสือพวกแทบบลอยด์ทั้งหลาย
ที่อาศัยเสรีภาพของสื่อมวลชน
(ทั้งๆที่มันควรจะเป็นไปเพื่อติดตามเฝ้าระวังพวกที่มีอำนาจอยู่ในมือ
และมุ่งเน้นแต่เรื่องราวที่ส่งผลกระทบสิทธิเสรีภาพของสาธารณชนเท่านั้น)
เข้าไปขุดคุ้ยเรื่องราวในชีวิตส่วนตัวของพวกเขา
ทั้งๆที่เรื่องของพวกเขาไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อสาธารณชนทั้งสิ้น
และที่จะมาอ้างว่าคนพวกนี้เป็นคนของประชาชน
อ้างยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้นครับ มันฟังดูเหมือนกับว่า
พวกเขาติดค้างอะไรกับสาธารณชนเสียอย่างนั้น
ทั้งๆที่เวลาสาธารณชนเขาไปเสพย์รับผลงานของพวกเขา
สาธารณชนก็ได้รับความบันเทิงเป็นการแลกเปลี่ยนกับเงินที่เสียไป
การแลกเปลี่ยนมันสิ้นสุดลงตั้งแต่ตรงนั้นแล้วครับ
ไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้อง
หรือตั้งความคาดหวังเอากับพวกเขาอีก
และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตของพวกเขาบนความคาดหวังของใครทั้งสิ้น
ตราบใดที่สิ่งที่พวกเขาทำไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน
(อย่าบอกนะครับว่า
นักแสดงหญิงที่จะถูกกล่าวถึงในวงเสวนา
ทำความเดือดร้อนโดยเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
เพราะหน้าที่ในการเป็นตัวอย่างที่ดี
หรือให้การอบรมเด็กให้มีความมั่นใจมากพอที่จะไม่หลงไปกับกระแส
ควรจะเป็นหน้าที่ของพวกพ่อแม่ผู้ปกครองครับ
ไม่ใช่ว่าทำหน้าที่ได้ไม่ดีแล้วก็เที่ยวไปโทษโน่นโทษนี่)


สิ่งที่นักแสดงคนนี้ทำ
ผมไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนับสนุน
แต่อย่างน้อยมันก็เป็นสิทธิ์ทางร่างกายของเธอนะครับ
สิ่งที่เธอทำ
ก็ไม่ได้เป็นการเที่ยวไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของใครๆเลย
ซึ่งการเคารพสิทธิ์และเสรีภาพนี้
ดูเหมือนว่าสังคมไทยไม่ค่อยจะคำนึงถึงเรื่องนี้กันเสียเท่าไร
และก็ยังมีหน้ามาบ่นอยากจะได้ประชาธิปไตยกัน
เพราะเรื่องสิทธิ์เสรีภาพ
ควรจะเป็นเรื่องที่พื้นฐานที่สุดสำหรับระบอบประชาธิปไตยครับ


การที่สาธารณชนเที่ยวไปเรียกร้องเอาจากคนที่ทำงานในวงการบันเทิง
มันแสดงถึงการไม่รู้จักเคารพในเสรีภาพการในการแสดงออกและการมีชีวิตส่วนตัวของผู้คนในสังคมไทย
มันเหมือนกับถ้าผมจะบอกว่า
ผมเป็นลูกค้าซึ่งใช่บริการกับกิจการของใครก็ตาม
ผมก็มีสิทธิ์จะอ้างบุญคุณว่า เป็นเพราะลูกค้าอย่างผม
ทำให้กิจการของเขาดำรงอยู่ได้
ดังนั้นผมมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปละลาบละล้วงเอากับชีวิตส่วนตัวของเขา
หรือวิพากษ์วิจารณ์การแสดงออกของเขา
ทั้งๆที่เวลาผมอุดหนุนเขา
ผมก็ได้รับการบริการเป็นการแลกเปลี่ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ที่มันเป็นอย่างนี้ ผมเดาเอาว่า
มันต้องเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมที่พยายามรักษาความเป็นเอกภาพมากกว่าความแตกต่าง
ทุกคนจะต้องคิดเหมือนๆกัน ทำตัวให้กันเหมือนๆกัน
ต้องภาคภูมิในในความเป็นไทยเหมือนๆกัน
(ทั้งๆที่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมหรือใครเป็นคนเลือก
ว่าจะเกิดมาเป็นคนไทยหรือคนชาติไหน) อยู่ในสังคมนี้
มันเหมือนกับว่า
มันเป็นหน้าที่ที่เราทุกคนต้องภาคภูมิใจกับวัฒนธรรมที่สนับสนุนการลิดรอน
บางที จะชอบหรือไม่ชอบ
เราเองก็คงจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่ที่จะไม่ชอบ
ไอ้วัฒนธรรมเฮงซวยแบบนี้แหละครับที่เปิดโอกาสให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาถือสิทธิ์ผูกขาดความถูกต้อง
เหมือนกับที่พวกกระทรวงวัฒนธรรมกำลังทำอยู่
ที่ทำเฉพาะที่เกี่ยวกับการเซ็นเซอร์มันก็แย่พออยู่แล้ว
นี่คงเริ่มคิดจะเข้ามาเซ็นเซอร์การแต่งกายเข้าไปอีก
ที่ผมแปลกใจก็คือ คนที่เข้ามาในเว็บไบโอ ผมเคยคิดว่า
ต้องเป็นคนที่มีจิตใจที่เปิดกว้าง
อย่างน้อยก็กว้างพอที่จะเปิดใจรับกับภาพยนตร์นอกกระแส
แต่ก็ยังมีบางท่านที่คิดว่าการลงโทษนักแสดงผู้นี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรม
ขอถามหน่อยเถอะครับ
พฤติกรรมของเธอมันไปทำให้ใครเดือดร้อน
หรือไปละเมิดสิทธิ์เสรีภาพของใครเข้าหรือเปล่า
หรือว่า สิทธิ์ในการมีเสรีดภาพ
เป็นสิ่งที่ดีเกินไปสำหรับคนไทย
พวกชั้นต่ำที่ขาดความศิวิไลซ์อย่างเราคงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้


เราเฉยเวลาที่เราถูกกลไกของรัฐ
หรือพวกบ้าจารีตที่มีอำนาจทางสังคม
เข้ามาริดรอนเสรีภาพที่มันมีอยู่น้อยนิดอยู่แล้ว
ด้วยข้ออ้างทางด้านจารีตและวัฒนธรรม เราไม่เคยตอบโต้
และก็ดูเหมือนจะสนับสนุนกลไกเหล่านั้น
เวลามีนักแสดงบางท่านใช้สิทธิ์ในการแสดงออก บางที
นอกจากคนไทยอย่างเราจะไม่รู้สึกรู้สาเวลาที่ถูกละเมิดสิทธิ์แล้ว
เรายังเที่ยวไปละเมิดสิทธิ์ของคนอื่นๆโดยที่ไม่รู้ตัว
หรือรู้ทั้งรู้แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้า
หนังสือพวกแทบบลอยด์หรือนิตสารซุบซิบจะขายดิบขายดีกันในเมืองไทย
นั่นคงจะเป็นเพราะว่า
มันเข้ากับวัฒนธรรมไทยที่ถือว่าการสอดรู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น
กับการนินทาลับหลังมันเป็นเรื่องธรรมดา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว
ประเทศเฮงซวยนี้มันก็แค่ประเทศบ้านนอกประเทศหนึ่งในโลกที่สาม
วัฒนธรรมยังไงมันก็ยังคงเป็นวัฒนธรรมแบบชนบท
คงต้องอาศัยเวลาอีกนานหลายชั่วอายุคนถึงจะเกิดวิวัฒนาการไปเป็นสังคมที่ศิวิไลซ์พอที่จะให้ความเคารพสิทธิ์ของปัจเจก

จากคุณ : pc : - [ 23 กพ. 2007 20:52:26 ]

56413
ที่นี่เป็นประเทศไทย ไม่ใช่ฝรั่งฮอลลีวู๊ด

เหตุผลของอาจารย์มีแค่นี้เองเหรอครับ
ขออภัยที่ต้องกราบเรียนตามตรง
ผมมองไม่เห็นความลึกซึ้งตรงไหนเลย
ม้นก็เหมือนกับที่เคยได้ยินต่อๆกันมานั่นแหละครับ
ถ้าคุณเป็นคุณครูจริงๆ
ผมก็ไม่สงสัยเลยครับว่าทำไมจิตสำนึกด้านประชาธิปไตยในประเทศนี้มันถึงได้ไปไม่ถึงไหน
ได้ยินมาว่า
พวกที่ทำงานในกระทรวงวัฒนธรรมส่วนใหญ่ก็เคยอยู่กระทรวงศึกษามาด้วยใช่ไหมครับ
ผมก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าคนในสังกัดพวกนี้มีความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมร่วมสมัยมากน้อยเพียงใด
และการถือสิทธิ์ในการผูกขาดมาตรฐานทางวัฒนธรรม
แล้วเอาสิทธิ์นั้นเที่ยวไปริดรอน ตัดโอกาส
เจ้ากี้เจ้าการ ละลาบละล้วงชีวิตของชาวบ้าน
มันไม่ยิ่งกว่าใจแคบ เอาแต่ใจตัวเองหรอกหรือครับ
อาจารย์มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตในแบบใดก็ได้ที่อาจารย์ต้องการ
มีสิทธิ์ที่จะรับกฏเกณฑ์ของจารีตใดๆก็ได้มาบังคับใช้กับตัวเองได้เท่าที่ต้องการ
แต่ต้องทราบถึงขอบเขตด้วยนะครับว่า
มันใช้ได้เฉพาะกับตัวเองเท่านั้น
ไม่มีสิทธิ์ที่จะเที่ยวไปเรียกร้อง
หรือแย่กว่านั้นก็คือ
ไปบังคับใช้เอากับคนอื่นๆให้มามีชีวิตเหมือนกับที่อาจารย์มี
แสดงออกอย่างเดียวกับอาจารย์
หรือคิดแบบเดียวกับอาจารย์
นั่นมันเป็นรูปแบบหนึ่งของความใจแคบและเอาแต่ใจครับ
ไม่ใช่เป็นความเอาแต่ใจของเด็ก แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ
เป็นความเอาแต่ใจของพวกไกล้จะลงโลงครับ
แล้วยิ่งอาศัยสถานะทางสังคมที่เหนือกว่ามากดดัน
หรือบีบบังคับเพื่อเอากฏเกณฑ์เหล่านั้นไปบังคับใช้กับคนอื่นๆด้วยแล้ว
อาจจะเป็นการผ่านกลไกของรัฐ หรือแรงบีบทางสังคม
นั่น่นับได้ว่าเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างรูปแบบหนึ่งได้เลยทีเดียวครับ


อาจารย์บอกว่า
ค่านิยมอย่างที่ผมยึดถือมันทำให้มองผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศ
ประทานโทษครับ
แล้วที่วัฒนธรรมของเราไปวางกฎให้ผู้หญิงเป็นได้แค่ผู้ที่คอยทำตามกฏเกณฑ์
(ที่วางเอาไว้โดยผู้ชาย
ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่อย่างสังคมไทย)
อย่างว่านอนสอนง่าย ให้เป็นพวกที่ไร้เดียงสา
ตัดโอกาสทุกอย่างในการเรียนรู้เท่าทัน
คิดแต่เรื่องการแต่งงานเป็นแม่บ้านแม่เรือน
หรือเป็นตุ๊กตาประดับบ้าน
โดยไม่ต้องคิดว่าชีวิตมันมีทางเลือกได้อีกตั้งหลายอย่าง
ไอ้ค่านิยมที่ติดมากับวัฒนธรรมที่เราพยายามจะอนุรักษ์กันเอาไว้อย่างนี้ไม่ใช่เหรอครับ
ที่เป็นตัวกดผู้หญิงให้มีสถานะต่ำกว่าผู้ชายอย่างแท้จริง
ถ้าอาจารย์เป็นเฟมมินิสต์
อาจารย์ก็คงไม่ต้องให้ผู้ชายอย่างผมมาคอยบอกหรอกนะครับ


ถ้าอาจารย์เรียนในคณะที่เกี่ยวกับการศึกษา
ก็คงจะทราบถึงพัฒนาการทางด้านความคิดสร้างสรรค์นะครับ
ว่าข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น
จะทำให้พลังที่ควรจะใช้ในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
ต้องหมดไปกับการอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างต่อเนื่องกับภาวะความคับข้องใจ
ถ้าคนในกระทรวงศึกษามีทัศนคติแบบอาจารย์
ซึ่งนำไปสู่นโยบายที่เอามาบังคับใช้กับเด็กแบบที่เราเห็นๆกันอยู่
ผมไม่สงสัยเลยครับว่าทำไมการเรียนรู้ของเด็กไทยจึงเป็นไปอย่างค่อนข้างจะขาดจินตนาการ
แล้วอาจารย์ลองให้เหตุผลผมมาหน่อยซิครับว่า
ทำไมผมจะต้องไปรู้สึกภูมิใจกับไอ้วัฒนธรรมที่กดให้ทุกๆคนภายใต้วัฒนธรรมนั้นเป็นเหมือนๆกัน
คิดเหมือนๆกับ และก็โง่กันได้เหมือนๆกันด้วยละครับ
อ้อ
และก็เป็นพวกมือถือสากปากถือศีลกันได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนๆกันด้วยครับ


ผมเองก็พยายามทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมนี้
และก็ไม่คิดว่ามันเข้าใจได้ยาก
เพราะมันไม่ลึกซึ้งถึงขนาดเรียกได้ว่ายากเย็นอะไร
ที่วัฒนธรรมนี้มันเป็นแบบที่มันเป็นก็เพราะมันพยายามที่จะรักษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจของมัน
และคอยกดให้ทุกๆคนคุ้นเคยกับการอยู่ใต้อำนาจน่ะสิครับ


อาจารย์นี่ก็นับได้ว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมนี้
ที่มีทัศคติที่ยึดมั่นในการบังคับใช้วัฒนธรรมแห่งอำนาจ
ถ้าบังคับให้ผมหรือลูกศิษย์ของอาจารย์คิดเหมือนอาจารย์ได้
อาจารย์ก็คงจะทำไปแล้วใช่ไหมครับ ถึงตอนนั้น
ผมคงจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะชอบหรือไม่ชอบสิ่งที่ผมต้องเป็นทั้งๆที่ไม่ได้เลือก
เหมือนกับที่ผมเขียนไว้ข้างต้นน่ะครับ
ถ้าแม้แต่สิทธิ์ในการชอบหรือไม่ชอบมันยังไม่มี
แล้วจะไปหวังอะไรกับเสรีภาพด้านอื่นๆได้อีกล่ะครับ

และก็อย่าเที่ยวไปอ้างนะครับว่าความคิดเรื่องการอยู่อย่างพอเพียงนั่นเป็นของวัฒนธรรมไทยเท่านั้น
ผู้คนในวัฒนธรรมไทยนี้เป็นคนคิดค้นขึ้นแต่เพียงผู้เดียว
ความมัธยัสมันมีอยู่ด้วยกันในหลายวัฒนธรรมครับ
ทำไมพวกผู้บริหารในนิวยอร์คหลายคนถึงยังใช้บริการขนส่งมวลชนแทนที่จะซื้อรถหรูๆไว้ใช้เอง
ทั้งๆที่พวกเขามีกำลังทรัพย์พอ
ความรู้จักอยู่อย่างพอเพียงมันมีอยู่ได้ทุกที่ครับ
ไม่ใช่ว่าเราจะเที่ยวแอบอ้างว่าเราคิดค้นขึ้นมาเอง
คนในวัฒนธรรมอื่นๆไม่มีปัญญาจะคิด แล้วอาจารย์คิดว่า
แนวคิดเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แนวคิดเรื่องพลังงานทางเลือก
แนวคิดเรื่องการต่อต้านบริโภคนิยม
แนวคิดเรื่องการป้องกันการทารุณกรรมสัตว์
มันเริ่มมาจากสังคมไหนล่ะครับ
ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่สังคมของเราแน่
ที่แม้แต่สิทธิมนุษย์ชนขันพื้นฐานก็ยังไม่ค่อยได้รับการเคารพ
ก็คงจะเป็นเพราะวัฒนธรรมที่เคยชินกับการบังคับใช้อำนาจอย่างของเรานี่ล่ะครับ
ที่ทำให้เราคิดอะไรกันง่ายๆ
ลดทอนความซับซ้อนทุกอย่างลงเหลือเป็นความแบนราบ
เราถึงได้ตัดสินอะไรกันง่ายๆ
เราเคยให้อำนาจกับรัฐบาลในการทำสงครามกับยาเสพย์ติด
ปล่อยให้มีคนตายกันมากมายโดยที่ไม่ต้องมีการตรวจสอบ
ก็เพราะการตัดสินอะไรกันอย่างง่ายๆนี้แหละครับว่าพวกค้ายามันต้องเลวกันอยู่แล้ว
และพอมาตอนนี้
เราก็ใช้การตัดสินที่มีรากเหง้ามาจากระบบความคิดแบบเดียวกัน
เอามาตัดสินพฤติกรรมของพวกนักแสดง ซึ่งมันก็อาจจะถูก
แต่การลงโทษทางสังคมนี่ดูเหมือนว่าผู้คนในสังคมนี้ไม่ทราบถึงขอบเขตของตัวเองกันเลย
นักแสดงคนนั้นทำผิดกฏของมหาวิทยาลัยข้อไหนครับถึงต้องถูกลงโทษจากทางมหาวิทยาลัย
ผมเองก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เธอทำเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน
ถ้าอาจารย์เห็นว่าไม่น่าสนับสนุน
ก็ไม่ต้องติดตามผลงานของเธอสิครับ

ผมรู้สึกแปลกๆมาตั้งแต่ตอนที่มีข่าวเรื่องน้องแน็ทเล่นหนังเอ็กซ์แล้วครับ
ตอนนั้นดูเหมือนจะมีกระแสที่ต้องการให้แบนเธอจากการแสดงภาพยนต์
ผมสงสัยว่าการเล่นหนังเอ็กซ์มันเข้าไปเกี่ยวอะไรกับความสามารถทางการแสดงของเธอด้วยล่ะครับ
ถ้าเธอถูกแบนไปจริงๆ
และถ้ามีผู้กำกับท่านใดที่เห็นว่าเธอมีความสามารถเหมาะกับบทบาทในภาพยนต์ของเขา
เขาก็คงจะไม่มีสิทธิ์จ้างให้เธอใช้ความสามารถเพื่อร่วมกันสร้างผลงานของเขาด้วยใช่ไหมครับ
อาจารย์จำหนังญี่ปุ่นเรื่องสงครามชีวิตโอชินได้ไหมครับ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่สู้ชีวิตคนหนึ่ง
เป็นหนังที่ดีและได้รับความนิยมในระดับเดียวกับหนังเรื่อง
แดจังกึมในยุคนี้ นางเอกที่เล่น
ก็เคยเป็นนักแสดงซอร์ฟคอร์พอร์นมาก่อนที่จะมาเล่นในซีรี่ส์ชุดนี้
ถ้าคนในสังคมญี่ปุ่น(ซึ่งก็นับได้ว่าอนุรักษ์นิยมมากพอสมควรนะครับ)ในยุคนั้นมีทัศนคติแบบที่คนไทยในยุคนี้มีกัน
ผลงานการแสดงที่ดีๆอย่างนี้ก็คงไม่ได้สร้าง
ทำไมประเทศนี้ถึงไม่สามารถสร้างนักคิด
หรือศิลปินอย่าง เฟลลินี่, ปาโสลินี่, หรือ
ศิลปินมากพรสวรรค์อย่าง โยโกะ โอโน๊ะ
ผมล่ะดีใจแทนพวกเขาจริงๆครับ
ที่ไม่ต้องมาเกิดในประเทศไทย ถ้ามาอยู่ในเมืองไทย
แล้วเป็นอย่างที่พวกเขาเป็น
ผู้คนในสังคมนี้คงจะกดให้พวกเขาลงมาอยู่ในระดับเดียวกับคนไทยเป็นแน่(ผมหมายถึงระดับสติปัญญานะครับ)


อาจารย์เคยสงสัยไหมครับ
ว่าสังคมในบางประเทศที่อาจารย์อาจจะเรียกว่า
เป็นสังคมเสื่อมทราม มีแต่พวกฟรีเซ็กส์นั้น
ทำไมถึงมีปัญหาเด็กที่เกิดนอกการสมรสน้อยกว่าเราเยอะ
เป็นไปได้ไหมครับว่า
เป็นเพราะสังคมของเขาไม่มีการปิดกั้นเด็กวัยรุ่นในการเข้าถึงข้อมูลในการป้องกันการติดโรคและการตั้งครรภ์
ผิดกับสังคมภายใต้วัฒนธรรมแบบมือถือสากปากถือศีลในแบบเรา


คุณชาญครับ ผมอาจจะเป็นคนใจร้ายอย่างที่คุณว่า
นั่นผมไม่รังเกียจหรอกครับ
แต่ถ้าคุณลองดูหัวข้อกระทู้
แล้วดูเรื่องการลงโทษทางสังคมที่เกิดขึ้น
ผมว่าคุณคงจะนึกย้อนเองได้ว่าใครกันแน่ที่ใจแคบ

จากคุณ : pc : - [ 23 กพ. 2007 22:37:05 ]

No comments: