PLAYGROUND (2013, Disspong Sampattavanich, 8min, A+5)
You can watch this film here. It has English subtitles:
SPOILERS ALERT
ห้ามอ่านข้างล่างนี้ ถ้าหากยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้นะจ๊ะ
หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องต่างๆดังต่อไปนี้
1.ขอกราบตีนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ บทภาพยนตร์เรื่องนี้สุดยอดมาก
แน่นมากๆ ดีมากๆ สิ่งหนึ่งที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือมันหักมุมเราถึง 2 ครั้ง
ซึ่งเป็นการหักมุมในแบบที่เราคิดไม่ถึงทั้ง 2 ครั้ง
ตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้รอบแรก เราไม่รู้มาก่อนว่าหนังเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไร
ตอนแรกเราก็เลยนึกว่ามันเป็นหนังเด็กๆน่ารักธรรมดาๆ
แต่พอกลางเรื่องมันก็หักมุมกลายเป็นหนังสยองขวัญเฉยเลย (ฉากที่ตัวละครเจอสิ่งนั้นในรถมันให้อารมณ์แบบเดียวกับหนังสยองขวัญ)
และพอมันเป็นหนังสยองขวัญไปได้แป๊บนึง มันก็หักมุมกลายเป็นหนังโศกนาฏกรรม
2.นอกจากการหักมุมที่เราชอบมากๆแล้ว บทหนังเรื่องนี้ยังสอดแทรกสาระหรือรายละเอียดเล็กน้อยๆเข้าไปในบทได้ดีมากๆด้วย
บทสนทนาของตัวละครในเรื่องนี้ ฟังเผินๆเหมือนเด็กคุยกันธรรมดาๆ
แต่จริงๆแล้วมันแอบใบ้ว่าพ่อของเด็กๆนิสัยเป็นยังไง,
พวกหนุ่มๆที่ขับรถเร็วนิสัยเป็นยังไง, อะไรคือสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในขณะขับรถ
คือเราดูแล้วแบบว่า บทสนทนาของตัวละครในเรื่องนี้มันละเอียดจริงๆ คือมันฟังดูเหมือนเป็นบทสนทนาที่ไม่มีความสำคัญ
แต่จริงๆแล้วแทบทุกประโยคมีความสำคัญหมด
3.ปกติเราจะไม่ถูกโฉลกกับ “หนังโครงการ”
เพราะหนังโครงการส่วนใหญ่มักจะเป็นหนังเชิดชูศีลธรรมอัดกระป๋องสำเร็จรูป,
มีท่าทีสั่งสอนผู้ชม, ฟูมฟาย, เร้าอารมณ์เกินเหตุ แต่หนังเรื่องนี้แทบไม่มีข้อเสียแบบนี้อยู่เลย
เราชอบมากที่หนังเรื่องนี้สอดแทรกสาระเรื่องวิธีการใช้รถใช้ถนนอย่างถูกต้องเข้าไปในเรื่องได้อย่างเนียนมากๆ
โดยไม่ทำให้เรารู้สึกเลยว่าเรากำลังถูกสั่งสอนหรือถูกยัดเยียด เรามองว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังโครงการที่ทั้งตอบโจทย์ของโครงการได้อย่างสมบูรณ์
และเป็นหนึ่งในหนังโครงการของไทยที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยดูมา
4.ชอบที่หนังเรื่องนี้เปิดพื้นที่จินตนาการให้กับผู้ชมด้วย
ซึ่งเราไม่รู้ว่าหนังตั้งใจหรือเปล่า แต่เราชอบตรงจุดนี้มากๆ คือเราชอบที่เด็กๆเจอ
“สิ่งนั้น” ในรถน่ะ แล้วหนังก็ไม่ได้แฟลชแบ็คหรืออะไรทั้งสิ้นว่า “เจ้าของของสิ่งนั้น”
เคยมีชีวิตอะไรยังไง หรือเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เจ้าของของสิ่งนั้นสูญเสียสิ่งนั้นไป
คือหนังเรื่องอื่นอาจจะมีแฟลชแบ็คให้เห็นชัดๆ แต่พอหนังเรื่องนี้ไม่มีแฟลชแบ็ค
เราคนดูก็เลยจินตนาการฉากแฟลชแบ็คขึ้นมาในหัวเองเลย
แล้วพอเราจินตนาการขึ้นมาในหัวเอง เราก็เลยรู้สึกเศร้ามากๆกับฉากในจินตนาการของเราเอง
เราจินตนาการถึงชายหนุ่มที่เพิ่งขอหญิงสาวแต่งงาน และหญิงสาวก็ตอบตกลง
หนุ่มสาวคู่นี้กำลังมีความสุขในชีวิตอย่างมากๆ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น
แล้วเราก็จินตนาการถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุนั้น
คือหนังเรื่องนี้ไม่ต้องลงทุนสร้างฉากแฟลชแบ็คอะไรเลย แต่ใช้เพียงแค่สิ่งของ
2-3 สิ่งในรถ เราคนดูก็จินตนาการเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้เองแล้ว
และมันก็เป็นเรื่องที่เศร้ามากๆด้วย
5.นิทานลูกหมู 3 ตัวที่เอามาใช้ก็น่าสนใจดี
ตอนแรกเรารู้สึกว่ามันตลกๆที่ตัวละครมานั่งเล่านิทานเรื่องนี้ให้เด็กๆ 3 คนฟัง
แต่พอคิดไปคิดมา เอ๊ะ นิทานเรื่องนี้มันสอนเรื่องความไม่ประมาทหรือเปล่า เพราะฉะนั้นมันก็เข้ากับธีมของหนังเหมือนกัน
และมันทำให้เราเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของเราได้มากขึ้นด้วย
เพราะเราเป็นคนที่ไม่มีรถยนต์น่ะ
เพราะฉะนั้นประเด็นเรื่องสิ่งที่ไม่ควรทำในขณะขับรถ
จึงเป็นประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง แต่ถ้าเป็นประเด็นเรื่อง “ความไม่ประมาท”
ซึ่งมันกว้างกว่าประเด็นเรื่องการขับรถ
มันก็อาจจะเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกับเรามากกว่า
6.ฉากช่วงท้ายของเรื่องที่เป็นตัวละครมาเล่านิทาน
เรารู้สึกค่อนข้างก้ำกึ่งนะว่าเราชอบหรือไม่ชอบ
คือในแง่นึงเราก็รู้สึกยอมรับฉากนี้ได้ และคิดว่ามันเป็นไปได้จริงที่จะมีคนทำอะไรแบบนี้จริงๆ
หรือมีคนที่ฟูมฟายแบบนี้จริงๆ แต่ในอีกแง่นึงเราก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของตัวละครในฉากนี้มันฟูมฟายไปหน่อยสำหรับเรา
คือเนื้อหาในฉากนี้มันอาจจะเป็นไปได้จริงก็จริง
แต่เราก็รู้สึกกึ๋ยๆยังไงไม่รู้กับน้ำเสียงแบบนี้หรือการกระทำของตัวละครตัวนี้
7.เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆๆๆๆๆ
แต่อาจจะยังไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆในตอนนี้ ด้วยสาเหตุหลักที่ว่ามันไม่ได้มีอะไรกระแทกใจเราเป็นการส่วนตัวน่ะจ้ะ
แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของหนังแต่อย่างใดนะจ๊ะ
มันเป็นเพียงเพราะว่าชีวิตเราอาจจะไม่ได้มีอะไรเชื่อมโยงอย่างตรงๆกับตัวโครงการของกรมการขนส่งทางบกและเนื้อหาในหนังเรื่องนี้เท่านั้นเอง
สรุปว่า เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เราคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังโครงการที่ดีมาก
ตอบโจทย์ของโครงการได้อย่างสมบูรณ์ และด้วยวิธีการที่ดีมาก หนังมีความลงตัวมากๆ และไปไกลกว่าหนังโครงการหลายๆเรื่องของไทยที่เราเคยดูมา
และสิ่งที่เราชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือบทภาพยนตร์จ้ะ
No comments:
Post a Comment