NOSTALGIA (2013, Weerasu Worrapot, A+)
ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่
SPOILERS ALERT
ห้ามอ่านถ้ายังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้นะจ๊ะ
ดูหนังเรื่องนี้แล้วเรานึกถึงประเด็นต่างๆดังต่อไปนี้
1.ชอบตอนจบมากพอสมควร เราชอบมากที่ในที่สุดแล้วตัวละครก็ไม่มีทางออก
และหนังก็ไม่ได้ให้ทางออกใดๆกับตัวละคร หนังไม่ได้ให้ความหวังใดๆกับตัวละครเลย
เราชอบมากที่หนังมันไปสุดทางในด้านนี้ ตัวละครตัวนี้ไม่มีความสุขทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
และไม่สามารถกลับบ้านเก่าที่เขาผูกพันได้
สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่การนึกถึงความสุขในอดีตที่บ้านเก่าเท่านั้น
เราว่าจังหวะการตัดสลับภาพในตอนจบทำออกมาได้ดีด้วย
คือถ้าเราเห็นพระเอกเริงร่าที่ชายหาดอย่างชัดๆในตอนจบ อารมณ์มันอาจจะออกมาดูอี๋ๆได้
การที่เราได้เห็นเพียงแค่ภาพแว่บๆที่ชายหาดทำให้อารมณ์ในฉากนี้มันออกมาดูดี
(ตอนจบของหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงตอนจบของ NOI ALBINOI (2003, Dagur Kári,
Iceland, A+30) ด้วย
มันมีทั้งส่วนที่เหมือนกันและตรงข้ามกันกับตอนจบของ NOI ALBINOI แต่เราชอบตอนจบของทั้งสองเรื่องมากๆเหมือนกันจ้ะ)
2.เราชอบที่หนังแตะประเด็นไฟใต้เพียงเล็กน้อย
และแตะในแง่มุมที่เราอาจไม่เห็นในหนังเรื่องอื่นๆ
ซึ่งได้แก่แง่มุมของคนที่ต้องอพยพย้ายถิ่นเพราะปัญหาไฟใต้
ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆที่เราได้ดูเกี่ยวกับปัญหานี้มักจะเป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับคนในพื้นที่
อย่างเช่น CITIZEN JULING และ BEHIND THE CURTAIN: THE
DAILY LIFE OF WOMEN IN THAILAND’S SOUTHERN BORDER PROVINCES (2013, Rahanee
Daoh) NOSTALGIA อาจจะเป็นหนังเรื่องแรกที่เราได้ดูที่นำเสนอชีวิตตัวละครที่อพยพมาอยู่กรุงเทพเพราะปัญหาไฟใต้
ที่เราบอกว่าเราชอบที่หนังแตะประเด็นไฟใต้แค่เพียงเล็กน้อย
เพราะเราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำหนังการเมืองเกี่ยวกับประเด็นที่ยุ่งยากซับซ้อนแบบนี้ออกมาให้ได้ดีจริงๆ
โดยไม่ลำเอียงน่ะ เราก็เลยรู้สึกว่ามันดีแล้วที่หนังเรื่องนี้เลือกที่จะไม่ทำตัวเป็นหนังการเมือง
แต่เลือกที่จะนำเสนอ “ชีวิตส่วนตัวของเด็กคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบในทางตรงหรือทางอ้อมจากปัญหาไฟใต้”
โดยไม่ต้องไปเน้นประณามว่าใครเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูกในปัญหานี้
หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงหนังการเมืองอีกหลายๆเรื่อง
ที่แสดงให้เห็นว่าชีวิตส่วนตัวของคนแต่ละคน
ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการเมืองไม่มากก็น้อย หรือแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง personal life กับ politics
โดยที่หนังแต่ละเรื่องก็อาจจะเทน้ำหนักต่างกันไป บางเรื่องอาจจะเน้น
“ชีวิตส่วนตัว” มากหน่อย ในขณะที่บางเรื่องอาจจะเน้นไปที่ “การเมือง” มากหน่อย
แต่หนังกลุ่มหลังทำออกมาให้ดีได้ยากกว่าหนังกลุ่มแรก เพราะมันต้องอาศัยความรู้ในปัญหาการเมืองนั้นๆมากพอสมควร
มันถึงจะทำออกมาได้ดีจริง
สรุปว่าเราประทับใจมากๆที่ NOSTALGIA เลือกที่จะเทน้ำหนักไปที่ชีวิตส่วนตัวของตัวละคร
แต่ก็สามารถสะท้อนความเจ็บปวดที่เกิดจากปัญหาไฟใต้ออกมาได้อย่างน่าสะเทือนใจมากๆในขณะเดียวกัน
หนังเรื่องนี้ไม่เลือกที่จะทำในสิ่งที่ยากเกินไป
ซึ่งได้แก่การทำตัวเป็นหนังการเมืองโดยตรง หนังเรื่องนี้เลือกที่จะนำเสนอเพียงแค่ชีวิตตัวละครเพียงไม่กี่ตัว
แต่ก็สามารถทำให้คนดูรับรู้ถึงผลกระทบจากปัญหาการเมืองไปด้วย
3.นอกจาก NOSTALGIA จะไม่ได้ทำตัวเป็นหนังการเมืองโดยตรงแล้ว
เราก็คิดว่า NOSTALGIA อาจจะไม่ได้พยายามทำตัวเป็น “ภาพแทน”
ของคนที่อพยพย้ายถิ่นเพราะปัญหาไฟใต้ด้วย เรามองว่า NOSTALGIA เพียงแค่นำเสนอชีวิตของครอบครัวเพียงครอบครัวเดียวที่อพยพย้ายถิ่นเท่านั้น
โดยที่ครอบครัวนั้นอาจจะไม่ได้เป็น “ภาพแทน” ของคนจำนวนมากที่ต้องอพยพย้ายถิ่นเพราะปัญหาไฟใต้
สาเหตุที่เรามองเช่นนี้ เพราะเรารู้สึกว่าปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนที่เกิดขึ้นกับพระเอกของเรื่องนี้
มันดูเหมือนเป็นเรื่องซวยๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับพระเอกเพียงคนเดียว แต่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กส่วนใหญ่ที่อพยพย้ายถิ่นน่ะ
คือในความเป็นจริงเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเด็กส่วนใหญ่ที่อพยพย้ายถิ่นเจอปัญหาในโรงเรียนใหม่เหมือนกับพระเอกของเรื่องนี้หรือเปล่า
อาจจะมีเด็กหลายคนที่เจอปัญหาเหมือนพระเอกของเรื่องนี้ก็ได้ แต่เรารู้สึกว่าหนังเรื่อง
NOSTALGIA ไม่ทำให้เรารู้สึกว่านี่เป็นปัญหาที่เด็กอพยพส่วนใหญ่ต้องเผชิญ
แต่เป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับพระเอกเพียงคนเดียวเท่านั้น
จุดนี้เราก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันดีหรือไม่ดี
คือถ้าผู้สร้างหนังตั้งใจให้ครอบครัวนี้เป็นภาพสะท้อนปัญหาของผู้อพยพส่วนใหญ่
ผู้สร้างหนังก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในส่วนนี้ เพราะเราไม่รู้สึกว่าหนังมันสะท้อนปัญหาของผู้อพยพส่วนใหญ่
เรารู้สึกว่าพระเอกของเรื่องนี้มันเจอเรื่องซวยๆเยอะเกินกว่าที่คนธรรมดาจะเจอกัน
จนทำให้เรามองว่าพระเอกของเรื่องมันเป็นตัวละครที่เป็นปัจเจก เป็นเรื่องของคนคนนึงที่เจอเรื่องซวยๆมากมาย
รวมทั้งเจอความซวยเพราะปัญหาไฟใต้ด้วย แต่ผู้อพยพคนอื่นๆอาจจะไม่ได้เจอเรื่องซวยๆมากเท่านี้
หรืออาจจะเจอเรื่องซวยๆในแบบที่แตกต่างไปจากพระเอก
แต่ถ้าหากหนังเรื่องนี้ตั้งใจอยู่แล้วที่จะทำให้ตัวละครในเรื่องไม่เป็น
“ภาพแทนของปัญหา” แต่เป็นเพียงแค่ “ตัวละครกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟใต้และปัญหาอื่นๆในชีวิต”
เราก็ว่ามันก็เป็นความตั้งใจที่ถูกต้องนะ
เพราะการจะทำตัวเป็นภาพแทนของปัญหาอะไรสักอย่าง มันเป็นเรื่องที่ยากมาก
และโดยส่วนตัวแล้วเราก็เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมันแตกต่างกันน่ะ เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณนำเสนอชีวิตของตัวละครกลุ่มหนึ่งแล้วบอกว่ามันเป็นภาพแทนของปัญหา
A มันก็จะเกิดคำถามตามมาเสมอว่า
แล้วคนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา A แต่ชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนตัวละครในเรื่องล่ะ
ทำไมชีวิตของพวกเขาถึงไม่ถูกนำเสนอด้วย
สรุปว่า เราค่อนข้างชอบนะ
ที่หนังเรื่องนี้ดูเหมือนเลือกที่จะนำเสนอชีวิตเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง และชีวิตของเด็กคนนั้นก็ทำให้เรารับรู้ถึงปัญหาสังคมอย่างเช่นปัญหาไฟใต้
คือหนังเหมือนเลือกที่จะเน้นนำเสนอชีวิตคนตัวเล็กๆเป็นหลักน่ะ
มากกว่าจะพยายามทำตัวเป็นหนังสะท้อนปัญหาสังคมตรงๆ หรือหนังการเมืองตรงๆ
คือหนังพยายามจะทำตัวเป็น “เรื่องเล็กๆที่อาจจะสะท้อนปัญหาใหญ่ในบางส่วน”
มากกว่าจะทำตัวเป็น “หนังที่พูดถึงปัญหาใหญ่ในสังคม” ไปเลย
เราชอบที่หนังเลือกที่จะทำตัวเล็กๆแบบนี้
4.พูดถึงเรื่อง “ภาพแทน” แล้ว เราอาจจะอธิบายเพิ่มเติมได้ดังนี้
4.1 เราเชื่อว่า “ความรู้สึกคิดถึงบ้านเก่า” ของพระเอก น่าจะเป็นภาพแทนที่ผู้อพยพส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนกัน
หรือเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความรู้สึกของผู้อพยพส่วนใหญ่
4.2 เราเชื่อว่า “ปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียนใหม่” ของพระเอก น่าจะเป็นภาพแทนที่เด็กอพยพส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนกัน
4.3 เรารู้สึกว่า “ปัญหาการถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนใหม่”
ของพระเอก ดูเป็นเรื่องของปัจเจก มากกว่าจะเป็นภาพสะท้อนของปัญหาที่เด็กอพยพส่วนใหญ่ต้องประสบ
4.4 ในส่วนของชีวิตพ่อพระเอกที่ดูเหมือนจะต้องทำงานหนักขึ้นเมื่อมาอยู่กรุงเทพ
ตรงส่วนนี้เราเชื่อว่ามันอาจจะสะท้อนปัญหาของผู้อพยพส่วนใหญ่เพราะเราเชื่อว่าผู้อพยพส่วนใหญ่น่าจะเจอปัญหาในการทำงานเมื่ออพยพย้ายถิ่น
4.5แต่การที่พ่อพระเอกทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรงนั้น
เรารู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเรื่องของปัจเจก มากกว่าเป็นภาพแทนของครอบครัวผู้อพยพ
เพราะเราเชื่อว่าครอบครัวผู้อพยพบางครอบครัวอาจจะเจอปัญหาทะเลาะกันแบบนี้ก็จริง
แต่บางครอบครัวก็อาจจะยังรักใคร่กันดีเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิมก็ได้
ที่เขียนมานี้ไม่ได้จะบอกว่า 4.3 กับ 4.5 เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบนะ
คือถ้าหากหนังเรื่องนี้ตั้งใจอยู่แล้วที่จะไม่พยายามทำตัวเป็นภาพสะท้อนของปัญหาแบบเหมารวม
การนำเสนอชีวิตตัวละครในฐานะปัจเจกก็ไม่ใช่สิ่งผิดแต่อย่างใด และในหนังหลายๆเรื่อง
การนำเสนอชีวิตตัวละครแบบปัจเจกก็เป็นสิ่งที่ดีมากๆด้วยซ้ำ
เพราะมันทำให้ตัวละครในเรื่องเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนปัญหา”
5.โดยส่วนตัวแล้ว เรารู้สึกอินมากๆกับฉากที่พระเอกลุกขึ้นมาชก
เพราะตอนเด็กๆเราก็เคยเจอปัญหาถูกกลั่นแกล้งเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะเราเป็นผู้อพยพ
แต่เป็นเพราะสาเหตุอื่น เราชอบมากที่พระเอกลุกขึ้นมาชกแบบนั้น
คือมันอาจจะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
แต่เราเข้าใจความรู้สึกของพระเอกในฉากนั้นจริงๆ
เราชอบมากที่หนังสะท้อนความรู้สึกของตัวละครแบบนี้ออกมา
(หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์ตอนเด็กๆหลายๆเหตุการณ์
อย่างเช่นตอนป. 6 เราจำได้ว่าเราเคยโกรธเพื่อนผู้ชายคนนึงมากเพราะเรานึกว่าเขากลั่นแกล้งเรา
แต่เราชกต่อยใครไม่เป็น เราก็เลยตอบโต้เขาด้วยการกระโดดกัดคอเขาจนเลือดออก
ไม่รู้ตอนนั้นเราทำไปได้ยังไง ฮ่าๆๆ)
6.เราชอบที่ตัวพระเอกกับเพื่อนสนิทในโรงเรียนไม่แสดงอารมณ์ฟูมฟายจนเกินไปด้วย
เราว่าตัวละครสองตัวนี้แสดงอารมณ์ออกมาในระดับพอดีๆ
จริงๆแล้วเราชอบที่หนังทั้งเรื่องไม่ฟูมฟายจนเกินไปสำหรับเรา
คือเราว่าเนื้อหาของหนังเรื่องนี้มันเปิดโอกาสให้หนังออกมาเป็นเมโลดราม่า
ฟูมฟายได้ง่ายๆเลยนะ แต่โชคดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ตกลงไปในกับดักของความฟูมฟาย
และรักษาโทนอารมณ์ในเรื่องให้อยู่ในระดับพอดีๆได้ในระดับนึง
7.อย่างไรก็ดี
มีฉากนึงในเรื่องนี้ที่ทำให้เรารู้สึกก้ำกึ่งว่าชอบหรือไม่ชอบ
คือฉากที่พระเอกนอนฟังเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันน่ะ
คือเราว่าฉากนี้มันดีในแง่ของการถ่ายทำนะ มันถ่ายทำง่ายดี ไม่ต้องคุมการแสดงของนักแสดงที่เล่นเป็นพ่อกับแม่
ถ้าหากหนังเรื่องนี้แสดงภาพพ่อแม่ทะเลาะกันให้เราเห็นโดยตรง
มันก็เสี่ยงมากๆที่ฉากนั้นจะออกมาเป็นเมโลดราม่าฟูมฟาย
เพราะฉะนั้นการที่เราได้เห็นเพียงแค่ภาพพระเอกนอน และได้ยินเพียงแต่เสียงของพ่อแม่
มันก็ช่วยลดความเป็นเมโลดราม่าลงไปได้ในระดับนึง
แต่เราก็รู้สึกติดขัดกับฉากนี้อยู่ดี
ไม่รู้เหมือนกันว่าควรแก้ไขอะไรยังไงถึงจะรู้สึกไม่ติดขัดกับฉากนี้
เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เราอาจจะชอบฉากนี้มากขึ้นก็ได้
ถ้าหากเราได้เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันโดยตรง
และได้เห็นความเป็นมนุษย์ที่ซับซ้อนของพ่อแม่ในเรื่องนี้
คือถ้าหากเราได้เห็นใบหน้าของพ่อ และเห็นว่าเขารักครอบครัว รักลูกรักเมียจริงๆ
แต่เขาจำเป็นต้องทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาอยู่บ้านเลย การที่เขาไม่มีเวลาให้ลูกให้เมีย
ไม่ใช่เพราะเขาเลว แต่เป็นเพราะเขาไม่มีทางเลือก
และเขาก็รู้สึกผิดที่ไม่มีเวลาให้ลูกให้เมีย การที่เราได้เห็นอารมณ์ที่ซับซ้อนบนใบหน้าของนักแสดงที่เล่นเก่งจริงๆ
อาจจะเป็นสิ่งที่เราต้องการจากฉากนี้ เพราะมันจะทำให้ตัวละครพ่อดูกลมขึ้นและดูเป็นมนุษย์มากขึ้น
แต่ตัวละครพ่อที่เราบรรยายมาในย่อหน้าข้างต้น
อาจจะไม่ตรงกับตัวละครพ่อใน NOSTALGIA นะ
แต่มันเป็นตัวละครพ่อแบบที่เราอยากเห็นมากกว่าน่ะ เราอยากให้ตัวละครประกอบในเรื่องอย่างเช่นตัวละครพ่อมันดูกลมมากกว่านี้
8.เราสงสารตัวพระเอกในเรื่องมากๆ
แต่ในขณะเดียวกันเราก็รู้สึกว่าหนังมันดูจงใจแบบชัดเจนเกินไปหน่อยหรือเปล่าที่จะทำให้คนดูสงสารพระเอก
คือถ้าหนังสามารถทำให้เราสงสารพระเอกได้
โดยปิดซ่อน “ร่องรอยของความจงใจ” ไว้ได้อย่างแนบเนียนกว่านี้ เราก็อาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นไปอีกจ้ะ
สิ่งที่เรารู้สึกว่าหนังมันดูจงใจเกินไปหน่อย ก็มีเช่น
8.1 ดนตรีประกอบ
จริงๆแล้วเราชอบดนตรีประกอบในเรื่องนี้มากในระดับหนึ่งนะ
เราว่ามันออกมาพอดีๆ ไม่ฟูมฟายหรือเร้าอารมณ์เกินไป แต่มันก็ยังทำให้เรารู้สึกว่าเราถูกชี้นำอารมณ์อยู่ดี
สรุปว่าเราว่าดนตรีประกอบในเรื่องนี้ดีแล้ว แต่เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
ถ้าลดดนตรีประกอบลงไปอีก เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นก็ได้
8.2 ตัวละครประกอบ
ตัวละครประกอบบางตัวในเรื่องเหมือนถูกสร้างขึ้นเพื่อมี function เดียว คือทำร้ายพระเอกเพื่อทำให้คนดูสงสารพระเอกน่ะ
ทั้งตัวละครเจ้าของหอพักที่คิดเงินเพิ่ม, แก๊งเด็กอันธพาลในโรงเรียน และพ่อพระเอก
แต่ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะในการทำให้ตัวละครเหล่านี้ดู “ไม่จงใจทำให้คนดูสงสารพระเอก”
น่ะ ถ้าเราเป็นผู้สร้างหนังเรื่องนี้ เราก็อาจจะแก้ปัญหาแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน
การแก้ปัญหาแบบนี้เป็นเรื่องยากพอสมควร
วิธีหนึ่งที่อาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้นิดหน่อย
คือการทำให้ตัวละครพวกนี้ดูกลมมากขึ้น หรือดูเป็นมนุษย์มากขึ้น
เพื่อที่คนดูจะได้รู้สึกว่าตัวละครเหล่านี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อ force อารมณ์คนดูไปในทิศทางเดียวเท่านั้น
แต่การจะทำให้ตัวละครประกอบเหล่านี้ดูกลมขึ้น หนังมันก็จะยาวมากขึ้น
เพราะฉะนั้นวิธีนี้อาจจะไม่เหมาะเสมอไป
วิธีทำให้ตัวละครดูกลมขึ้น ก็อาจจะมีเช่น
ตัวละครเจ้าของหอพักชอบทำบุญตักบาตรทุกเช้า (แต่เป็นคนหน้าเลือดกับคนในหอพัก)
หรือแก๊งเด็กอันธพาลที่ชอบแกล้งพระเอกจริงๆแล้วเป็นพวกที่อยู่ชมรมอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ในกรุงเทพ
หรือแต่ละคนในแก๊งมีระดับความสนุกที่ได้แกล้งพระเอกแตกต่างกันไป
บางคนในกลุ่มอาจจะรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ได้แกล้งพระเอก คือการใส่รายละเอียดพวกนี้เข้ามามันอาจจะทำให้ตัวละครพวกนี้ดูเป็นมนุษย์ที่มีหลายด้านอยู่ในตัว
แทนที่จะเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อทำให้คนดูสงสารพระเอก อย่างไรก็ดี
การทำให้ตัวละครกลมก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน เพราะถ้าทำไม่ดี
นักวิจารณ์บางคนก็จะตำหนิว่า “หนังเรื่องนี้มันดูจงใจ๊ จงใจทำให้ตัวละครกลม”
ได้เหมือนกัน
9.อีกสิ่งที่เรารู้สึกก้ำกึ่งในหนังเรื่องนี้ ก็คือหนังเลือกที่จะนำเสนอเนื้อเรื่องผ่านทางอารมณ์ความรู้สึกของพระเอกเป็นหลัก
คือหนังทั้งเรื่องเหมือนมองผ่านสายตาของพระเอกน่ะ
เราว่าหนังนำเสนอจุดนี้ได้ดีพอสมควรนะ
หนังทำให้เราเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพระเอกจริงๆ
แต่ในแง่นึง เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
การเล่าเรื่องผ่านมุมมองของพระเอกแบบนี้
เป็นอีกปัจจัยนึงที่ทำให้เรารู้สึกว่าหนังจงใจเกินไปในการทำให้เราสงสารพระเอกหรือเปล่า
บางทีเราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นก็ได้
ถ้าหากหนังถอยห่างออกมาจากตัวพระเอก และนำเสนอเหตุการณ์ต่างๆแบบ objectively มากขึ้น
หรือนำเสนอเหตุการณ์ต่างๆด้วยสายตาเย็นชามากขึ้น แทนที่จะนำเสนอฉากต่างๆด้วยอารมณ์สงสารเห็นอกเห็นใจพระเอกอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้
แต่อันนี้เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ คือถ้าหากหนังทำแบบเย็นชาออกมาจริงๆ
เราอาจจะชอบน้อยลงก็ได้ มันไม่แน่เหมือนกัน
มันขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้กำกับแต่ละคนด้วย ว่าคนไหนทำหนังในโทนแบบไหนออกมาได้ดี
10.ถ้าหากเราจะฉาย NOSTALGIA ควบกับหนังเรื่องไหน
เราก็อยากฉายควบกับหนังสองเรื่องนี้จ้ะ
10.1 THE SOUND AND THE FURY (1987, Jean-Claude Brisseau, A+30)
หนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตบัดซบของเด็กชายคนหนึ่งเหมือนกัน
หนังทำออกมาได้ทรงพลังมากๆ ทั้งในส่วนของโลกจินตนาการของพระเอก
และในส่วนของสภาพสังคมที่เลวร้าย ทั้งในตึกที่พักของพระเอก, ย่านที่อยู่อาศัย
และโรงเรียน หนังเรื่องนี้อาจจะแตกต่างจาก NOSTALGIA ในแง่ที่ว่า ในขณะที่ NOSTALGIA
ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตพระเอกเลวร้าย THE SOUND AND THE FURY
ทำให้เรารู้สึกว่า “สังคมมันเลวร้าย”
10.2 MOUCHETTE
(1966, Robert Bresson, A+30)
หนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตบัดซบของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
หนังค่อนข้างเย็นชาตามแบบฉบับ Robert Bresson
แต่นี่แหละคือสิ่งที่เราชอบมากๆในหนัง คือขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้
เราไม่ได้รู้สึกเพียงแค่ว่า “ชีวิตนางเอกน่าสงสารจังเลย” แต่เรารู้สึกว่า “สังคมมันโหดร้าย
โลกมันโหดร้าย จักรวาลนี้มันโหดร้าย” น่ะ
เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้มันก็เลยกระทบจิตใจเราอย่างรุนแรงมากๆ
สรุปว่าเราชอบ NOSTALGIA มากในระดับ A+ เราชอบชีวิตบัดซบของพระเอกที่ไม่มีทางออก เราชอบตอนจบของเรื่อง
เราชอบที่หนังคุมอารมณ์ได้ดีในระดับหนึ่ง และไม่ฟูมฟายเกินไปสำหรับเรา
แต่โดยส่วนตัวแล้ว
เราสงสัยว่าถ้าหากหนังเลือกที่จะนำเสนอออกมาด้วยสายตาเย็นชากว่านี้ แบบหนังเรื่อง MOUCHETTE
เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นก็ได้จ้ะ
No comments:
Post a Comment