Friday, October 18, 2013

GUEGGONG (2013, Surawee Worrapot, A+20)

GUEGGONG (2013, Surawee Worrapot, A+20)
กึกก้อง (สุระวี วรพจน์)
 
ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่
 
SPOILERS  ALERT
 
หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้
 
1.ชอบอะไรหลายๆอย่างในหนังเรื่องนี้มากๆ โดยเฉพาะการสร้างความเป็นสีเทาให้ตัวละครครูและพระเอก (เด็กชายที่ขโมยยา) ตัวละครสองตัวนี้น่าสนใจมากๆ เพราะมันเป็นเรื่องยากสำหรับเราจริงๆที่จะตัดสินครูว่าทำถูกหรือทำผิด และตัดสินว่าพระเอกเป็นคนดีหรือคนเลว
 
 
2.การสร้าง dilemma ให้ตัวละครคุณครูในเรื่องนี้นี่มันรุนแรงจริงๆ มันก่อให้เกิดความรู้สึกค้างคาในใจเราจริงๆ และนี่แหละคือปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+20 (หมายถึง ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) เพราะเราเองจนถึงตอนนี้ก็ตอบไม่ได้ว่า ถ้าหากเราเป็นครูในเรื่องนี้ เราจะตัดสินใจทำยังไง เราว่าเราอาจจะตัดสินใจทำแบบครูในหนังเรื่องนี้ก็ได้ ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะแสดงให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า การตัดสินใจแบบที่ครูทำในหนังเรื่องนี้ มันอาจจะก่อให้เกิดผลเสียอย่างไรบ้าง (ทำให้เด็กได้ใจ และขโมยของต่อไป)
 
dilemma แบบนี้นี่แหละที่เราชอบมากๆ เพราะหนังเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นว่า การตัดสินใจแบบของเรา มันอาจจะก่อให้เกิดผลเสียอย่างไร หนังเรื่องนี้ก็เลยเหมือนกระทบเราโดยตรง มันเหมือนกับการโยนคำถามเปรี้ยงเข้าใส่หน้าเราโดยตรง เหมือนกับเราโดนสาดน้ำที่เย็นจัดเข้าใส่หน้า และทำให้เราตื่นขึ้นมาตั้งคำถามกับสามัญสำนึกของเราใหม่
 
3.เรามองว่าสิ่งที่ครูทำเป็นสิ่งที่เรายอมรับได้นะ เขาเป็นคนที่เห็นว่า “มนุษยธรรม” สำคัญกว่า “กฎระเบียบ” น่ะ ซึ่งมันตรงกับแนวคิดของเราเหมือนกัน เขาสงสารพระเอก ดังนั้นพอเขารู้ว่าพระเอกทำผิด (จริงๆตรงนี้เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าพระเอกขโมยกล่องดินสอจริงๆหรือเปล่า) เขาก็เลยช่วยพระเอกด้วยการซื้อกล่องดินสอใหม่ไปให้เด็กอีกคน เขาคิดว่านั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
 
ในแง่นึงเราก็มองว่าครูคนนี้คือตัวละครที่ตรงข้ามกับ Javert ใน LES MISERABLES น่ะ Javert คือตัวละครที่เราเกลียดมากๆ เพราะเขาเห็นว่ากฎระเบียบสำคัญกว่ามนุษยธรรม ในขณะที่เรามีความเห็นตรงกันข้าม เพราะเรามองว่ามนุษยธรรมต้องมาก่อนกฎระเบียบในหลายๆกรณี
 
4.แต่สิ่งที่ต้องกราบตีนหนังเรื่องนี้จริงๆก็คือการที่หนังไม่ได้เชิดชูความดีของคุณครูคนนี้ แต่หนังกลับตั้งคำถามต่อการตัดสินใจของครูคนนี้ หนังทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า
 
4.1 สิ่งที่ครูทำเกิดจากความสงสารคนจน แต่ความสงสารคนจนหรือผู้ตกทุกข์ได้ยาก มันสามารถใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการปกปิดความผิดของเขาได้หรือไม่
 
4.2 สิ่งที่ครูทำ ถือเป็น “ความลำเอียง” ประเภทหนึ่ง และความลำเอียงประเภทนี้ “ผิด” หรือเปล่า
 
(จริงๆแล้วจุดนี้ทำให้เรานึกไปถึงหนังที่เราชอบที่สุดเรื่องหนึ่งในปีที่แล้วด้วย ซึ่งได้แก่เรื่อง AARAKSHAN (2011, Prakash Jha, A+30) เพราะ AARAKSHAN พูดถึงข้อดีข้อเสียของ “ความลำเอียงเข้าข้างคนจน” ด้วยเหมือนกัน AARAKSHAN พูดถึงระบบการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาลัยของอินเดีย ที่ให้โควต้าพิเศษแก่คนวรรณะต่ำ เพราะรัฐบาลมองว่า คนวรรณะต่ำมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่ดีน้อยกว่าคนวรรณะสูง เพราะฉะนั้นคนวรรณะต่ำจึงควรได้สิทธิพิเศษในการเข้ามหาลัยมากกว่าคนวรรณะสูง แต่ถ้าหากมองในอีกแง่นึง ระบบโควต้าพิเศษแบบนี้ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นความไม่ยุติธรรมก็ได้เหมือนกัน และหนังเรื่อง AARAKSHAN ก็นำเสนอทั้งข้อดีข้อเสียของระบบนี้ ผ่านทาง arguments ของตัวละครหลายๆฝ่าย และผ่านทางการตบตีกันอย่างรุนแรงของตัวละคร จนเราคนดูแทบหัวใจวายตาย)
 
4.3 อะไรคือ “ความดี” และอะไรคือ “สิ่งที่ถูกต้อง”
 
4.4 สิ่งที่ครูทำ ส่งผลให้พระเอกได้ใจ และขโมยของต่อไปใช่หรือไม่
 
4.5 ถ้าคำตอบของ 4.4 คือใช่ แล้วครูทำผิดหรือเปล่า
 
4.6 ครูอาจจะไม่ผิดก็ได้ เพราะครูจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเอกจะกลายเป็นคนแบบนั้น ถ้าหากครูทำแบบนี้กับเด็กจนๆคนอื่น เด็กคนนั้นอาจจะกลับเนื้อกลับตัว กลายเป็นคนดีของสังคมก็ได้ ครูอาจจะไม่ผิด เพราะครูทำด้วยเจตนาดี การที่พระเอกขโมยของต่อไป จึงเป็นความผิดของพระเอกเพียงคนเดียว
 
4.7 ถ้าหากครูทำผิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกต้องที่ครูควรทำคืออะไร ลงโทษพระเอกใช่หรือไม่ แล้วพระเอกจะกลายเป็นคนอย่างไรต่อไป เป็นคนที่ไม่กล้าขโมยของใช่ไหม
 
4.8 พระเอกจงใจใช้ประโยชน์จากความน่าสงสารของตัวเองใช่หรือไม่
 
4.9 การขโมยกล่องดินสอถือเป็นสิ่งที่ผิดจริงๆ เพราะมันไม่ใช่สิ่งจำเป็น แล้วการขโมยยาไปรักษาแม่ล่ะ เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่หากมองจากแง่มุมทางมนุษยธรรม
 
5.เราชอบมากที่หนังแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ตัวครูเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่าในการช่วยพระเอกแบบนั้น โดยความลังเลใจของครูถูกนำเสนอผ่านทางการรีบตัดบทสนทนากับพ่อแม่ของเด็กอีกคน และผ่านทางการเดินครุ่นคิด
 
6.เราชอบมากที่หนังแสดงให้เห็นว่า ครูคนนี้เป็นคนที่มีส่วนดีในตัวเยอะจริงๆ เขามีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือคนจนในสังคมจริงๆ แต่ในบางครั้ง “เจตนาดี” เพียงอย่างเดียวยังไม่พอ และในบางครั้ง “ความดี” หรือ “สิ่งที่ถูกต้อง” ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินกันได้ง่ายๆ
 
ภาพลักษณ์ของครูในฉากที่ประกาศเรื่องโครงการช่วยเหลือคนจนต่อหน้าเด็กๆทั้งโรงเรียนนั้น มันทำให้เรานึกถึงภาพลักษณ์ของคนดีในสังคมเรา ซึ่งเรามักจะเคลือบแคลงใจในหลายๆครั้งว่า พวกเขาเป็นคนดีจริงหรือ คือพวกเขาอาจจะเป็นคนดีจริงในแง่บริจาคเงินเยอะ ไม่โกงกินชาติบ้านเมือง เต็มไปด้วยเจตนาดี และพวกเขาก็เชื่อมั่นอย่างเต็มที่จริงๆว่าพวกเขาเป็นคนดี แต่ในหลายๆครั้งเราอาจจะพบว่า ทัศนคติบางอย่างของพวกเขามีข้อผิดพลาดหรือมีอะไรที่ไม่ถูกต้องอยู่
 
เราก็เลยชอบจุดนี้มากๆในหนัง เพราะภาพลักษณ์ของครูในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรานึกถึงภาพลักษณ์ของคนดีในสังคมเรา ที่จริงๆแล้วพวกเขาเป็น “คนดีที่อาจจะมีข้อบกพร่องอย่างมากๆอยู่ในตัวด้วย”
 
7.นอกจากตัวละครครูแล้ว ตัวละครพระเอกก็ถูกออกแบบมาอย่างน่าสนใจมากๆเช่นกัน เพราะเป็นตัวละครที่สีเทาจริงๆ ในแง่นึงเขาเหมือนตัวละครอย่างเด็กหญิงวัลลี เป็นพวกลูกกตัญญู เด็กจนๆที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และต้องคอยดูแลแม่ที่ป่วย ตรงจุดนี้เขาเหมือนตัวละครพระเอกนางเอกในหนังไทยหลายๆเรื่องที่พยายามสั่งสอนผู้ชมว่า “จงกตัญญูต่อบิดามารดานะจ๊ะ” ซึ่งเราจะเกลียดหนังกลุ่มนี้มากๆ
 
เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ เพราะหนังแสดงให้เห็นว่าตัวละครที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกตัญญูอย่างพระเอก มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนดี บริสุทธิ์ผุดผ่องไปโดยอัตโนมัติแต่อย่างใด เพราะมนุษย์เรามันซับซ้อนกว่านั้นมาก
 
8.เราชอบสายตาของหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะหนังไม่ได้ประณามตัวละครครูกับพระเอก แต่แค่ตั้งคำถามกับตัวละครสองตัวนี้ คือหนังไม่ได้ตัดสินตัวละครสองตัวนี้อย่างหนักมือเกินไปน่ะ หนังแสดงให้เห็นว่า ตัวละครสองตัวนี้มีข้อบกพร่องอย่างไรบ้าง แต่ไม่ได้ชี้หน้าด่าตัวละครสองตัวนี้ว่าชั่ว, เลว หรือผิด หนังดูเหมือนเห็นใจตัวละครสองตัวนี้มากพอสมควร และโยนหน้าที่ในการตัดสิน “ความผิดชอบชั่วดี” มาให้คนดูแทน
 
9.ชอบการเล่าเรื่องในช่วงท้ายของหนังด้วยเหมือนกัน หนังเล่าเรื่องในช่วงท้ายโดยไม่เรียงลำดับเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำออกมาให้ดีได้ยากมาก การจะเล่าเรื่องโดยไม่เรียงลำดับเวลาแบบนี้ คนทำต้องมี skill ที่ดีจริงๆในการตัดต่อและในการเรียงร้อยอารมณ์ให้ลงตัว ซึ่งโดยปกติแล้วคนทำหนังทดลองหรือคนทำหนังเชิงกวีจะมีทักษะแบบนี้สูง แต่คนทำหนัง narrative หลายคนอาจจะไม่มีทักษะด้านนี้
 
ในส่วนของหนังเรื่องนี้นั้น เราว่าช่วงท้ายของหนังที่เป็นตัดต่อแบบไม่เรียงลำดับเวลา ทำออกมาใช้ได้นะ พลังมันอาจจะไม่สุดๆมากนักจนทำให้เราชอบถึงขั้น A+30 (หมายถึงชอบสุดๆ) แต่ก็ถือว่าน่าพอใจ และในอนาคตน่าจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้อีก
 
10.ชอบการ repeat ช็อตการขโมยขวดยามากๆ การ repeat ฉากนี้ทำออกมาได้ดีมากจนเกือบจะให้อารมณ์กึ่งๆ poetic เลย
 
11.ชอบการขยายชีวิตของพ่อแม่พระเอกด้วย คือแทนที่หนังจะโฟกัสไปที่ชีวิตพระเอกคนเดียว หนังกลับแสดงให้เห็นเราว่า พ่อแม่พระเอกเคยมีความสุขมากแค่ไหนตอนที่พระเอกเป็นเด็ก จุดนี้มันทำให้หนังเรื่องนี้เศร้าขึ้นมากๆ คือจริงๆแล้วจุดนี้มันไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาในเนื้อเรื่องก็ได้ หนังไม่จำเป็นต้องแสดงให้เห็นชีวิตพระเอกในวัยเด็กก็ได้ เพราะแค่ประเด็นเรื่อง dilemma ของครูก็รุนแรงมากพอแล้ว แต่พอหนังใส่ฉากย้อนอดีตวัยเด็กเข้ามาด้วย มันทำให้มิติในหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาในทันที มันทำให้เราเห็นว่าภาพลักษณ์ของ “ครอบครัวสุขสันต์” พ่อแม่ลูกที่มีความสุขนั้น มันไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น
 
หนังเรื่องนี้จบลงด้วยฉาก “ครอบครัวสุขสันต์” ก็จริง แต่หนังเรื่องนี้กลับทำให้เรานึกถึงหนังของ Maurice Pialat ที่สอนคนดูว่า “Happiness is as rare as a sunny day, and sorrow is forever.”
 
12.ตอนนี้เราอาจจะยังไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 นะ แต่ถ้าหาก dilemma ของครูในหนังเรื่องนี้ยังคงคาอยู่ในใจเราต่อไปเรื่อยๆ เราคงชอบหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอนาคตจนถึงขั้นชอบสุดๆอย่างแน่นอน
 
สาเหตุที่เรายังไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆในตอนนี้ เป็นเพราะเรารู้สึกว่าหนังยัง “เกลี่ยอารมณ์ไม่ลงตัว” น่ะ แต่เราก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันควรแก้จุดไหนอะไรยังไง แต่รู้สึกว่าอารมณ์อะไรบางอย่างมันยังไม่ลงตัว
 
อย่างไรก็ดี จุดที่เราบอกได้ชัดๆว่าไม่ค่อยชอบ ก็คือเพลงประกอบที่อารมณ์ดูล้นๆเกินๆไปนิดนึง และฉากคุณแม่เอามือปิดหน้าขณะฟังคุณพ่อพูดอยู่หน้าประตูห้อง เราว่าฉากนั้นมันให้อารมณ์ประหลาดๆยังไงไม่รู้
 
 
สรุปว่าชอบ “กึกก้อง” อย่างรุนแรงมากจ้ะ เพราะความเป็นสีเทาของตัวละคร, dilemma ของตัวละคร และความพยายามจะเล่าเรื่องโดยไม่เรียงลำดับเวลาในช่วงท้ายเรื่อง
 
 

1 comment:

celinejulie said...

เพิ่มเติม

จริงๆสิ่งที่จะเราสรุปต่อไปนี้คือสิ่งที่เราเขียนไปแล้ว แต่เราอยากสรุปใหม่อย่างสั้นๆว่า หนังเรื่องนี้มันไปไกลกว่าหนังไทยหลายๆเรื่องที่เราเคยดูมา เพราะ

1.หนังไทยหลายๆเรื่องสอนเราแค่ว่า “เราควรเห็นใจคนจน” แต่หนังเรื่องนี้เหมือนจะบอกเราว่า “เราควรเห็นใจคนจน แต่ว่า....”

2.หนังไทยหลายๆเรื่องสอนเราว่า “เราควรกตัญญูต่อบิดามารดา” แต่หนังเรื่องนี้เหมือนจะบอกเราว่า “เราควรกตัญญูต่อบิดามารดา แต่ว่า...”

ส่วน “แต่ว่า...” นี่แหละที่เป็นส่วนสำคัญมาก และทำให้หนังเรื่องนี้ไปไกลว่าหนังไทยกลุ่ม “ศีลธรรมอัดกระป๋องสำเร็จรูป” ที่เราพบได้ทั่วไปจ้ะ