Tuesday, July 19, 2016

Films seen for the first time in Filmvirus Wildtype 2016

Films seen for the first time in Filmvirus Wildtype 2016

1.BLACKBIRD (2016, Nattawoot Nimitchaikosol, A+30)
BLACKBIRD (ณัฐวุฒิ นิมิตชัยโกศล, A+30)
รู้สึกว่าณัฐวุฒิมีความละเอียดอ่อนมากๆในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร เราว่าเขาจับความรู้สึกของตัวละครได้ในทุกๆวินาทีและถ่ายทอดมันออกมาได้

ประเด็นของหนังก็ถูกใจเรามากๆด้วย ในแง่หนึ่งมันทำให้นึกถึงหนังเรื่อง THE REUNION (2013, Anna Odell, Sweden, A+30) เกี่ยวกับหญิงสาวที่ผูกใจเจ็บกับเพื่อนเก่าในโรงเรียนมัธยม เพียงแต่ว่านางเอกของ BLACKBIRD ไม่ได้ต้องการจะแก้แค้น เธอเพียงแค่ต้องการจะถอยห่างเมื่อเพื่อนโรงเรียนเก่าพยายามจะเข้าใกล้ และเราเข้าใจความรู้สึกนี้ดี บางทีมันคล้ายๆกับการ “forgive but not forget” น่ะ ซึ่งมันคือสิ่งที่เราต้องทำกับมนุษย์หลายๆคนบนโลกใบนี้ นั่นก็คือเราจะไม่ไปแก้แค้นเขา ถึงแม้เขาเคยทำเลวกับเราไว้ แต่เราจะไม่ลืมว่าใครนิสัยเป็นอะไรยังไง เพื่อที่เราจะได้รู้ว่า กับคนนิสัยแบบนี้ เราควรทำตัวยังไง ควรอยู่ใกล้ไกลจากเขามากน้อยแค่ไหน

หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องที่ 4 ของณัฐวุฒิที่จะติดอันดับประจำปีของเราอย่างแน่นอน หลังจาก “ประมวลภาพและเสียงแห่งความผิดหวัง” และ “เสี้ยวหนึ่งของความเป็นไปได้ทั้งหมดในการให้ แต่จะรับหรือไม่รับก็แล้วแต่พิจารณา” ติดอันดับประจำปี 2014 ของเรา และ “พบกันใหม่โอกาสหน้า” ติดอันดับประจำปี 2015 ของเราไปแล้ว

2.TO MAKE A SHORT FILM (2016, Akkaphol Satum, A+30)
สร้างหนังสั้น (อรรคพล สาตุ้ม, A+30)
อรรคพล สาตุ้มกลายเป็นผู้กำกับในดวงใจของเราไปแล้ว หลังจากภาพยนตร์เรื่อง “บ้านของผม” (2015) ของเขาทำให้เราช็อคหัวใจวายคาโรงฉายหนังไปในปีที่แล้ว

“สร้างหนังสั้นเป็นหนังน่ารักๆ เกี่ยวกับกลุ่มเด็กหญิงตัวน้อยๆที่พยายามสร้างหนังสั้นเพื่อช่วยเหลือคนไม่ให้ฆ่าตัวตาย หนังคล้ายกับเป็นสารคดีในบางช่วง แต่พอเนื้อเรื่องดำเนินไปได้ราวครึ่งเรื่อง เราถึงเพิ่งตระหนักว่า “การฆ่าตัวตาย” ที่กลุ่มเด็กหญิงตัวน้อยๆในหนังเรื่องนี้พูดถึง คือการฆ่าตัวตายของคุณนวมทอง ไพรวัลย์!!!!!!!!!

ในแง่หนึ่ง “สร้างหนังสั้น” มันทำให้เรานึกถึงหนังโป๊ที่แทรกอยู่ในหนังเรื่อง THE NICE GUYS (2016, Shane Black) น่ะ นั่นก็คือหนังที่มาใน form ของหนังชั้นต่ำ ดูโง่ๆ ไร้เดียงสา ห่างไกลจากความเป็นหนังอาร์ตหรือหนังเพื่อสังคม แต่ภายใน form ที่ดูโง่ๆนี้ จริงๆแล้วมันซ่อนอะไรที่รุนแรงสุดขีดเอาไว้อย่างคาดไม่ถึง

3.THE EXTREMITY OF LIFE (2016, Korn Kanogkekarin, A+30)
สุดชีวิต (กร กนกคีขรินทร์, A+30)

สุดชีวิตจริงๆ

4.MRS. SUAY (Akkaphol Satum, A+30)
นางส่วย (อรรคพล สาตุ้ม, A+30)

อันนี้เหมือนเป็นหนังแนว “ให้ข้อมูล” สำหรับเปิดฉายในหน่วยงานราชการ, โรงพยาบาล หรือศูนย์ช่วยเหลือแรงงาน แต่สิ่งที่ทำให้เราร้องกรี๊ดกับหนังเรื่องนี้ก็คือว่า เราพบว่า “การที่กล้องโฟกัสผิดจุด” ในทุกฉากทุกซีนของหนังเรื่องนี้, การแสดงที่ไม่สมจริง หรือความคลาดเคลื่อนขององค์ประกอบทางภาพยนตร์อะไรบางอย่างในแต่ละฉากของหนังเรื่องนี้ มันทำให้เรามีสมาธิจดจ่อกับหนังและข้อมูลที่หนังพยายามจะให้มากๆ

คือถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่แสดงแบบสมจริง, ถ่ายทำมาอย่างดี, องค์ประกอบทุกอย่างลงตัว เราอาจจะเบื่อมันก็ได้ หรืออาจจะไม่ตั้งใจฟัง “สาร” หรือ “ข้อมูล” จากหนังก็ได้ เพราะเรารู้สึกว่าสารของหนังเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรา เพราะเราไม่ได้เป็นแรงงานต่างด้าว และเราไม่ได้เป็นนายจ้างของแรงงานต่างด้าวด้วย แต่พอหนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบทุกอย่างคลาดเคลื่อน วิปริตแปรปรวนไปหมด เรากลับพบว่า “สาร” จากหนังเรื่องนี้ มันกลับเข้าหัวของเรามากๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก ที่หนังที่มีองค์ประกอบหลายอย่างแปรปรวน วิปริตผิดเพี้ยน กลับส่ง “สาร” เข้าไปฝังในหัวของเราได้มากกว่าหนังที่องค์ประกอบลงตัว

ในแง่หนึ่ง หนังหลายๆเรื่องของอรรคพล สาตุ้มทำให้เรานึกถึง Jean-Luc Godard ที่มีการเล่นกับองค์ประกอบของหนังในแบบที่มันไม่ควรจะเป็น อย่างเช่น “การใส่ดนตรีระทึกขวัญ” เข้ามาในฉากที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และพอเราพบ “องค์ประกอบ” ที่มันผิดที่ผิดทางแบบนี้ มันกลับสร้างความประทับใจอย่างรุนแรงมากๆได้

5.JEENA (Thamsatid Charoenrittichai, A+30)
JEENA (ธรรมสถิตย์ เจริญฤทธิชัย, A+30)
ธรรมสถิตย์เคยกำกับ “อีเมลหรือโทรศัพท์, รหัสผ่าน, ให้ฉันอยู่ในระบบต่อไป” (2015) ซึ่งเป็นหนังที่เล่นกับ “ความเงียบ” เหมือนกัน

ชอบตอนจบของหนังเรื่องนี้มากๆ เพราะตอนแรกเราไม่คิดว่ามันจะจบแบบนี้

6.RIVER OF THE DEATH (Karan Wongprakarnsanti, A+30)
RIVER OF THE DEATH (การันตร์ วงศ์ปราการสันติ, A+30)

การันตร์ทำหนังที่เข้าใจ “คนที่คิดจะฆ่าตัวตาย” ได้ดีจริงๆ จริงๆแล้วถ้าหากเราดูหนังเรื่องนี้ในปีที่แล้ว เราอาจจะไม่ได้ชอบมันมากขนาดนี้ก็ได้นะ แต่พอเราได้ดูหนังเรื่องนี้ในปีนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์รุนแรงอะไรบางอย่างขึ้นในชีวิตเรา เราก็พบว่าหนังเรื่องนี้มันให้ข้อคิดที่มีประโยชน์กับชีวิตเรามากๆ

7.FROM WOODY ALLEN TO THE FATHER (Namfon Udomlertlak น้ำฝน อุดมเลิศลักษณ์, documentary,  A+30)

ชอบมากที่คุณพ่อในหนังเรื่องนี้พูดถึงเรื่องของ พระภัททากุณฑลเกสาเถรี ที่อยากได้โจรหนุ่มเป็นผัวอย่างรุนแรงมาก เพราะตัวเราเองก็ชอบเรื่องของพระภัททากุณฑลเกสาเถรีมากๆเหมือนกัน จริงๆแล้วอยากให้มีคนนำเรื่องของพระเถรีรูปนี้มาสร้างเป็นหนังด้วยซ้ำ แทนที่จะสร้างแต่เรื่องของ “องคุลีมาล” ที่ซ้ำๆซากๆ

8.FAT BOY NEVER SLIM (Sorayos Prapapan สรยศ ประภาพันธ์, A+30)

ประเด็นดีมากๆค่ะ

9.THE AMNESIAC WOLF (Phuriphat Pruekamnuay, A+30)
หมาป่าความจำเสื่อม (ภูริพัฒน์ พฤกษ์อำนวย, A+30)

ดูแล้วงง แต่ชอบมาก

10.CAR 35 (Natthapong Prasri, A+30)
รถเริ่มสามห้า (ณัฐพงศ์ ประศรี, A+30)

11.SILENCE OF SUICIDE (Watcharapol Paksri วัชรพล ปักษี, A+30)

12.THIS FILM IS NOT ABOUT TIME PARADOX (Jakkrapan Srivichai จักรพันธ์ ศรีวิชัย, A+25)

13.TODAY IS MONDAY, YESTERDAY IS SUNDAY (Natthapong Prasri, A+25)
วันนี้วันจันทร์ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ (ณัฐพงศ์ ประศรี, A+25)

14.IN THE SILENCE (Aroonakorn Pick อรุณกร พิค, A+20)

15.CY (Mouse Trap, A+20)

16.IF THIS FILM IS SCREENED, I WILL GET OVER YOU (Watcharapol Saisongkroh, A+20)
ถ้าหนังเรื่องนี้ได้ฉาย เราจะตัดใจจากเธอ (วัชรพล สายสงเคราะห์, A+20)

17.WHITE PAPER (Panya Zhu ปัญญา ชู, A+15)

18.CENTER OF THE UNIVERSE (2016, Nuttorn Kungwanklai, A+15)
ศูนย์กลางของจักรวาล (ณัฏฐ์ธร กังวาลไกล)



No comments: