DETECTIVE DEE: THE FOUR HEAVENLY KINGS (2018, Tsui Hark, China/Hong
Kong, A+25)
1.รู้สึกกับหนังเรื่องนี้และฉีเคอะคล้ายๆกับที่รู้สึกกับ Luc Besson และ VALERIAN
AND THE CITY OF A THOUSAND PLANETS (2017) นั่นก็คือเรายังคงถูกโฉลกกับฉีเคอะและ
Luc Besson มากๆ
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผู้กำกับหนังแอคชั่นเมนสตรีมคนอื่นๆ
ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร มันคงเป็นเรื่องของ wavelenghts ของเราที่ตรงกันมากๆกับผู้กำกับสองคนนี้มั้ง
แต่ก็ชอบหนังระยะหลังๆของสองคนนี้น้อยลงเมื่อเทียบกับหนังในทศวรรษ 1980-1990
ของสองคนนี้ (เราผิดหวังมากกับ JOURNEY TO THE WEST: THE DEMONS STRIKE
BACK ของฉีเคอะ) และปัญหาของเราที่มีต่อ DETECTIVE DEE ภาคนี้และ VALERIAN ก็คือว่า มันเป็นหนังโชว์ CG
น่ะ เหมือนหนังมันแสดงศักยภาพของ CG สูงมากๆ
และเต็มไปด้วยฉากโชว์ spectacles ที่ยิ่งใหญ่ละลานตา
แต่เราจะไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากเท่าที่ควร
ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เรารู้สึกแบบนี้
เป็นเพราะบทภาพยนตร์มันเขียนเน้นฉากโชว์ CG มากกว่าฉากเน้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครหรือเปล่า
หรือเป็นเพราะว่า พอมันเป็นฉากโชว์ CG ในการต่อสู้กัน เราเลยไม่ค่อยรู้สึกถึง
“ความเจ็บปวดทางผิวหนังของตัวละคร” เวลาโดนอาวุธบาด/ฟัน/แทง
คือพอโลกในหนังมันเป็นโลกที่หลายๆอย่างถูกสร้างโดย CG เราก็เลยไม่ค่อยรู้สึกถึง
“สัมผัสทางผิวหนัง” มากเท่ากับเวลาดูหนังอย่าง “เผ็ดสวยดุ ณ เปไก๋” (1986), “เดชคัมภีร์เทวดา”
(1990), หวงเฟยหง ภาคต้นๆ, LA FEMME NIKITA และ
LEON คือเราว่าในหนังยุคต้นๆของผู้กำกับสองคนนี้
เวลาตัวละครเจ็บปวดทางร่างกาย เราจะรู้สึกตามไปด้วยน่ะ แต่พอมาถึงยุค DETECTIVE
DEE ภาคนี้และ VALERIAN เรากลับไม่ค่อยรู้สึกแบบนี้แล้ว
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมันเป็นเพราะ “บทภาพยนตร์, หรือการใช้ CG มากเกินไป หรือประสาทสัมผัสเราหยาบกระด้างขึ้น 555
2.ชอบตี่เหรินเจี๋ยมากๆ หล่อน่ารักดี ชอบบุคลิกของเขาในภาคนี้ที่ดูเหมือนไม่สนใจผู้หญิงเลย
555 แต่น่าเสียดายที่บทของบูเช็กเทียนในภาคนี้ดูแย่มากๆ
เหมือนหนังรู้ตัวว่าแทบไม่มีเวลาใส่ความเป็นมนุษย์ให้ตัวละครหลักในหนังเรื่องนี้เลย
ก็เลยพยายามทำบทของซาโถว (Kenny Lin) กับมือสังหารหญิงให้ดูเป็นมนุษย์กว่าตัวละครหลักอื่นๆ
แต่มันก็ดู cliche มากๆเลยน่ะ มันเหมือนกับเรื่องราว “ความสัมพันธ์”
ระหว่างสองคนนี้ในหนังเรื่องนี้เป็นก้อนซุปคนอร์สำเร็จรูปอะไรสักอย่างที่ใช้กันมาหลายสิบปีแล้วในหนังฮ่องกงหลายร้อยเรื่อง
คือบทของสองคนนี้มันช่วยให้ “รสชาติ” ของหนังมันกลมกล่อมขึ้นก็จริงนะ
เพราะมันช่วยสร้างรส “ตลก” และรส “โรแมนติก” ให้หนัง
หนังจะได้มีอารมณ์อื่นๆเข้ามาเบรก เข้ามาแทรกบ้าง แต่มันก็ดูสำเร็จรูปมากๆเลยน่ะ
แต่สิ่งที่ชอบมากในบทมือสังหารหญิงก็คือว่า
มันเป็นตัวละครที่เราไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตายน่ะ
เพราะฉะนั้นเวลาที่เธอต่อสู้กับตัวละครอื่นๆในหนัง เราก็เลยมีลุ้น
ไม่เหมือนตัวละครประเภทตี่เหรินเจี๋ยหรือบูเช็กเทียนที่เรารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ตาย
จริงๆแล้วพอดูหนังเรื่องนี้
เรารู้สึกเหมือนกับว่ามันมี “รูปลักษณ์” ภายนอกบางอย่าง อย่างเช่นเครื่องแต่งกาย,
องค์ประกอบศิลป์ หรือ “บรรยากาศ” ใกล้เคียงกับหนังเรื่อง SWORD MASTER (2016, เอ๋อตงเซิน)
และ LEGEND OF THE DEMON CAT (2017, Chen Kaige) นะ
แต่เราว่า LEGEND OF THE DEMON CAT ดูสนุกกว่านิดนึง และ SWORD
MASTER กินขาดที่สุดในแง่การทำให้ตัวละครดูมีความเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ
มีชีวิตจิตใจ
ดูแล้วก็เลยรู้สึกเสียดายมากๆที่ฉีเคอะไม่ได้หยิบยืมความเป็นมนุษย์ของ SWORD
MASTER มาใส่ในหนังเรื่องนี้ด้วย
3.ปัญหาสำคัญอีกอย่างของหนังเรื่องนี้
คือแนวคิดทางการเมืองด้วยแหละ คือพอดูจบแล้วเรารู้สึกเหมือนกับว่า
ถ้าหากหนังเรื่องนี้ไม่ได้หวังเอาใจจีนแผ่นดินใหญ่
หนังเรื่องนี้มันน่าจะสร้างจากมุมมองของ “ผู้ร้าย” ได้ด้วยซ้ำไป
คือเอาจริงๆแล้วตัวละครกลุ่มผู้ร้ายในหนังเรื่องนี้มันพลิกมาเป็นพระเอกได้ง่ายมากๆ
ถ้าหากเล่าเรื่องจากอีกมุมนึง คือถ้าหากพลิกวิธีการเล่าในหนังเรื่องนี้ใหม่
ตัวละครกลุ่มผู้ร้ายในหนังเรื่องนี้ มันอาจจะไม่ต่างอะไรจาก “พรรคดอกไม้แดง”
ของตั้งแกลก (เฉินเจียลั่ว) ใน “จอมใจจอมยุทธ์” ของกิมย้งเลยด้วยซ้ำ
เพราะทั้งพรรคดอกไม้แดงและกลุ่มผู้ร้ายในหนังเรื่องนี้
ก็พยายามจะล้มราชวงศ์ด้วยเหตุผลที่อาจจะดูเหมือนชอบธรรมเหมือนๆกัน
4.อยากได้พระภิกษุในหนังเรื่องนี้มากๆ
No comments:
Post a Comment