1.CAUGHT IN THE NET (CHAT ET SOURIS) (2009, Jean-Luc Moreau,
France, video recording of a stage play, A+25)
2.WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? (2013, Arvin Chen, Taiwan, A+20)
3. SHAADI KE SIDE EFFECTS (2014, Saket Chaudhary, India, A+15)
ขอบันทึกความรู้สึกที่มีต่อหนัง 3 เรื่องนี้รวมกันไปเลย 555
เพราะเราดูหนัง 3 เรื่องนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน และหนัง 3 เรื่องนี้มีจุดคล้ายกันดังต่อไปนี้
1.conflict หลักของหนังทั้ง 3 เรื่องคือ “การโกหกของสามี”
2.หนังทั้ง 3 เรื่องพูดถึงประเด็นเรื่องครอบครัวเหมือนๆกัน
3.หนังทั้ง 3 เรื่องพูดถึงประเด็นเรื่อง “ความรับผิดชอบที่มีต่อลูก”
เหมือนๆกัน โดยที่ SHAADI KE SIDE EFFECTS จะเน้นประเด็นนี้มากที่สุด
SPOILERS ALERT
หนัง 3 เรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงสิ่งต่างๆดังต่อไปนี้
1.ถ้าหากวัดจากความรู้สึกในขณะนี้ เราชอบ CAUGHT IN THE NET มากที่สุด
ทั้งๆที่หนังเรื่องนี้มีความเป็นมนุษย์น้อยที่สุด คือหนัง (หรือละครเวที)
เรื่องนี้มันเน้นตลกอย่างเดียวน่ะ มันเล่าเรื่องของผู้ชายที่มีเมียสองคน
และมีลูกกับเมียทั้งสองคน แต่แอบปกปิดไม่ให้เมียแต่ละคนรู้ความจริง
เมียแต่ละคนก็เลยนึกว่าตัวเองเป็นเมียหลวง
และลูกทั้งสองคนต่างก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีพี่น้องอยู่บนโลกนี้ด้วย
ลูกคนนึงเป็นผู้หญิง ส่วนอีกคนเป็นผู้ชาย แล้วก็มาปิ๊งกัน ทางฝ่ายพ่อก็เลยต้องกุเรื่องโกหกอย่างอลหม่านเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ลูกทั้งสองคนของตัวเองมาเย็ดกัน
และสกัดกั้นไม่ให้เมียทั้งสองคนของตัวเองรู้ความจริง
แต่ตัวละครพระเอกของเรื่องไม่ใช่ตัวพ่อนะ
แต่เป็นเพื่อนผู้ชายคนนึงของพ่อที่ต้องมาช่วยพ่อโกหก หนังเรื่องนี้ยิงมุกตลกทุกๆ 5
วินาที และมันแม่นยำมากๆในการยิงมุกตลก มันเอาจริงเอาจังกับการคิดมุกตลก
คิดสถานการณ์ฉิบหายมากๆ คือถึงแม้หนังเรื่องนี้มันไม่ได้ลงลึกในความเป็นมนุษย์เลย
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหนังอีกสองเรื่องในลิสท์นี้ แต่เราก็ให้อภัยมันในจุดนี้ได้
เพราะการคิดสถานการณ์ฉิบหายๆทุกๆ 5
วินาทีแบบนี้เป็นเรื่องที่ยากมากๆในความเห็นของเรา
คือเรารู้สึกว่าคนเขียนบทละครเวทีเรื่องนี้, นักแสดง, ผู้กำกับละครเวทีเรื่องนี้เอาจริงเอาจังกับการทำงานมากๆน่ะ
เราก็เลยชอบหนัง/ละครเวทีเรื่องนี้มากๆ ทั้งๆที่มันอาจจะไร้สาระที่สุด
หรือมองมนุษย์อย่างผิวเผินหรือฉาบฉวยที่สุดเมื่อเทียบกับหนังอีกสองเรื่อง
แต่สาเหตุที่เราไม่ได้ให้ A+30 กับ CAUGHT IN THE NET
เป็นเพราะว่าการหักมุมช่วงท้ายเรื่องมันเลวร้ายมากในความเห็นของเรา
เราก็เลยให้เกรดหนังเรื่องนี้แค่ A+25 เท่านั้น
อีกปัจจัยนึงที่ทำให้ชอบ CAUGHT IN THE NET มากๆเมื่อเทียบกับหนังอีกสองเรื่องในลิสท์
อาจจะเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้มันมีทัศนคติเปิดกว้างที่สุดต่อประเด็นเรื่อง “การที่ภรรยานอกใจไปมีชายชู้”
ด้วย คือเราเป็นคนที่สนใจประเด็นนี้น่ะ เรารู้สึกว่าหนังหลายๆเรื่องพร้อมจะให้อภัย
“สามีที่นอกใจภรรยา” แต่มีหนังกี่เรื่องบ้างที่พร้อมจะให้อภัย “ภรรยาที่นอกใจสามีด้วยการไปมีชู้และมีลูกกับชายชู้”
ถ้าหากตัดสินกันจากประเด็นนี้แล้ว CAUGHT IN THE NET ก็เป็นหนังที่เข้าข้าง
“ภรรยากับชายชู้” มากที่สุดเมื่อเทียบกับหนังอีกสองเรื่อง
เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้ในจุดนี้มากๆ ในขณะที่ตัวละครหญิงสองคนใน WILL YOU
STILL LOVE ME TOMORROW? ไม่ได้ไปไกลถึงขั้นคบชู้ ส่วน
SHAADI KE SIDE EFFECTS นั้นก็พูดถึงประเด็นเรื่อง “ภรรยาไปมีลูกกับชายชู้”
เหมือนกัน แต่มันไปไม่สุดเท่า CAUGHT IN THE NET เราก็เลยชอบหนังอินเดียเรื่องนี้แค่ในระดับ
A+15 เท่านั้น เราว่าถ้าหาก SHAADI KE SIDE EFFECTS ผลักประเด็นนี้ไปให้สุดจริงๆ เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30
ก็ได้
2.จุดที่เราชอบที่สุดใน WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? ก็คือการตัดสินใจของนางเอกในตอนจบน่ะ
มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในความเห็นของเรา
คือถ้านางเอกตัดสินใจอีกแบบนึง เกรดของหนังเรื่องนี้ก็อาจจะลดจาก A+20 ลงเหลือ A+ เฉยๆในทันที 55555
3.เราชอบการแต่งชุดเป็นสาว office ของนางเอกและน้องสาวพระเอกใน
WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? ด้วย
เราไม่รู้เหมือนกันว่ามันสะท้อนอะไร แต่สำหรับเราแล้ว มันทำให้เรารู้สึกได้ถึงความน่าเบื่อในชีวิตประจำวันของตัวละครหญิงทั้งสองคน
การต้องแต่งเครื่องแบบแบบนี้ไปทำงานทุกวัน
มันอาจจะเป็นปัจจัยนึงก็ได้ที่ทำให้ทั้งสองไม่มีความสุขกับชีวิตเท่าที่ควร
ชีวิตที่กลายเป็น routine และต้องนั่งทำงานใน office ไปเรื่อยๆ เลี้ยงลูกไปเรื่อยๆ ดูแลสามีไปเรื่อยๆจนกว่าจะปลดเกษียณ
4.ตัวละครน้องสาวพระเอกใน WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? ทำให้เรานึกถึงนางเอกในหนังเรื่อง
FOR SALE (1998, Laetitia Masson, A+30) ที่หนีการแต่งงานไปเรื่อยๆ
แต่การเปรียบเทียบกับ FOR SALE ทำให้ตัวละครน้องสาวพระเอกในหนังไต้หวันกลายเป็นอีสาวหน่อมแน้ม
อีสาวกระจอกไปในทันที 55555 คือถ้าหากตัวละครน้องสาวพระเอกใน WILL YOU
STILL LOVE ME TOMORROW? ทำแบบตัวละครนางเอกใน FOR SALE เกรดที่เราให้กับ WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? มันจะพุ่งพรวดขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน
ถ้าหากเปรียบเทียบตัวละครหญิงสองตัวนี้ด้วยกันแล้ว เรารู้สึกว่าตัวละครน้องสาวพระเอกใน
WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? เป็น “มนุษย์ที่เราสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก”
น่ะ แต่ตัวละครนางเอกใน FOR SALE นี่เป็นตัวละครประเภทที่ทำให้เราหันมาตั้งคำถามกับการมีชีวิตอยู่ของตัวเราเอง
มันเป็นตัวละครที่กระตุ้นให้เราตั้งคำถามเชิงปรัชญาบางอย่างกับชีวิตเราเอง
เราก็เลยชอบตัวละครแบบนี้สุดๆ และมันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครใน FOR
SALE มันเหนือชั้นกว่าตัวละครใน WILL YOU STILL LOVE ME
TOMORROW? มากพอสมควร
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวละครในหนังไต้หวันเรื่องนี้เลวร้ายนะ
เราว่ามันเป็นตัวละครที่สร้างขึ้นมาได้ดีมากๆแล้ว
เพียงแต่ว่าเราเอามันไปเทียบกับตัวละครที่มันไปสุดๆจริงๆเท่านั้นเอง
5.เนื้อหาใน WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? ทำให้เรานึกถึงนิยายเรื่อง
“ประตูที่ปิดตาย” ของกฤษณา อโศกสินอย่างมากๆ
ซึ่งมันเป็นนิยายเกย์ที่เขียนขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่ามัน irony
ดีในแง่ที่ว่า
5.1 นั่นแสดงว่าสภาพสังคม gay in the closet ในไต้หวันในปัจจุบัน
เหมือนกับสังคมเกย์ไทยแบบปกปิดเมื่อหลายสิบปีก่อนอย่างนั้นหรือ
5.2 แต่ทำไม “ประตูที่ปิดตาย”
ถึงไม่เคยถูกสร้างเป็นหนังหรือละครทีวีเลย
ทั้งๆที่มันถูกเขียนขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว นั่นหมายความว่า ถึงแม้สังคมเกย์ไทยจะพัฒนาไปไกลมาก
แต่วงการหนังและวงการละครทีวีของไทย กลับยังล้าหลัง และยังไม่พร้อมสำหรับนิยายที่เขียนขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนอย่าง
“ประตูที่ปิดตาย” หรือเปล่า
6.ช่วงนี้ได้ดูหนังเกย์หลายเรื่อง เราว่า WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? นำเสนอเกย์ออกมาได้ดีกว่า MY BROMANCE และ LOVE
IS COMING แต่เราอินกับ MY BROMANCE มากที่สุด
เพราะเราไม่มีประสบการณ์ร่วมกับตัวละครพระเอกของ WILL YOU STILL LOVE ME
TOMORROW? น่ะ เราไม่เคยปกปิดตัวเองแบบนั้น แต่ที่เราอินกับ MY
BROMANCE มากที่สุด สาเหตุส่วนนึงเป็นเพราะว่า ตอนที่เรายังเด็กๆ
เราเคยแอบหลงรักลูกพี่ลูกน้องหนุ่มหล่อคนนึงของเรา และ MY BROMANCE ก็สะท้อนจินตนาการทางเพศของเราในตอนนั้นออกมาได้ตรงมากๆ
7. WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW?, MY BROMANCE และ LOVE
IS COMING ทำให้เรารู้สึกขำในแง่ที่ว่า หนังทั้ง 3
เรื่องนี้มันจงใจอย่างเห็นได้ชัดในการหลีกเลี่ยง “ฉากเซ็กส์ของเกย์”
ซึ่งมันก็ไม่ผิดแต่อย่างใดนะ เพราะฉากเซ็กส์อาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นในหนัง 3
เรื่องนี้ก็ได้ แต่มันก็ทำให้เราชอบ BLUE IS THE WARMEST COLOR มากยิ่งขึ้นที่หันมาเน้นในจุดที่หนังเรื่องอื่นๆหลีกเลี่ยงไป
8.อีกประเด็นที่ชอบมากใน WILL YOU STILL LOVE ME TOMORROW? คือเรื่องความไม่เสถียรของความรักน่ะ
ตัวละครในหนังอาจจะรักกันในวันนึง หรือปรารถนาดีต่อกันในวันนึง
แต่มันไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า อีก 10 ปีข้างหน้าทุกอย่างจะไม่จืดจางลงไป
และหนังก็ไม่ได้เทิดทูนว่าความรักจะชนะทุกสิ่ง แต่ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ในจุดนี้
เราก็เลยชอบหนังในแง่นี้มากๆ และมันทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง BLUE VALENTINE
(2010, Derek Cianfrance) และ WE WILL NOT GROW OLD TOGETHER
(1972, Maurice Pialat) ด้วย
9.ส่วน SHAADI KE SIDE EFFECTS นั้น จุดที่เราชอบที่สุดในหนังคือการที่หนังแสดงให้เห็นว่า
ไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางไหนในชีวิต มันก็ไม่มีเส้นทางที่ดีสมบูรณ์แบบน่ะ
แต่ละเส้นทางมันก็มีข้อเสียของมันเอง หรือ side effects ของมันเองด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าพระเอกจะเลือกเส้นทางไหนในชีวิต ก็หนีความทุกข์ไปไม่พ้น ทุกเส้นทางที่นำเราออกจากปัญหานึง
ก็ล้วนนำเราไปสู่ปัญหาใหม่หรือความทุกข์ใหม่ด้วยกันทั้งนั้น เรารู้สึกว่ามันเหมือนกับการกินยา
ที่ยาแต่ละตัว อาจจะช่วยเรารักษาโรคได้ก็จริง แต่ยาแต่ละตัวก็มี side
effects ของมันด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สาเหตุที่เราชอบ SHAADI KE SIDE EFFECTS เพียงแค่ A+15
อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ดูอนุรักษ์นิยมมากที่สุดถ้าหากเทียบกับหนังอีกสองเรื่องในลิสท์นี้
มันเป็นหนังที่ยังเชื่อมั่นและศรัทธาใน “ชีวิตสมรส” และ “การมีลูก” น่ะ ในขณะที่ WILL
YOU STILL LOVE ME TOMORROW? มันไม่ได้ศรัทธาในเรื่องนี้มากเท่ากับ SHAADI
KE SIDE EFFECTS
No comments:
Post a Comment