HOT SUGAR’S COLD WORLD (2015, Adam
Bhala Lough, documentary ,A+30)
1.ช่วงนี้ได้ดูหนังสารคดีเก ี่ยวกับศิลปินติดๆกัน
4 เรื่อง ซึ่งได้แก่เรื่องนี้, OASIS: SUPERSONIC
(2016, Mat Whitecross, A+25), ART AND CRAFT (2014, Sam Cullman + Jennifer
Grausman, A+25) และ MAD TIGER (2015, Michael Heartlein +
Jonathan Yi, A+) ปรากฏว่าเราชอบ HOT SUGAR’S COLD WORLD มากที่สุด ซึ่งเป็นเพราะว่าเราถูกโฉลก กับตัว subject ในหนังเรื่องนี้มากที่สุด
คือบางทีระดับความชอบที่มีต ่อหนังสารคดีแต่ละเรื่อง
อาจจะไม่ได้เกิดจากฝีมือของ ผู้กำกับหนังเป็นสำคัญ เพราะผู้กำกับหนังสารคดีหลา ยเรื่องอาจจะทำเพียงแค่บันท ึกชีวิตและคำให้สัมภาษณ์ของ ตัว
subject เท่านั้น เพราะฉะนั้นความดึงดูดของเร าที่มีต่อตัว
subject ของหนังจึงมีความสำคัญเป็นอ ย่างมากต่อระดับความชอบ
คือผู้กำกับหนังสารคดีหลายเ รื่องอาจจะไม่ได้มีอิทธิพลม ากนักต่อสไตล์และเนื้อหาของ หนังน่ะ
ซึ่งแตกต่างจากหนัง fiction ที่ตัวผู้กำกับอาจจะมีอิทธิ พลอย่างมากต่อสไตล์และเนื้อ หาของหนัง
fiction
โดยในส่วนของ OASIS: SUPERSONIC นั้น เราผูกพันกับตัว subject แค่ในระดับปานกลาง และในส่วนของ ART AND CRAFT นั้น เราพบว่าตัว subject มีความน่าสนใจสุดๆในแง่สิ่ง ที่เขาทำ แต่เรากลับ “ไม่ถูกโฉลก” กับตัวเขาในแง่บุคคล
คือเรารู้สึกว่าตัวนักวาดภา พปลอมใน ART AND CRAFT เป็นมนุษย์ที่พิศวงและน่าสน ใจดีน่ะ
แต่ทำไมเรารู้สึกระแวงหรือไ ม่ไว้วางใจเขาก็ไม่รู้ เหมือนเขาเป็น subject
ที่น่าสนใจ แต่เราคงไม่กล้าคบเขาเป็นเพ ื่อน
ในส่วนของ MAD TIGER นั้น เราพบว่าตัว subject เป็นบุคคลประเภทที่เราไม่ค่ อยสนใจน่ะ
คือเป็นคนประเภทโผงผาง, extrovert อย่างรุนแรง
แต่เรามักจะถูกโฉลกกับศิลปิ นที่ introvert แบบใน HOT
SUGAR’S COLD WORLD มากกว่า คือนักดนตรีใน MAD TIGER มันเน้นความโฉ่งฉ่าง แต่นักดนตรีใน HOT SUGAR’S COLD WORLD มันเน้นความนิ่งเงียบ
ในส่วนของ HOT SUGAR’S COLD WORLD นั้น เรารู้สึกถูกโฉลกกับตัว subject มากๆ คือเราไม่เคยรู้จักศิลปินรา ยนี้มาก่อนเลยนะ แต่เราพบว่าสิ่งที่เขาทำมัน น่าสนใจมาก
ทั้งการไล่เก็บเสียง room tone ในห้องต่างๆ, การบันทึกเสียงต่างๆในชีวิต ประจำวัน, การบันทึก
“เสียงของความเงียบ” ในสถานที่ต่างๆ
2.จะว่าไปแล้ว การบันทึกเสียงของ Hot Sugar ในหนังเรื่องนี้มันก็คล้ายๆ กับหนังทดลองกลุ่มที่เราชอบ น่ะ
เพราะ Hot Sugar เน้นบันทึกเสียงของ “ชีวิตประจำวัน”,
“room tone” และ “ความเงียบ” และเราก็พบว่าเรามักชอบหนัง ที่ถ่ายทอด “ชีวิตประจำวัน”,
“สถานที่โล่งๆ” และ “ภาพและเสียงที่ไม่มีเหตุกา รณ์สำคัญเกิดขึ้น”
น่ะ อย่างเช่นหนังของ Teeranit Siangsanoh และ
Wachara Kanha บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุสำค ัญก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกถู กโฉลกกับ
Hot Sugar อย่างมากๆ เพราะ “การบันทึกเสียง”
ของเขาทำมันสามารถเทียบเคีย งได้กับ “การบันทึกภาพ”
ของ Teeranit และ Wachara
3.ชอบหลายๆอย่างในหนังเรื่อ งนี้มากๆ
โดยเฉพาะประวัติครอบครัวของ Nick Koenig (Hot Sugar) ที่รอดชีวิตจากค่ายกักกันเอ าช์วิตซ์ของนาซีในสงครามโลก ครั้งที่สอง
เรื่องราวในค่ายกักกันชาวยิ วของครอบครัวนี้หนักมากๆ ทำให้นึกถึงหนังอย่าง SOPHIE’S
CHOICE (1982, Alan J. Pakula)
4.เรื่องราวของเพื่อนบ้านขอ ง Nick
Koenig ก็รุนแรงมากๆ ที่เป็นตาแก่ทหารผ่านศึกที่ สักหน้าของตัวเองทั้งหน้า
คือเราเห็นตาแก่คนนี้แล้วนึ กถึงอนาคตของตัวเองมากๆ คือเป็นชายชราที่ใช้ชีวิตตา มลำพังคนเดียวในวัย
80 กว่าปี และแทบไม่มีญาติพี่น้องเพื่ อนฝูงใดๆทั้งสิ้น
ชีวิตของเขาผ่านอะไรมามาก แต่ต้องใช้ชีวิตบั้นปลายของ ตนเองอย่างเงียบๆสมถะตามลำพ ัง
และในงานศพของเขา ก็มีคนมางานศพเพียงคนเดียวเ ท่านั้น นั่นคือ Nick Koenig
5.ชอบช่วงที่ไปเจอตัวตลกขาย พลุด้วย
ช่วงนั้นนึกว่าอยู่ดีๆชีวิต ก็กลายเป็นหนัง thriller โดยไม่ได้ตั้งใจ
1.ช่วงนี้ได้ดูหนังสารคดีเก
คือบางทีระดับความชอบที่มีต
คือผู้กำกับหนังสารคดีหลายเ
โดยในส่วนของ OASIS: SUPERSONIC นั้น เราผูกพันกับตัว subject แค่ในระดับปานกลาง และในส่วนของ ART AND CRAFT นั้น เราพบว่าตัว subject มีความน่าสนใจสุดๆในแง่สิ่ง
ในส่วนของ MAD TIGER นั้น เราพบว่าตัว subject เป็นบุคคลประเภทที่เราไม่ค่
ในส่วนของ HOT SUGAR’S COLD WORLD นั้น เรารู้สึกถูกโฉลกกับตัว subject มากๆ คือเราไม่เคยรู้จักศิลปินรา
2.จะว่าไปแล้ว การบันทึกเสียงของ Hot Sugar ในหนังเรื่องนี้มันก็คล้ายๆ
3.ชอบหลายๆอย่างในหนังเรื่อ
4.เรื่องราวของเพื่อนบ้านขอ
และในงานศพของเขา ก็มีคนมางานศพเพียงคนเดียวเ
5.ชอบช่วงที่ไปเจอตัวตลกขาย
No comments:
Post a Comment