Sunday, February 25, 2007

pc's comments part 4

56520
วันนี้ผมรู้สึกเวียนหัว เหมือนจะไม่ค่อยสบาย
สมองมันตื้อๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก ว่าจะเขียนตอบคุณชาญ
ก็คงต้องรอไว้พรุ่งนี้
ให้ได้หลับสักงีบแล้วค่อยมาเขียนนะครับ
จากคุณ : pc : - [ 25 กพ. 2007 01:23:25 ]




56533
ถึง คุณชาญ

“คุณพีซี ใช้คำว่า"ประเทศเฮงซวย"
ผมว่าผมรับไม่ได้เลยครับ
นอกจากคุณจะเป้นคนใจแคบอย่างที่ครูกัลยาว่าแล้ว
คุณยังเป็นคน ใจร้าย อีกด้วยครับ”

“เราว่าคนที่นายพีซีควรคุยด้วยคือ...จิตแพทย์
เพราะดูแกช่างมี อคติมากเหลือเกิน
แกคงเก็บกดอะไรๆมามากทำให้มองสังคมคับแคบด้านเดียวไปหมด

จริง...หน้าที่ในการอบรม ให้ความคิด หล่อหลอม
ก็ควรเป็นของพ่อแม่ แต่ในขณะเดียวกัน
ผู้ใหญ่ในสังคมโดยเฉพาะพวกคนดัง-ดารา-หรือพวกสื่อมวลชนทั้งหลายจะทำอะไรก็ควรคิดถึงส่วนรวม
หรือคิดถึงผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนอย่างที่ครูกัลยาบอกด้วย

มันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคม
ที่ต้องช่วยๆกันประคอง
เช่น การที่ดาราพากันแต่งโป๊ โชว์นม
ทำไมคุณต้องแต่งยังงั้นด้วย? เพื่ออะไร?
แล้วคุณไม่ยอมรับหรือว่าจะเป็นตัวอย่าง-เป็นค่านิยมที่เลวๆ
ทำไมต้องกระตุ้นปลุกเร้ากามกันอยู่ได้...ในเมื่อสื่อต่างๆเผยแพร่พฤติกรรมคุณไปทั่ว..ทั้งยั่วกาม
ทั้งปลุกเร้ากันไปถึงไหน
จงอย่าใช้"วิธีคิด"แบบพวกคนชั่วๆๆๆๆเลย
เช่น "กูขายยาบ้ายาเสพติด
มันผิดตรงไหน..กรูไม่ขายคนอื่นก็ขาย
กรูแค่หาเงินเลี้ยงครอบครัว
บางส่วนกรูก็เอาเงินไปทำบุญด้วยนะเออ..."
" กรูเปิดซ่องกระหรี่มันผิดตรงไหน?
กรูทำให้สาวบ้านนอกมีเงินใช้ส่งเงินให้พ่อแม่
ทำให้ผู้ชายไม่ต้องไปข่มขืนผู้หญิงดี"


บอกได้ว่าคุณพีซี ต้องปรับปรุงวิธีคิดของตนเองซะใหม่
ก่อนจะสร้างปัญหาให้แก่ตัวเองในวันข้างหน้า”

คุณอาจจะมองผมว่าเป็นพวกใจแคบ
พวกป่วยทางจิตที่ต้องการความช่วยเหลือจากจิตแพทย์
ในขณะเดียวกัน ผมก็อาจจะมองคุณชาญว่า
เป็นพวกกบในกะลา
พวกที่ชอบตัดสินคนอื่นๆเอาจากมาตรฐานทางด้านจริยธรรมแบบตื้นๆ
แต่อย่างหนึ่งที่ผมเดาว่าพอจะบอกความแตกต่างระหว่าง
“คนอย่างคุณ” กับ “คนอย่างผม” ได้ก็คือ
ถึงผมจะมองว่าคุณเป็นพวกกบในกะลา
ผมก็เคารพสิทธิ์การอยู่ในกะลาของคุณ
ไม่เคยแม้แต่จะคิดอาจเอื้อม
หรือถือวิสาสะเข้าไปทุบกะลาของคุณ
ผิดกับคุณที่พยายามเอากะลาของคุณมาครอบผมหรือคนอื่นๆเขาไปทั่ว
อาจจะด้วยในรูปของการเรียกร้องอำนาจรัฐหรือกลไกทางสังคมต่างๆ
ให้มีการลงโทษไม่ว่ากับใครก็ตามที่ไม่ยอมอยู่ใต้กะลาของคุณ
หรือทำตัวผิดไปจากมาตรฐานในกะลาของคุณ

เวลาที่พูดถึงคนที่ใจแคบและมีอคติ
ผมมักจะนึกไปถึงพวกที่ชอบใช้เกณฑ์ของตนในการตัดสินคนอื่นๆ
พวกที่มองข้ามความแตกต่างอันหลากหลาย
พวกที่มักจะคิดว่าทุกคนต้องอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
ในแบบที่พวกตนกำหนดขึ้น
ใครที่ผิดไปจากมาตรฐานนี้จะต้องถูกลงโทษ
และยิ่งถ้ามามองความเป็นจริงทุกๆอย่างที่ปรากฏ
แล้วตัดแบ่งสิ่งที่ปรากฏออกเป็นกลุ่มของคู่ตรงข้ามอย่างง่ายๆ
อย่างเช่น พวกดี กับ พวกชั่ว ด้วยแล้ว
มันยิ่งดูเหมือนพวกที่ใจแคบเข้าไปใหญ่เลยครับ
ไม่ต้องมองหาสาเหตุให้เสียเวลาว่าทำไมทุกอย่างมันถึงได้เป็นไปอย่างที่มันเป็น
และเวลาพูดถึงความดีกับความชั่ว
เคยคิดบ้างไหมครับว่า
แท้ที่จริงแล้วมันก็พัฒนาต่อยอดมาจากความรื่นรมย์ทางผัสสะ
อะไรที่ทำให้เรารู้สึกดีก็กลายเป็นสิ่งที่ดี
จนเมื่อเรามีวิวัฒนาการทางสังคมที่ซับซ้อนขึ้น
ก็ได้มีการพัฒนาแนวความคิดเรื่องศีลธรรมอันเป็นอุดมคติกันขึ้นมา
มันก็มีการบังคับใช้และกลายมาเป็นจารีต
แต่บางครั้งเราก็กลับพบว่า
ความรื่นรมย์ทางผัสสะที่ต่อยอดมาเป็นความรื่นรมย์ทางอารมณ์ของการได้ทำสิ่งดีๆ
ในตัวมันเองก็มีหลากหลายรูปแบบ
และมีความแตกต่างกันหลายระดับ จนบางครั้ง
สิ่งที่เรียกกันว่าความดีมันก็มีความขัดแย้งในตัวมันเอง
เช่น
สิ่งที่ดีต่อสังคมมนุษย์มันก็อาจจะไม่ดีต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆในธรรมชาติ
ความศิวิไลซ์ที่เรามีต่างก็แลกมากับการเข้าไปยื้อแย่งเอาแหล่งทรัพยากรของสัตว์อื่นๆ
หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว
ไอ้ที่เขาเรียกกันว่าความดี
ต่อให้มันเป็นอุดมคติยังไง
มันก็พัฒนามาจากความต้องการในการตอบสนองอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์อย่างเราด้วยกันทั้งนั้น
หรือบางที มันก็แฝงนัยแห่งอำนาจ เท่าที่ผมเคยอ่านมา
พระพุทธเจ้าก็ได้เคยตรัสไว้ในหลักคำสอนว่า
ไม่ให้ยึดติดกับความดีมากนัก
เพราะมันเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้น
และเข้าไปให้ความหมายกับทุกสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ
ส่วนจะจริงหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบนะครับ
ผมก็แค่อ่านไว้ประดับความรู้เฉยๆ
เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนไม่มีศาสนาครับ (โอ้ว
.....
ผมอาจจะเป็นคนที่ใจแคบและใจร้ายขึ้นไปได้อีกระดับหนึ่งใช่ไหมครับ
ถ้าว่ากันตามมาตรฐานของคุณชาญ)

คุณเคยคิดด้วยมุมมองที่แตกต่างบ้างหรือเปล่าถึงเหตุผลของจารีตที่เราเคยเชื่อกันว่า
มันทำให้สังคมอยู่ในความสงบเรียบร้อยและดีงามนั้น
มันดีสำหรับใคร
ค่านิยมที่ปลูกฝังให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัวมันทำให้สังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่สามารถควบคุมผู้หญิงให้อยู่ใต้อำนาจได้ง่ายขึ้นหรือเปล่า
คุณอาจจะมองว่าคนอย่างผม วันๆคิดแต่เรื่องชั่วๆ
แต่สำหรับผม
ความชั่วร้ายที่แท้จริงก็คือการยึดมั่นกับกรอบความคิดแบบ
chauvinist ในทุกรูปแบบ
มันชั่วพอที่จะทำให้เราทุกคนกลายเป็นพวกมือถือสากปากถือศีลได้อย่างไม่ละอาย
สามารถก่อสงครามและสร้างความเสียหายได้ในแทบจะทุกสิ่งที่เราสัมผัส
ทำลายสิ่งสวยงามทุกอย่างที่มีอยู่ในโลก
และเมื่อทำไปแล้วเราก็ยังหลงคิดกับตัวเองได้ว่าเรายังเป็นคนดีอยู่
ทุกอย่างที่ได้กระทำลงไปล้วนแต่เป็นสิ่งดีที่จำเป็นเพื่อตอบสนองภารกิจอันสูงส่ง
คนพวกนี้ก็อาจจะคล้ายๆ
กับพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์น่ะครับ
เวลาพวกนี้ไปยังโลกใหม่
แล้วเห็นวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นที่มีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการทางธรรมชาติของพวกเขา
พวกเผยแพร่ศาสนาก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปตัดสิน
และบีบบังคับให้พวกเขาทิ้งวิถีชีวิตแบบเดิมๆ
หันมาเข้ารีต ใครหรือพวกไหนที่ไม่ยินยอม
ก็คงต้องถูกกำจัดในรูปของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
และพวกเผยแพร่ศาสนาก็ยังหลงคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปมันยังเรียกได้ว่าเป็นความดีอยู่
และกรอบความคิดในแบบ chauvinist
มันก็ไม่ได้มีเฉพาะแต่กับในวัฒนธรรมของศาสนาคริสต์เท่านั้น
มันมีแทรกอยู่ในทุกวัฒนธรรมแหละครับ
ตราบเท่าที่ยังมีคนที่ยึดมั่นกับความเชื่อเชิงจารีต
และพยายามเอาไปบังคับใช้กับทุกคน ในยุคนี้
การลงโทษใครก็ตามที่มีพฤติกรรมหรือแนวความคิดผิดไปจากกรอบความเชื่อ
อาจจะไม่ได้ทำโดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
แต่อาจจะทำในรูปบทลงโทษทางสังคมหรือการอาศัยกลไกของรัฐในการออกนโยบายบังคับใช้
ว่าแต่
นั่นเป็นสิ่งที่คุณชาญกำลังทำอยู่หรือเปล่าครับ

คงเป็นเพราะในสังคมนี้มันเต็มไปด้วยคนอย่างคุณนั่นแหละครับ
เราถึงได้มีระบบเซ็นเซอร์แบบที่เรามี
มีรัฐบาลในแบบที่เรามี
มีการละเมิดสิทธิ์มนุษย์ชนในแบบที่เรามี
เวลาที่คุณเที่ยวไปตัดสินใครก็ตามว่าชั่วๆๆๆๆๆ
โดยดูจากตัวอย่างที่คุณยกมา เรื่องโสเภณี กับ
เรื่องยาเสพย์ติด บางทีผมไม่สงสัยเลยครับ
ว่าทำไมที่ผ่านมา
เราถึงได้ปล่อยให้เกิดการละเมิดสิทธิ์มนุษย์ชนด้วยการฆ่าตัดตอน
จนมีคนตายไปหลายพันคน
อาจจะเป็นไปได้ใช่ไหมครับว่าผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเขาคิดแบบเดียวกับคุณ
ไหนๆคนพวกนี้มันก็ชั่วกันอยู่แล้ว
จะไปสนใจทำไมว่าคนพวกนี้จะถูกกวาดล้างกันยังไงบ้าง
ในเมื่อคนในสังคมเปิดไฟเขียวให้กับทางรัฐบาลและเจ้าหน้าที่
ไม่ต้องไปเฝ้าติดตามหรือคอยตรวจสอบฝ่ายอำนาจรัฐให้เสียเวลา
ว่าในจำนวนหลายพันคนที่ตายนั้น
มันมีคนบริสุทธิ์รวมอยู่ด้วยกี่คน
จะทำให้สังคมมันสะอาดมันก็ต้องมีความสูญเสียบ้าง
อย่างน้อยพวกชั่วๆมันก็ตายกันมากกว่า ใช่ไหมครับ
และคุณคงไม่แคร์ด้วยซ้ำที่จะมองหาสาเหตุว่า
อะไรคือปัจจัยที่ผลักดันให้เด็กพวกนั้นไปติดยา
การแพร่ระบาดของยาเสพย์ติดเป็นต้นตอของปัญหาในตัวมันเอง
หรือเป็นอาการของปัญหาที่เกิดจากสาเหตุที่ใหญ่กว่านั้น
การกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอาการของปัญหาออกไปจะส่งผลต่อสิ่งที่เป็นสาเหตุบ้างหรือเปล่า
ถ้าสาเหตุมันยังอยู่
อาการจะปรากฏออกมาในรูปแบบอื่นได้หรือเปล่า
อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบการเสพย์ยา
แต่อาจจะอัปลักษณ์กว่านั้น เช่น ยกพวกตีกัน
ซึ่งก่อความเดือดร้อนต่อคนบริสุทธิ์อื่นๆด้วย
แทนที่เดือดร้อนเฉพาะกับผู้ที่เสพย์ยาเอง
ผมสงสัยอยู่เหมือนกันครับ
ด้วยพื้นฐานที่คุณชาญมองว่า
ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติดหรือโสเภณีย่อมเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย
คุณชาญคิดว่า
เด็กที่เสพย์ยาอย่างเดียวโดยที่ยังไม่เคยก่ออาชญากรรมที่ส่งผลต่อความเดือดร้อนของคนอื่นนั้น
สมควรจะมีประวัติอาชญากรรมติดตัวหรือเปล่า ผมว่า
บางที
ปัญหาใหญ่ๆที่เรามีมันอาจจะเกิดจากการขาดความอ่อนไหวต่อสิ่งเล็กๆ
และความคิดที่หยาบกระด้างของผู้คนในสังคมมันเป็นไปได้ไหมครับว่าเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมที่คุ้นเคยกับการใช้อำนาจมากกว่าเหตุผล
และถ้าวัฒนธรรมของประเทศนี้มันเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ทำไมผมจะต้องไปชื่นชมมันเหมือนกับคุณชาญด้วยล่ะครับ
ไหนลองให้เหตุผลผมมาสักข้อ
ผมไม่รู้ว่าชีวิตคุณผ่านอะไรมาบ้าง
เช่นเดียวกับที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับผม
สิ่งที่เอื้อประโยชน์สำหรับคุณ
อาจจะตัดโอกาสคนอีกหลายคน
แต่นั่นคงจะไม่เป็นสิ่งที่อยู่ในความสนใจของคุณเพราะคุณไม่ได้มาสูญเสียด้วย
ภายใต้วัฒนธรรมนี้
สิทธิ์ทางความคิดที่ผมเห็นว่าเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง
อย่าง ชอบหรือไม่ชอบ เชื่อหรือไม่เชื่อ
มันยังจะพอมีอยู่บ้างมั้ยครับ
หรือว่าสังคมนี้มันสิ้นหวังถึงขนาดว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ควรจะถือเป็นสิทธิ์ด้วยซ้ำ


เวลาผมอ่านความเห็นของคุณครูกัลยาที่ว่า
“อย่าดูแคลนประเทศที่ขุนข้าวขุนน้ำ
ให้ที่ซุกหัวนอนคุณนักเลย เข้าใจบ้านพ่อบ้านแม่
ผืนแผ่นดินที่คุณคลอดและโผล่หัวออกมาให้ดีๆ”
ผมไปสะดุดตรงคำว่า “ผืนแผ่นดิน” โอ้ ..........
ผมเองก็คิดว่าผมสำนึกในบุญคุณของผืนแผ่นดินเสมอครับ
ในฐานะที่เป็นแหล่งทรัพยากรและที่อยู่อาศัยของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ
จนมนุษย์อย่างเราเริ่มเรียนรู้ที่จะตัดแบ่งผืนแผ่นดินออกเป็นประเทศ
เป็นรัฐชาติที่มีขอบเขตและอาณาบริเวณที่แน่นอน
ผมคิดว่าผมพอจะแยกออกนะครับว่าการมีอยู่ของรัฐชาติมันเป็นผลผลิตของระบบอำนาจล้วนๆ
ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความดีงามหรือคุณธรรมแต่อย่างใด
การเรียกร้องให้สำนึกในบุญคุณของฝืนแผ่นดินก็คือการเรียกร้องให้ภักดีกับผู้ที่ครอบครอง
อาจจะอยู่ในรูปรัฐบาลหรือใครก็ตามที่อยู่ในอำนาจ
และรัฐชาติสมัยใหม่ที่เรามีอยู่ทั่วโลกก็เป็นสิ่งที่เพิ่งจะเกิดมาไม่กี่ศตวรรษนี้เองนะครับ


ก่อนหน้านั้นในภูมิภาคนี้จะประกอบด้วยอาณาจักรที่ไม่มีอาณาเขตที่แน่นอน
เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรค่อนข้างต่ำ
ทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นที่ต้องการในฐานะแรงงาน
และในเวลาที่มีศึกสงครามเพื่อแย่งชิงทรัพยากร
ชุมชนที่อยู่รอบนอกอาณาจักรสามารถที่จะเลือกเข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้
อำนาจในการควบคุมเป็นไปอย่างหลวมๆ
อาจจะต้องอาศัยความเชื่อในเชิงพิธีกรรมเพื่อกระตุ้นสำนึกความจงรักภักดี
ให้คนตัวเล็กๆยอมเข้าไปเป็นขุมกำลังในเกมของพวกผู้มีอำนาจ
แต่อย่างไรก็ตาม
การไหลเวียนของประชากรก็เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
เชลยศึกไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใดก็ตาม
เมื่อเข้าไปอาศัยในขอบเขตของนครรัฐแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นเวลานานพอ
ก็จะถูกกลืนเข้าสู่ระบบไพร่
แตรัฐชาติสมัยใหม่กลับพ่วงเอาสำนึกของความเป็นเชื้อชาติเข้ามา
และปลูกฝังอคติอย่างเป็นระบบ
อาจจะผ่านทางการสอนประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนในระบบโรงเรียนที่คุณครูกัลยารับใช้อยู่
และเพื่อการคำจุนความสัมพันธ์เชิงอำนาจในตัวของรัฐชาติ
อะไรมันจะดีไปกว่าการปลูกฝังความเชื่อเรื่องชาตินิยม
และพยายามทำให้มันดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของความดีงามแทนที่จะเป็นเรื่องของอำนาจล้วนๆ
ที่ทำให้ทุกคนเชื่องได้พอๆกัน
ง่ายต่อการถูกปั่นหัวโดยนักการเมือง นักการทหาร
หรือใครก็ตามที่มีอำนาจอยู่ในมือ
ให้มองข้ามความเหลื่อมล้ำและความไม่ยุติธรรมในสังคมของตน
และโทษว่า
ความเสื่อมทรามทุกอย่างมันมาจากการรับเอาวัฒนธรรมจากภายนอก
(ทั้งๆที่พุทธศาสนาก็รับมาจากภายนอกเหมือนกัน)
ให้ผู้ที่เชื่อมอบความไว้วางใจทุกอย่างให้กับผู้นำ
เพราะเราต่างก็เรียนประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงเฉพาะกิจกรรมของผู้นำมากกว่าคนตัวเล็กๆที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
(ผมไม่แปลกใจว่าทำไม สิบสี่ตุลา หกตุลา
หรือพฤษภาทมิฬ
ถึงไม่มีบรรจุไว้ในตำราเรียนประวัติศาสตร์)
ทำให้เรามีอคติกับผู้อพยพที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งๆที่พวกเขาบางคนก็อาจจะมีบรรพบุรุษร่วมกันกับคนไทย


และความเชื่อเรื่องชาตินิยมนี้มันก็ใช้ได้ผลกับคนไทยเสียด้วยสิครับ
เรามีอคติทุกอย่างที่คติชาตินิยมต้องการให้มี
เราพร้อมจะตัดโอกาสตัวเองในการเรียนรู้ที่กว้างไกลออกไป
เพราะการเรียนรู้นั้นมันไปกันไม่ได้กับวัฒนธรรมประจำชาติ
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ถ้าปล่อยให้ได้เรียนรู้
อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่มีอยู่แต่เดิม
พฤติกรรมทุกอย่างที่ไปด้วยกันไม่ได้กับวัฒนธรรมอันดีจะต้องถูกกำจัด
เราถึงได้ปล่อยให้พวกสมองอึในกระทรวงวัฒนธรรมที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยต่อวัฒนธรรมสากลร่วมสมัย
ให้เข้ามามีอำนาจชี้ขาดว่าอะไรเรามีสิทธิ์จะได้รับรู้
อะไรเราไม่มีสิทธิ์ และถึงแม้ว่า
มันตัดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพทางปัญญาของเราเพียงใด
เราก็ยังภูมิใจกับมัน
และก็พยายามจะกลืนให้ทุกๆคนภูมิใจกับมันเช่นเดียวกับเรา
ใครที่ไม่รู้สึกเช่นนั้นจะต้องได้รับการประณาม

มันทำให้ผมนึกไปถึงทัศนคติของคนไทยที่มีต่อไทเกอร์
วู๊ด ผมเองก็ไม่ได้เป็นแฟนของเขา
ผมไม่ชอบดูและก็ไม่ชอบเล่นกีฬาด้วยซ้ำ (โอ้ว .....
ตอนนี้ นอกจากใจแคบและมีอคติแล้ว
ผมอาจจะกลายเป็นพวกไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว)
เขาถูกประณามเพียงเพราะว่าเขาไม่ได้บอกว่าเขาเป็นคนไทย
ทั้งๆที่ เวลาที่ผมอ่านคำให้สัมภาษณ์ของเขา
เขาก็ไม่เคยปฏิเสธ เขาเพียงแต่บอกว่า
เขาเป็นอเมริกันที่มีส่วนผสมของแอฟริกันอเมริกัน
คอเคเชี่ยน ไทย และจีน
การประณามนั้นรุนแรงถึงขนาดที่ว่าลามไปถึงแม่ของเขา
หาว่าเธอเคยเป็นโสเภณี
(พวกคนที่อยู่ในแวดวงของเรื่องชั่วๆๆๆๆ
อย่างที่คุณชาญว่าไว้น่ะครับ)
ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือเปล่า
แต่ถึงมันเป็นจริง
ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีที่มีสิทธิ์เลิอกจะมีชีวิตได้ตามที่ต้องการ
บางคนที่ไม่ได้เป็นโสเภณีอาจจะยังไม่ตระหนักถึงความโชคดี
ที่ตลอดชีวิตของพวกเขาไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ต้องไปเกลือกกลั้วกับสิ่งชั่วๆ
ยังสามารถภูมิใจกับสถานะของตนเองได้มากพอที่จะขี้นิ้วประณามผู้คนที่อยู่ในแวดวงเหล่านั้น
(ผมจะเข้าประเด็นนี้ทีหลังนะครับ) มันเหมือนกับว่า
สังคมไทยไม่เคยสร้างสิ่งดีๆ
หรือให้ชีวิตใหม่ที่ดีๆกับเขาเลย
ถ้าเขาเติบโตมาในเมืองไทย
ผมค่อนข้างจะเชื่อว่าเขาคงจะไม่มีโอกาสได้เป็นอย่างที่เขาเป็น
เพราะสังคมเราคงไม่มีปัญญาพอที่จะเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมา
แต่พอเห็นเขาได้ดิบได้ดีขึ้นมา
ก็ตั้งหน้าตั้งตาจะไปลำเลิกบุญคุญเอากับเขา
เรียกร้องให้เขาต้องภูมิใจกับสิ่งที่ไม่เคยทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นเลย
ผมว่า สิ่งที่ผู้คนในสังคมนี้ทำ
มันทั้งดูน่าขำและน่าสมเพชได้ในเวลาเดียวกัน
คุณชาญว่าอย่างนั้นไหมครับ แต่
จะมีคนชาติไหนที่ทำเรื่องพวกนี้ได้ดีไปกว่าคนไทยอีกล่ะครับ


ถ้าคนแบบผมเป็นคนที่มีอคติ ผมแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่า
มันไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆแน่
แต่ดูจากที่คุณชาญเขียนมาแล้ว ผมเดาเอานะครับว่า
นอกจากคุณมองว่า
โสเภณีกับยาเสพย์ติดเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ต้องกำจัดแล้ว
คุณยังมองว่า ทุกอย่างที่เกี่ยวของกับเซ็กส์
รวมทั้งเซ็กส์ที่เกิดขึ้นนอกการสมรส
ควรจะนับว่าเป็นสิ่งที่ต่ำทราม
และใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างนี้ย่อมเป็นพวกที่ต่ำทรามใช่ไหมครับ
คุณคงจะมีเกณฑ์วัดความดีของคุณอยู่
ใครที่ไม่ถึงเกณฑ์ก็ควรจะได้รับความช่วยเหลือจากจิตแพทย์
เพื่อให้มีจิตใจที่ปรกติและสูงส่งได้ในระดับที่ไกล้ๆกับคุณใช่ไหมครับ
ดูๆไปแล้วอคติของคุณก็มีไม่น้อยเหมือนกันนะครับ
ทั้งผมและคุณอาจจะเหมือนกันอย่างหนึ่งตรงที่
คุณและผมต่างก็ไม่ค่อยได้สำรวจตัวเองกันเท่าไรนักหรอก
ใช่ไหมครับ การปลุกเร้ากาม
ไม่ว่ามันจะเกิดในที่ใดก็ตาม ต้องถูกกำจัดใช่ไหมครับ
ถ้ามันโผล่มาในภาพยนตร์ ในรูปของฉากการร่วมรัก
ไม่ว่ามันจะมีความสำคัญต่ออารมณ์ของเรื่องเพียงใดก็ตาม
ก็สมควรจะถูกตัดทิ้งหรือเบลอใช่ไหมครับ
หรือถ้ามีสิ่งชั่วๆอย่างอื่น อย่างยาเสพย์ติด
เหล้าหรือบุหรี่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
การทำเบลอมันก็เป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผลใช่ไหมครับ
แม้ว่ามันจะทำลายความสวยงามของงานภาพขนาดไหนก็ตาม
แต่ความสวยงามของภาพยนตร์มันคงจะไม่ได้อยู่ในความสนใจของคุณอยู่แล้ว
ถ้ามันเป็นต้นเหตุที่ทำให้สังคมเสื่อมทราม
บางที่พวกที่ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้หลุดรอดสู่สายตาของสาธารณชน
หรือผู้ที่สนับสนุนแนวความคิดนี้
ก็คงเป็นพวกที่ต้องการความช่วยเหลือจากจิตแพทย์เหมือนกับผมใช่ไหมครับ
บางที ทุกคนในประเทศอย่าง ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์
หรืออีกหลายประเทศที่สามารถรับรู้เรื่องเหล่านี้ผ่านสื่อได้อย่างเสรี
ก็คงเป็นพวกป่วยทางจิต
บางทีเราน่าจะมีจิตแพทย์ไปประจำเทศกาลภาพยนตร์ อย่าง
เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์หรือออสการ์ใช่ไหมครับ
เพราะนอกจากจะมีสิ่งปลุกเร้าทางกามรมณ์ให้ดูอย่างไม่ถูกเซ็นเซอร์ในเทศกาลเหล่านั้นแล้ว
บรรดาผู้ที่เข้าร่วมงาน โดยเฉพาะพวกนักแสดงหญิง
ก็มีหลายคนที่อาจจะแต่งตัวในแบบที่คุณชาญรับไม่ค่อยได้
ประเทศเหล่านี้น่าจะมีสถิติอาชญากรรมทางเพศสูงนะครับ
คุณว่ามั้ย
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเจริญได้ไม่เท่ากับเรา
การสร้างสรรค์งานมันดูจะปราศจากข้อจำกัดไปมากอยู่เหมือนกัน
หรือบางทีเป็นไปได้ไหมว่า
พวกเขาไม่ใช่พวกเก็บกดทางเพศอย่างเรา
ไอ้พฤติกรรมที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคมทั้งหลายแหล่จึงสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ส่งผลต่อระดับศีลธรรมของผู้คน


เอาไว้พรุ่งนี้ผมค่อยมาต่อนะครับ

จากคุณ : pc : - [ 25 กพ. 2007 05:04:30 ]

1 comment:

Anonymous said...

หลงมาตามgoogle ครับ

รู้สึกดีและยิ้มที่ได้อ่านครับ