Jill Godmilow wrote about THE ACT OF KILLING here:
อ่านสิ่งที่ Jill Godmilow เขียนถึง THE ACT OF KILLING แล้วก็น่าสนใจดีนะ แต่เราก็ยังชอบ THE ACT OF KILLING มากๆเหมือนเดิมแหละ คือเรารู้สึกว่า Jill Godmilow ตั้งกฎเกณฑ์นั่นนี่ขึ้นมาเองว่าหนังสารคดีที่ดีต้องเป็นยังไงบ้าง
แต่เราไม่เห็นความจำเป็นที่ใครก็ตามจะต้องไปทำหนังตามกฎที่มึงตั้งขึ้นมา 555
คือถ้าหนังเรื่องไหนจะทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ Jill Godmilow พยายามพร่ำสอนในบทความนี้ มันก็ไม่ผิดอะไรในความเห็นของเรา หรือเป็นความผิดแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นในความเห็นของเรา
แต่มันอาจจะผิดศีลธรรม, จรรยาบรรณ, หลักการแห่งความดีงามในสายตาของคนอื่นๆ
มันก็เป็นสิทธิของคนอื่นๆที่จะตัดสินด้วยตัวเองแหละว่ามันผิดมากน้อยแค่ไหนในสายตาของแต่ละคน
สรุปว่า เรารู้สึกว่า THE ACT OF KILLING ทำผิดกฎที่ Jill
ตั้ง แต่ไม่ได้ทำผิดกฎที่ Jit ตั้ง (เราไม่เคยตั้งกฎแต่อย่างใดว่า
หนังที่ดีจะต้อง educate คนดู, จริงใจกับผู้ให้สัมภาษณ์,
ทำให้คนเลวสำนึกตัว, ต้องให้ข้อมูลทุกอย่างเพราะผู้ชมคงไม่มีปัญญาไปหาข้อมูลเองได้,
etc.)
แต่เราก็ไม่ได้ให้ THE ACT OF KILLING ติดอันดับหนึ่งหนังสารคดีของเราในปีที่แล้วนะ
เราให้ติดแค่อันดับ 5 สาเหตุสำคัญเป็นเพราะว่าเราอ่านบทความเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มาเยอะก่อนจะได้ดูจริงๆน่ะ
แล้วพอได้ดูจริงๆ เราก็พบว่ามันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่เราได้จินตนาการไปแล้วเรียบร้อยจากการอ่านบทความเหล่านั้น
กรณี controversial นี้ทำให้นึกถึงงานวิดีโอของอารยา
ราษฎร์จำเริญสุขที่สัมภาษณ์หญิงบ้า 11 คน แล้วมีคนตั้งคำถามในเชิงที่ว่า
หญิงบ้าเหล่านั้น “รู้ตัว” มากน้อยแค่ไหนว่าบทสัมภาษณ์ของตัวเองจะถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชน
มันเป็นการ exploit subject ที่ตัวเองถ่ายหรือเปล่า
ซึ่งในความเห็นของเรานั้น
เราไม่ได้มองว่าประเด็นนี้ทำให้ความชอบของเราที่มีต่องานวิดีโอชิ้นนี้ลดลงแต่อย่างใด
เพราะเราไม่ได้ mind ตรงจุดนี้ (ในงานวิดีโอนี้
เราจะไม่รู้ชื่อของหญิงบ้า และหน้าของหญิงบ้าก็จะถูกทำให้เบลอจนมองไม่เห็นว่าเป็นใคร
นอกจากนี้ งานวิดีโอนี้ไม่ได้ทำให้เรามองคนบ้าในแง่ดูถูกด้วย
แต่ทำให้เรามองว่าคนบ้าหลายๆคนจริงๆแล้วมีส่วนคล้ายกับตัวเราเอง)
เรานึกถึงคำพูดของฟิล์มซิคด้วยที่ว่า ผู้กำกับบางคนจะทำหนังดีได้
ต้องใจร้ายพอสมควรกับ subject ที่ตัวเองถ่าย
อย่างเช่นบางคนถ่ายคนพิการคลานตามถนน ก็ถ่ายไปเลย โดยไม่เข้าไปช่วยคนพิการคนนั้น
แต่ผู้กำกับบางคนใจดีเกินไป พอเห็น subject ที่ตัวเองถ่ายเกิดความลำบาก
ก็เข้าไปช่วยเหลือ
ผลก็คือว่าหนังของผู้กำกับคนนั้นก็เลยออกมาไม่มีพลังมากเท่าที่ควร
No comments:
Post a Comment