AFTERIMAGE (2016, Andrzej Wajda, Poland, A+30)
ดูแล้วสมาธิหลุดเป็นระยะๆ แต่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าหนังไม่ดี
แต่เป็นเพราะว่าเหตุการณ์ในหนังมันทำให้นึกถึงเมืองไทยตลอดเวลา โดยเฉพาะเมืองไทยในตอนนี้
ซึ่งเป็นยุคที่เราเซ็นเซอร์ตัวเองอย่างรุนแรงเพื่อความปลอดภัยของชีวิต
ชอบที่จริงๆแล้วชีวิตตัวละครมันหนักหนาสาหัสรุนแรงมาก
แต่หนังมันไม่ฟูมฟายเลย มันไม่พยายามบีบคั้นอารมณ์เราให้ร้องไห้เลย
คือพระเอกมันขาขาดข้างนึง แขนก็ขาดข้างนึง
คือแค่พระเอกใช้ชีวิตประจำวันก็หนักมากๆแล้ว แต่พระเอกยังถูกทางการโปแลนด์ยุคสตาลินกลั่นแกล้งเล่นงานอย่างรุนแรงอีก
รู้สึกว่าหลายๆซีนในหนังนี่ ถ้าหากเป็นผู้กำกับบางคนทำ
เขาคงจะใส่ดนตรีเศร้าๆ เร้าอารมณ์หนักๆ เพื่อให้คนดูร้องไห้
หรือเน้นกระตุ้นอารมณ์คนดูให้เกลียดชังตัวละครผู้ร้ายอย่างเต็มที่ แต่ไวดาใจหินมากๆ
เพราะเขาไม่ทำแบบนั้นเลย เขาเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวละคร
โดยตัดอารมณ์ที่ไม่จำเป็นทิ้งไปเกือบหมด
ดูแล้วก็คิดว่า “อังเดร ไวดา” เป็นผู้กำกับหนังการเมืองที่เราชอบสุดๆคนนึง
แต่เขาก็มีความถนัดเฉพาะตัวนะ เพราะหนังการเมืองของเขาที่เราได้ดูส่วนใหญ่
มันต้องอาศัยตัวละครที่มีลักษณะเป็นวีรบุรุษหรือวีรสตรี ที่ต้องเผชิญกับความเลวร้ายอย่างรุนแรงจากระบอบเผด็จการน่ะ
เหมือน “พลัง” ในหนังการเมืองหลายเรื่องของเขา มันใช้สูตรเคมีคล้ายๆกัน คือการนำเอาสารเคมีหลักสองตัวที่ตรงข้ามกันมาปะทะกันอย่างรุนแรง
และสารเคมีหลักสองตัวนั้นก็คือ protagonist ที่มีความเข้มแข็งกล้าหาญ
กับระบอบการปกครองที่กดขี่ประชาชนอย่างเลวร้าย ซึ่งอาจจะรวมถึงหนังเรื่องนี้
และหนังอย่าง MAN OF MARBLE (1977), MAN OF IRON (1981), A LOVE IN GERMANY
(1983), DANTON (1981)
แต่การที่เขาชอบทำหนังอะไรแบบนี้ มันก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้นะ เพราะเขาคงเติบโตมากับความเลวร้ายของระบอบนี้น่ะ
ทั้งในยุคนาซีและยุคคอมมิวนิสต์
ประสบการณ์ชีวิตของเขามันก็เลยหล่อหลอมให้เขาชอบทำหนังแบบนี้
ดูแล้วก็สงสัยว่า บางทีปัญหาการเมืองที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
มันอาจจะส่งผลให้ forms หรือ styles ของผู้กำกับหนังการเมืองในแต่ละประเทศแตกต่างกันไปด้วยหรือเปล่า
เหมือนอย่าง Rithy Panh ก็ทำหนังสไตล์นึง, Ken Loach ก็ทำหนังสไตล์นึง, Lav Diaz ก็ทำหนังสไตล์นึง, Jean-Luc
Godard ก็ทำหนังสไตล์นึง, Jafar Panahi ก็ทำหนังสไตล์นึง,
หนังเชคนิวเวฟก็เป็นอีกสไตล์นึง ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะปัญหาการเมืองของแต่ละประเทศมันไม่เหมือนกัน
สไตล์ของหนังก็เลยแตกต่างกันไปด้วยหรือเปล่า
หรือแม้แต่ในไทยเองนั้น
บรรยากาศทางการเมืองที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย ก็คงส่งผลกระทบต่อสไตล์ หรือ forms ของหนังการเมืองแต่ละยุคไปด้วย
ในบางทศวรรษเราอาจจะมีหนังการเมืองที่ตัวละครถกเถียงกันอย่างตรงไปตรงมา
อย่างเช่นหนังของ Prap Boonpan และในบางทศวรรษเราอาจจะมีหนังการเมืองที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ดูแล้วต้องตีความกันเอาเอง
เพราะอย่างที่ AFTERIMAGE ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า “การเมือง”
กับ “การแสดงออกทางศิลปะ” มันส่งผลกระทบต่อกันอย่างรุนแรงขนาดไหน
No comments:
Post a Comment