RABID DOG SPECIES พันธุ์หมาบ้า (1990,
Saharat Wilainate, A+30)
1. ไม่เคยรู้เรื่องย่อของหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย
เห็นแต่โปสเตอร์ กับชื่อหนัง เราก็เลยเดาเรื่องย่อของหนังเรื่องนี้ผิดหมดเลย 555
คือก่อนเข้าไปดู
เรานึกว่าหนังเรื่องนี้คงออกมาแนวเดียวกับ "ต้องปล้น" (1990,
ชูชัย องอาจชัย) หรือ BAISE-MOI (2000, Virginie Despentes,
Coralie Trinh-Thi) น่ะ
เราเดาว่าคงเป็นเรื่องของสองหนุ่มที่มาเจอกัน แล้วกลายเป็นอาชญากร
ทำอะไรที่รุนแรงบ้าระห่ำมากๆ
พอเข้าไปดูหนัง ช่วง 5
นาทีแรกเราก็ยังคงนึกว่า หนังมันจะออกมาแบบนั้น
นึกว่าตัวละครมันต้องมารวมหัวกันทำอะไรที่รุนแรงมากแน่ๆ
ปรากฏว่ามันไม่ทำแบบนั้นสักที ตัวละครมันใช้ชีวิตเรี่ยราด เมาหยำเป
สำมะเลเทเมาไปเรื่อยๆตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เราก็เลยชอบหนังอย่างสุดๆ เพราะมันผิดไปจากที่เราคาดไว้มากๆ
555
2.ชอบที่หนังไม่ได้เน้นตัวละครเอกแค่สองคนด้วย
แต่เหมือนหนังค่อนข้างเกลี่ยบท
ให้ความสำคัญกับตัวละครชายคนอื่นๆในกลุ่มมากกว่าที่คาด
3.สาเหตุนึงที่ทำให้เราชอบหนังเรี่องนี้มากๆ
คือสาเหตุเดียวกับที่ทำให้เราชอบหนังเรื่อง EDEN (2014, Mia Hansen-Love,
France) อย่างสุดๆ
เพราะเรารู้สึกว่าหนังทั้งสองเรื่องนี้นำเสนอชีวิตของตัวละครในระยะเวลาหลายปีแบบ
"ปล่อยไปเรื่อยๆ" น่ะ แทนที่จะพยายามบิดเบือนชีวิตมนุษย์ให้เข้ากับโครงสร้างแบบ
3 องก์เหมือนหนังทั่วไป
หรือพยายามสร้างเหตุการณ์ดราม่ารุนแรงเพื่อเร้าอารมณ์ผู้ชมแบบหนังทั่วไป
หรือพยายาม manipulate อารมณ์ผู้ชมให้เป็นเส้นกราฟขึ้นๆลงๆตามแบบหนังทั่วไปน่ะ
เรารู้สึกว่าวิธีการเล่าชีวิตตัวละครแบบ
"ไม่เค้น ไม่ดราม่ารุนแรง ปล่อยไหลไปเรื่อยๆ" แบบใน พันธุ์หมาบ้ากับใน EDEN
มันดูสมจริงดีน่ะ แน่นอนว่ามันไม่ "สนุก"
แบบหนังสูตรสำเร็จเรื่องอื่นๆ
แต่วิธีการแบบนี้มันช่วยให้เราเห็นภาพชีวิตตัวละครได้อย่างสมจริงมากขึ้น
เพราะชีวิตมนุษย์จริงๆหลายๆคนมันก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ "ไคลแม็กซ์เดียว"
เป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตอยู่แล้ว แต่เป็นชีวิตที่อาจจะไหลไปเรื่อยๆ
เจอปัญหาใหญ่บ้างเล็กบ้างสลับกันไปเรื่อยๆ
4.สาเหตุสำคัญอีกอันที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ก็คือว่า
เรารู้สึกว่าชีวิตของตัวละครในหนังมันแตกต่างจากหนังไทยทั่วไปที่เราได้ดูมาน่ะ
เพราะมันดูเป็นปุถุชนคนธรรมดามากๆ มันไม่มีความเป็น hero อยู่ในตัวเลย มันไม่ได้เป็นนักศึกษาหนุ่มที่อยากออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท,
มันไม่ได้มีคุณธรรมแบบตัวละครที่มักแสดงโดยสรพงษ์ ชาตรี, มันไม่ได้ซื่อแบบ “บุญชู”
และมันก็ไม่ได้มีความเป็น “ผู้ร้าย” ชัดๆด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้มันดู
“ใกล้” เรามากกว่าหนังไทยเรื่องอื่นๆที่ออกมาในยุคเดียวกัน โดยความ “ใกล้”
ในที่นี้หมายถึงความที่มันดูเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความดีงามโดดเด่น,
ไม่ได้มีความเลวร้ายโดดเด่น และดูเหมือนไม่ได้มีเหตุการณ์ “ไคลแมกซ์” ในชีวิต
ซึ่งจริงๆแล้วเหตุการณ์ในชีวิตของตัวละครบางตัวมันก็รุนแรงนะ
อย่างเช่นการฆ่าคนตาย หรือการนอกใจแฟน แต่เหมือนหนังไม่ได้พยายามบีบเค้นเอาอารมณ์จากเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้นน่ะ
หนังทำเหมือนกับว่าเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้นเป็น “หนึ่งในมรสุมชีวิต” ที่พัดเข้ามา
แล้วก็จะพัดออกไป
5.ดูแล้วทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองมากๆด้วย คือเราอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตแบบตัวละครในหนัง
แต่การใช้ชีวิตแบบไม่เป็นโล้เป็นพายของตัวละคร
ทำให้เรานึกถึงตัวเองในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1990 มากๆ
อย่างที่เราเคยเขียนไปแล้วว่า เราเคยเสพติดการเที่ยว
DJ Station อย่างรุนแรง มีบางเดือนเราชักหน้าไม่ถึงหลัง เงินเดือนไม่พอใช้
ต้องเอาของไปเข้าโรงจำนำ ต้องหยิบยืมเงินเพื่อนๆมาใช้
https://www.facebook.com/photo?fbid=10223870150765037&set=a.10223045281543822
พอได้ดู “พันธุ์หมาบ้า” เราก็เลยนึกถึงตัวเอง มันเหมือนตัวละครในพันธุ์หมาบ้ารักการกินเหล้าริมชายหาดมากๆ
มากจนไม่ได้ตั้งใจทำงานหาเงินอย่างขยันหมั่นเพียรเหมือนคนทั่วๆไป
ซึ่งก็เหมือนกับเราเมื่อ 25 ปีก่อนที่เสพติดการเที่ยวเธค มันเหมือนเป็นช่วงชีวิตของคนวัยหนุ่มสาวที่หลงติดกับความสุขบางอย่างมากเกินไป
แต่ในที่สุดสภาพสังขารและเงื่อนไขต่างๆในชีวิตก็จะบีบให้เราต้องกลับมาตั้งใจทำงานหาเงินในที่สุด
ขอนอกเรื่องต่ออีกนิด คือนอกจาก “พันธุ์หมาบ้า” แล้ว fiction ของไทยอีกอันนึงที่เรารู้สึกว่าบันทึกช่วงชีวิตของเราในทศวรรษ
1990 ได้ดีที่สุด ก็คือละครทีวีเรื่อง “จุดนัดฝัน” (1995, อิสริยะ จารุพันธ์)
ที่เป็นเรื่องของหนุ่มสาวที่เพิ่งจบมหาลัย
และเข้ามาทำงานในระบบทุนนิยมในสาขาอาชีพต่างๆกันไป
และก็พบกับความผิดหวังมากมายในชีวิต
คือมองเผินๆแล้ว “จุดนัดฝัน” กับ “พันธุ์หมาบ้า”
เหมือนเป็นขั้วตรงข้ามกันน่ะ พันธุ์หมาบ้าเหมือนจะพูดถึงกลุ่มคนที่ไม่ยอมเข้าทำงานในระบบทั่วไป
ไม่ได้ทำงานออฟฟิศ หรือเป็นลูกจ้างบริษัท แต่เน้นกินเหล้าริมชายหาดไปเรื่อยๆ หรือเปิดร้านขายของกิ๊กก๊อกไปเรื่อยๆ
ส่วนจุดนัดฝันพูดถึงหนุ่มสาวที่เข้าไปทำงานในระบบทุนนิยม
เพราะฉะนั้นหนังกับละครสองเรื่องนี้ก็เลยเหมือนพูดถึงคนที่เลือกเส้นทางชีวิตที่ดูเหมือนตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงในทศวรรษ
1990
แต่เราดูหนัง+ละครสองเรื่องนี้แล้วกลับเห็นตัวเองในทั้งสองเรื่อง 555
เพราะเราก็ทำงานออฟฟิศตั้งแต่ปี 1995 และเราก็เสพติดการเที่ยวเธคอย่างรุนแรงด้วย เพราะฉะนั้นหนัง+ละครทีวีสองเรื่องนี้ก็เลยทำให้เรานึกถึง
“ชีวิตการทำงาน” และ “ชีวิตที่เสพติดความสำราญ” ของตัวเองในทศวรรษ 1990
ควบคู่กันไป
No comments:
Post a Comment