Tuesday, August 28, 2018

SLEEPING SUN AND MIRAI OF THE FUTURE


SLEEPING SUN (2018, ผุสชาติ สัจจะไทย, A+30) VS. MIRAI OF THE FUTURE (2018, Mamoru Hosoda, Japan, animation, A+30)
          
1.ขอจดบันทีกความรู้สึกอย่างสั้นๆที่มีต่อหนังสองเรื่องนี้ควบกันไปเลย เพราะหนังสองเรื่องนี้สะเทือนใจเราอย่างสุดๆจนทำให้เราแทบร้องไห้ เพราะมันสามารถ “จี้จุดอ่อน” เดียวกันในตัวเรา นั่นก็คือเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อ “เวลา” โดยที่หนังทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็นำเสนอเหตุการณ์ต่างๆในหนังแบบสลับสับเปลี่ยนเวลาไปมาเหมือนๆกัน เวลาในหนังสองเรื่องนี้ไหลทบทับซ้อนกันไปมาอย่างได้อย่างงดงามและสะเทือนอารมณ์มากๆ

และก็เป็นเรื่องบังเอิญด้วย ที่ฉากที่น่าจดจำสุดๆในหนังทั้งสองเรื่องนี้ ต่างก็เป็นฉากเกี่ยวกับ รถไฟ

2. จุดที่เราชอบสุดๆใน SLEEPING SUN คล้ายๆกับที่เราชอบในหนังหลายๆเรื่องของ Alain Resnais นะ นั่นก็คือการนำเสนอ corrosive power of memory มันเหมือนกับว่า memory ในตัวละครนางเอกของ SLEEPING SUN มันยังคงกัดกร่อนแผดเผาใจของนางเอกอยู่จนถึงปัจจุบัน นางเอกยังคงหวนคิดถึงผัวเก่าและช่วงเวลาเก่าๆอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าภาพหลายๆภาพที่เธอเห็นในปัจจุบัน มันทำให้เธอหวนคิดถึงอดีต เธออาจจะนั่งอยู่คนเดียวที่ชายทะเล แต่เธอเห็นภาพเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผัวเธอนั่งอยู่ที่ชายทะเลด้วย

3.อีกจุดที่ชอบสุดๆใน SLEEPING SUN ก็คือว่า มันทำให้เราคิดถึงความจริงที่ว่า ไม่เพียงแต่ตัวเราในปัจจุบันจะสามารถมองย้อนกลับไปในอดีต แต่ “ตัวเราในปัจจุบันยังสามารถรู้ตัวได้ด้วยว่า อนาคตจะมองย้อนกลับมาที่ปัจจุบันด้วย” คือนอกจากเรา ณ เวลา 22.42 น. ของวันอังคารที่ 28 ส.ค. 2018 จะมองย้อนกลับไปยังความทรงจำต่างๆในอดีตได้แล้ว เรายังรู้ตัวอีกด้วยว่า อนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า หรืออีก 5 ปีข้างหน้า หรืออีก 10 ปีข้างหน้า เราอาจจะมองย้อนกลับมา ณ เวลา 22.42 น.ของวันอังคารที่ 28 ส.ค. 2018 ด้วยก็ได้ แล้วอนาคตอีก 3 ปีข้างหน้า จะคิดยังไงกับตัวเราในปัจจุบันนี้ หรืออนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า จะคิดยังไงกับตัวเราในปัจจุบันนี้ ตัวเราในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า จะคิดว่าตัวเราในปัจจุบันช่างโง่เสียเหลือเกิน ที่ไม่เสยหีใส่ผู้ชายคนนั้นหรือเปล่านะ หรือตัวเราในอนาคตข้างหน้า อาจจะคิดว่าตัวเราในปัจจุบันช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน เพราะตัวเราในปัจจุบันยังมีปัจจัย 4 เลี้ยงดูตัวเองได้อยู่

การที่ปัจจุบันมองย้อนกลับไปในอดีต และการที่ปัจจุบันจินตนาการถึงอนาคตที่มองย้อนกลับมาในปัจจุบันแบบนี้ มันก็เป็นสิ่งที่อยู่ใน MIRAI OF THE FUTURE ด้วยเหมือนกัน

4.ตอนแรกนึกว่า MIRAI OF THE FUTURE จะนำเสนอตัวละครเด็กเปรตที่น่าเบื่อแบบ THE BOSS BABY (2019, Tom McGrath) แต่ไปๆมาๆแล้ว MIRAI มัน “มหัศจรรย์” มากๆสำหรับเรา ชอบโลกแฟนตาซีหรือเหตุการณ์มหัศจรรย์ต่างๆในหนังเรื่องนี้มากๆ

เหตุการณ์มหัศจรรย์ในหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงหนังของ Nobuhiko Obayashi นะ โดยเฉพาะหนังอย่าง THE GIRL WHO CUT TIME (1983) และ LONELYHEART (1985) และเราก็ชอบอะไรแบบนี้มากๆ

5.เหตุการณ์ใน MIRAI มันจี้จุดอ่อนเราเป็นการส่วนตัวด้วยแหละ เพราะเราก็ชอบจินตนาการถึงอะไรแบบนี้เหมือนกัน เราชอบจินตนาการว่า สมาชิกครอบครัวเราบางคนในอดีต เคยรู้สึกยังไงเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่คุณตาเราเป็นหนุ่ม ชีวิตเขาเคยเป็นยังไงบ้างนะ หรือแม่ของเราตอนเด็กๆ เขารู้สึกยังไงบ้างนะ

แม่ของเราเคยเล่าว่า ตอนเด็กๆแม่ต้องทำไร่ และอากาศก็ร้อนมาก ทรมานมาก ทำไร่ไป ในใจก็ภาวนาอยากให้มีเมฆช่วยพัดมาบังแสงอาทิตย์สักหน่อยเถอะ ขอแค่มีก้อนเมฆมาบังให้เกิดร่มเงาสักหน่อยก็ยังดี จะได้ทำไร่ได้อย่างไม่ทรมานเกินไป

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราชอบจินตนาการถึง moment นี้ เราชอบจินตนาการว่า ถ้าหากเราเป็นแม่เราในตอนนั้น เราจะรู้สึกยังไงบ้าง

พอได้ดู MIRAI OF THE FUTURE เราก็เลยพบว่า หนังเรื่องนี้มันมีจินตนาการแบบเดียวกับเราจริงๆ เราก็เลยดูแล้วแทบร้องไห้



No comments: