Tuesday, July 26, 2016

THINGS TO COME (2016, Mia Hansen-Løve, France, A+30)

THINGS TO COME (2016, Mia Hansen-Løve, France, A+30)

1.ชอบมากที่หนังเรื่องนี้สามารถนำเสนอหลากหลายด้านในชีวิตมนุษย์คนหนึ่งได้ โดยไม่ได้โฟกัสไปที่ด้านใดด้านหนึ่งแบบหนังทั่วไป คือในหนังเรื่องนี้ เราเห็นหลากหลายด้านในชีวิตของนาตาลี (Isabelle Huppert) ทั้งการทำงานของเธอในฐานะครูสอนปรัชญา, ปฏิกิริยาที่เธอมีต่อกระแสสังคมในตอนนั้นที่เด็กๆนักเรียนลุกขึ้นมาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อให้เกษียณอายุตอน 67 ปี, ปัญหาของเธอกับสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์ผลงานของเธอ, ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกศิษย์หนุ่มหล่อ, ความสัมพันธ์ของเธอกับสามี, ความสัมพันธ์ของเธอกับคุณแม่เจ้าปัญหา และเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆมากมายในชีวิต

2.ดูจบแล้วรู้สึกว่าการทำหนัง+เขียนบทอะไรแบบนี้มันยากมาก เพราะความดราม่าของมันถูกทำให้เจือจางกว่าหนังทั่วไปเป็นอย่างมาก เพราะผู้สร้างหนังเลือกที่จะนำเสนอชีวิตมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีปัญหาหลากหลายด้านในชีวิต แต่นางเอกเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้เป็นมนุษย์ที่มี “ชีวิตบัดซบ” เป็นมนุษย์ชนชั้นกลางที่พูดจริงๆแล้วชีวิตมึงอาจจะสบายกว่ากูตอนนี้หลายเท่านัก หรือจริงๆแล้วชีวิตเขาอาจจะไม่ได้สบายนักก็ได้ แต่หนังเลือกที่จะไม่ไปโบยตี หรือขับเน้นความดราม่าในชีวิตเขาออกมามากเกินไป

3.จริงๆแล้วฝรั่งเศสชอบทำหนังเกี่ยวกับชีวิตหญิงวัยกลางคน แต่พอดูเทียบกันแล้ว สิ่งที่โดดเด่นมากใน THINGS TO COME ก็คือการที่หนังเลือกที่จะนำเสนอหลากหลายด้านในชีวิตนางเอกนั่นแหละ แทนที่จะเลือกนำเสนอแค่ 1-2 ด้านเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าการนำเสนอแค่ 1-2 ด้านแบบในหนังเรื่องอื่นๆมันเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก มันง่ายต่อการเขียนเส้นเรื่อง, พัฒนา conflicts ตัวละครมีปัญหาใหญ่ที่ชัดเจน และหนังก็สามารถเล่าเรื่องเกี่ยวกับปัญหาใหญ่นั้น และนำไปสู่การคลี่คลายของปัญหาใหญ่ในตอนจบ โดยที่อาจจะมี subplot แทรกเข้ามาในเรื่องบ้างสัก 1-2 อัน

แต่พอเป็นหนังที่นำเสนอชีวิตนางเอกแบบหลากหลายด้านแบบ THINGS TO COME เราพบว่าเราเจอหนังแบบนี้น้อยมาก และมันยากมากๆที่จะเขียนบท/กำกับหนังที่ส่องสะท้อนชีวิตมนุษย์ได้หลากหลายด้านแบบนี้

4.คือลองเปรียบเทียบกับหนัง “ชีวิตหญิงวัยกลางคน” ของฝรั่งเศสเรื่องอื่นๆ ที่เราเองก็ชอบสุดๆเหมือนกัน เราจะเห็นได้ชัดเลยว่า หนังกลุ่มนี้มันจะไม่ “หลากหลายด้าน” แบบนี้ ยกตัวอย่างเช่น

4.1 AUTUMN TALE (1998, Eric Rohmer) นางเอกหนังเรื่องนี้มีลูกที่โตแล้วเหมือนนางเอก THINGS TO COME แต่หนังโฟกัสไปที่ปัญหา “ความรัก” ในชีวิตนางเอกเป็นหลัก

4.2 TO DIE OF LOVE (2009, Josée Dayan) นางเอกหนังเรื่องนี้ (Muriel Robin) เป็นครูโรงเรียนมัธยมที่เคยเป็น “นักประท้วง” ในปี 1968 ในฝรั่งเศสมาแล้ว (เหมือนนางเอก THINGS TO COME) และเธอก็พบรักกับนักเรียนมัธยมชายคนหนึ่ง แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ก็เน้นที่ประเด็นความรักเป็นหลักเช่นกัน

4.3 IN THE COURTYARD (2014, Pierre Salvadori) ในหนังเรื่องนี้ Catherine Deneuve รับบทเป็นผู้หญิงที่เหมือนจะเป็นบ้า ชอบคิดว่าตึกจะถล่มลงมา หนังเน้นไปที่ความสติไม่ดีของนางเอกเป็นหลัก

4.4 ONCE IN A LIFETIME (2014, Marie-Castille Mention-Schaar) ในหนังที่สร้างจากเรื่องจริงเรื่องนี้ Ariane Ascaride รับบทเป็นครูโรงเรียนมัธยมเหมือนนางเอก THINGS TO COME แต่หนังโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกศิษย์เป็นหลัก เพราะหนังพูดถึงการที่เธอพยายามผลักดันกลุ่มลูกศิษย์ที่เป็นเด็กเหลือขอให้หันมาสนใจศึกษาเล่าเรียนให้ได้

4.5 BEWARE OF MY LOVE (1998, Jeanne Labrune) ในหนังเรื่องนี้ Nathalie Baye รับบทเป็นนักเขียนหญิงวัย 50 ปีที่พบรักใหม่กับหนุ่มอันตรายคนนึง หนังเน้นไปที่ความสัมพันธ์แบบโรคจิตอ่อนๆของนางเอกกับพระเอกเป็นหลัก

5.หรือถ้าหากเทียบกับหนังไทย หนังไทยส่วนใหญ่ที่พูดถึงชีวิตหญิงวัยกลางคน ก็อาจจะไม่หลากหลายด้านเท่า THINGS TO COME เช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหนังไทยที่เราชอบสุดๆ อย่างเช่นเรื่อง

5.1 THIS IS MY MOTHER (2015, Aticha Kanjanawat) หนังเรื่องนี้มีนางเอกเป็นหญิงวัยกลางคนที่อยากมีผัวเป็นภารโรง แต่ถูกแม่ผู้ชราขัดขวาง

5.2 BE A PAST (2016, Weerasu Worrapot) ตัวละครหญิงวัยกลางคนในเรื่องนี้เผชิญปัญหาหลากหลายด้านมากพอสมควร ทั้งปัญหาการทำงาน, ปัญหากับลูกสาว  และเรื่องผู้ชายคนใหม่ในชีวิตของเธอ

6.สรุปที่ลิสท์รายชื่อหนังต่างๆมาข้างต้น ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เราชอบ THINGS TO COME เพราะพอนำมันไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆแล้ว เราก็พบว่ามันนำเสนอชีวิตนางเอกได้หลากหลายด้านมากกว่าหนังที่กล่าวมาข้างต้นนี่แหละ ถึงแม้ว่าเราจะชอบหนังกลุ่มข้างต้นมากๆเช่นกัน

แต่ THINGS TO COME ก็ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่องอื่นๆที่เราชอบสุดๆเพราะมันมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายๆ THINGS TO COME โดยคุณสมบัตินั้นก็คือ การนำเสนอ “ชีวิต” ในแบบหลากหลายด้าน โดยลดความดราม่าในชีวิตของตัวละครลง โดยในหนังกลุ่มนี้ตัวละครอาจจะมี “ปมปัญหาหลัก” ก็จริง แต่หนังกลุ่มนี้มันดูเหมือนมีหลายฉากในเรื่องที่นำเสนอสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับปมปัญหาหลักของตัวละครเอกแต่อย่างใด  โดยหนังกลุ่มนี้มักจะใส่ “ฉากที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับประเด็นหลัก” ของหนังเข้ามา แต่ฉากเหล่านี้กลับทำให้เรารู้สึกดีงามมากๆ เพราะมันทำให้ตัวละครในหนังดูเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แทนที่จะเป็นเพียงแค่ “ผู้หญิงวัยกลางคนที่มีปัญหา A และเราต้องมาดูว่าเธอจะแก้ปัญหา A ได้หรือไม่” ตัวละครในหนังกลุ่มนี้เป็นมนุษย์ที่เรายากจะสรุปเขาให้เป็นประโยคเพียงหนึ่งประโยคได้

ไม่รู้เหมือนกันว่าหนังกลุ่มที่เราชอบสุดๆนี้เรียกว่าอะไร เราขอเรียกมันในที่นี้ว่า หนังกลุ่ม diluted drama ก็แล้วกัน หรือหนังที่ทำให้อารมณ์ดราม่าในหนังเจือจางลงกว่าหนังทั่วไป

หนังในกลุ่มนี้ก็มีเช่น

6.1 LATE AUGUST, EARLY SEPTEMBER (1998, Olivier Assayas) นำแสดงโดย Mia Hansen-Løve

6.2 A WEEK’S VACATION (1980, Bertrand Tavernier)

6.3 MY SEXUAL LIFE (HOW I GOT INTO AN ARGUMENT) (1996, Arnaud Desplechin) ถึงแม้หนังจะเน้นความสัมพันธ์รักหนุ่มสาวเป็นหลัก แต่ฉากที่ดูแล้วลืมไม่ลงในหนังเรื่องนี้ แม้เวลาจะผ่านมา 20 ปีแล้ว ก็คือฉากตัวละครตัวนึงเจ็บคอ พูดไม่ได้ คือฉากนี้เหมือนไม่เกี่ยวอะไรกับประเด็นหลักของเรื่องเลย แต่ทำไมมันถึงฝังใจเรามากก็ไม่รู้

6.4 AFTERNOON (2007, Angela Schanelec)

6.5 DREILEBEN – DON’T FOLLOW ME AROUND (2011, Dominik Graf) หนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะ “ดราม่า” กว่าหนังเรื่องอื่นๆ ในกลุ่มนี้ เพราะมันพูดถึงตำรวจสาวคนนึงที่ตามล่าจับฆาตกรโรคจิต แต่สิ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆคือสิ่งเดียวกับที่ทำให้เราชอบ THINGS TO COME เพราะแทนที่หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังทริลเลอร์ตามล่าฆาตกรโรคจิต หนังเรื่องนี้กลับนำเสนอหลากหลายปัญหาในชีวิตของตำรวจหญิงคนนี้แทน

6.6 SEE YOU TOMORROW พบกันใหม่โอกาสหน้า (2015, Nattawoot Nimitchaikosol)

6.7 9/11 (2016, Pavinee Boonmee) หนังสั้นเรื่องนี้อาจจะมี “ประเด็นหลัก” แต่เราชอบมากที่หนังเรื่องนี้เหมือนให้เวลาราว 80% ของเรื่องไปกับการนำเสนอกิจวัตรประจำวันของเด็กชายคนนึง แทนที่จะพยายามขับเน้น “ประเด็นหลัก” ของเรื่องอย่างชัดเจน

6.8 CRACKS OF EMPTINESS (2016, Preechamon Sumalee) หนังสั้นเรื่องนี้ก็อาจจะมี “ประเด็นหลัก” เช่นกัน แต่เราชอบมากที่หนังเรื่องนี้เหมือนจะนำเสนอกิจวัตรประจำวันของนางเอกไปเรื่อยๆ

7.ส่วนฉากที่ชอบที่สุดใน THINGS TO COME คือฉากที่นางเอกเอาดอกไม้ในแจกันไปทิ้ง เราว่าฉากนี้หนังจับอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้ละเอียดมาก แบบทุกเสี้ยววินาทีเลย ทั้งๆที่เหตุการณ์นี้ดูเหมือนไม่มีความสำคัญอะไรกับตัวเนื้อเรื่องเลย ตั้งแต่นางเอกเห็นดอกไม้แล้วไม่พอใจ เธอเลยจะเอาไปทิ้งถังขยะ แต่รูถังขยะมันเล็กเกินไป นางเอกพยายามยัดช่อดอกไม้เข้าไป แต่ทำไม่สำเร็จ และเธอก็เหมือนโดนหนามแทงจนเจ็บมือ เธอเอาดอกไม้ใส่ถุงไปทิ้งถังขยะข้างนอก แต่ก็เดินกลับมาเอาถุงพลาสติกกลับไป

คือเหตุการณ์ปัญหาเล็กๆน้อยๆแบบนี้นี่แหละคือสิ่งที่เราเจอในชีวิตประจำวัน แต่เราแทบไม่เคยเจอมันได้รับการนำเสนอใน “ภาพยนตร์” มาก่อน ยกเว้นในภาพยนตร์กลุ่ม diluted drama ข้างต้นที่มักจะมีฉากอะไรแบบนี้สอดแทรกเข้ามา

8.ชอบ “ความกลับไปกลับมา” ของอะไรหลายๆอย่าง ทั้งแมวที่หนีไปแล้วก็กลับมา แล้วแมวก็จากนางเอกไปอีกที, การที่นางเอกไปเที่ยว แต่ไปได้ไม่ตลอด เพราะต้องวิ่งกลับมาดูแลแม่ หรือการที่นางเอกไปเที่ยวได้ระยะนึง แล้วเธอก็รับโทรศัพท์ แล้วก็บอกว่าเกิดปัญหาอะไรสักอย่างที่บ้าน แล้วก็วิ่งกลับมาบ้าน

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเราถึงชอบอะไรแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่ามันเหมือนเป็นการนำเสนอ “ความไม่ราบเรียบ” เล็กๆน้อยๆของชีวิตน่ะ

9.การที่ชีวิตนางเอก THINGS TO COME เจอปัญหาที่ไม่คาดฝันเข้ามาเป็นระยะๆ อย่างเช่นแม่ตาย, ผัวทิ้ง, มีผู้ชายเดินตาม, สำนักพิมพ์ไม่พิมพ์หนังสือ มันทำให้นึกถึงฉากจบของ GOODBYE FIRST LOVE (2011, Mia Hansen-Løve, A+30) ด้วยนะ ซึ่งฉากจบของหนังเรื่องนี้เราว่ามันสะท้อน “สัจธรรม” มากๆสำหรับเรา และมันเข้ากับชีวิตเราในปีนี้มากๆด้วย

คือในฉากจบของ GOODBYE FIRST LOVE นั้น นางเอกไปเล่นน้ำที่ลำธาร เธอเอาผ้าผืนนึงวางไว้ที่โขดหิน เธอเอาก้อนหิน 4 ก้อนมาวางทับมุมของผ้าผืนนั้น เพื่อให้ผ้าผืนนั้นไม่ปลิว เหมือนเธอระมัดระวังเป็นอย่างดีที่สุดแล้ว เธอเอาก้อนหินวางทับผ้านั้นไว้อย่างดีแล้ว แต่อยู่ดีๆลมก็พัดมา และทำให้หมวกของเธอปลิวไป และเธอก็ต้องตามหมวกที่ปลิวนั้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ สุดแต่ว่าลมนั้นจะพัดพาหมวกเธอปลิวไปขึ้นเขาลงห้วยลงเหวที่ไหน

เราว่าฉากจบของ GOODBYE FIRST LOVE มันก็คล้ายกับชีวิตนางเอกของ THINGS TO COME และนางเอกของ FATHER OF MY CHILDREN (2009, Mia Hansen-Løve) ที่อยู่ดีๆชีวิตก็สร้างปัญหามาให้อย่างไม่คาดฝัน และเราก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องกัดฟันรับมือสู้ชีวิตต่อไป

ฉากจบของ GOODBYE FIRST LOVE มันทำให้เรานึกถึงชีวิตตัวเราเองในปีนี้อย่างมากๆด้วยแหละ เพราะช่วงต้นปีนี้ เรานึกว่าเราคุมชีวิตตัวเองได้ดีในระดับนึงแล้ว เราพยายามลดปัญหาต่างๆในชีวิตเราลงไปให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่อยู่ดีๆก็เกิดเหตุร้ายแรงบางอย่างขึ้นในชีวิตเราอย่างไม่คาดฝัน และทำให้ชีวิตเราพลิกผันไปอย่างรุนแรง แทบจะเอาชีวิตไม่รอด


ถ้าจะถามว่า GOODBYE FIRST LOVE กับ THINGS TO COME ต้องการบอกอะไรกับคนดู เราก็คงตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าผู้สร้างหนังเรื่องนี้ต้องการบอกอะไรกับคนดู แต่เราชอบหนังสองเรื่องนี้มากๆ เพราะปัจจัยนึงก็คือว่า เรารู้สึกว่ามันนำเสนอสัจธรรมบางอย่างของชีวิตมนุษย์ได้อย่างตรงใจเรานี่แหละ โดยเฉพาะ “ความคาดเดาอะไรไม่ได้ของชีวิต” อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา QUE SERA SERA WHATEVER WILL BE WILL BE จริงๆจ้ะ

No comments: