Thursday, September 24, 2020

TENET (2020, Christopher Nolan, A+30)

 

TENET (2020, Christopher Nolan, A+30)

 

1. โดยปกติแล้ว เราชอบหนังเกี่ยวกับการย้อนเวลามากๆ โดยเฉพาะหนังที่มีลักษณะคล้ายการเล่นเกม อย่างเช่น CELINE AND JULIE GO BOATING (1974, Jacques Rivette), RUN LOLA RUN (1998, Tom Tykwer) และ FATHER & SON (2015, Sarawut Intaraprom) โดยในหนังกลุ่มนี้ ตัวละครมักจะแก้ปัญหาด้วยการย้อนเวลา แล้วก็แก้ปัญหาไม่สำเร็จ แต่ก็ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาด หรือได้รู้ข้อมูลมากขึ้น แล้วก็ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตใหม่อีกหลายๆครั้ง ลองผิดลองถูก จน FIX อดีตได้สำเร็จในที่สุด ตัวละครในหนังแบบนี้ก็เลยทำในสิ่งที่เหมือนการเล่นเกม ที่ถ้าเล่นหลายๆครั้ง เราจะแก้เกมได้

 

เราก็เลยชอบ TENET มากๆ เพราะเรารู้สึกเหมือนมัน invent เกมใหม่ขึ้นมาน่ะ การย้อนเวลาของมันไม่ง่ายเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ มันก็เลยเหมือนเป็นเกมใหม่ที่ยากขึ้น advanced ขึ้น มีกฎ กติกาใหม่ เงื่อนไขใหม่ๆที่ซับซ้อนมากขึ้น

 

ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า การย้อนเวลาในหนังเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น EDGE OF TOMORROW (2014, Doug Liman) ทำให้เรารู้สึกคล้ายๆกับการต่อภาพ jigsaw หรือเล่นเกมที่เป็นสองมิติน่ะ แต่ TENET เหมือนการเล่นลูก RUBIK ที่เป็นสามมิติ ทำให้เราปวดหัวมากขึ้น

 

หรือเปรียบเทียบได้ว่า การดูหนังแบบ HAPPY DEATH DAY (2017, Christopher Landon) ทำให้เรารู้สึกคล้ายๆการเล่น หมากฮอส แต่การดู TENET เหมือนการดูคนเล่นหมากรุกกัน แต่กูไม่รู้หรอกว่า กฎของหมากรุกมีรายละเอียดยังไงบ้าง 555

 

2.หวังว่าจะมีการ release TENET เวอร์ชั่น 3 ชม.ครึ่ง ออกมาในอนาคต โดยใน version นี้จะมีการแจกแจงเรื่องการถอยหน้าถอยหลังของตัวละครอย่างละเอียด 555

 

3. คิดไปคิดมา แล้วก็พบว่า เราชอบ TENET, MEMENTO, INCEPTION และ INTERSTELLAR มากๆ แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่เหมือนกับการชอบหนังโดยทั่วไป

 

เพราะในการดูหนังโดยทั่วไปนั้น เรามักจะชอบที่ "ผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึก" หรือ "ความสะเทือนใจ" เป็นหลักน่ะ ซึ่งหนังกลุ่มนี้ของ Nolan ไม่ได้กระทบเราที่จุดนี้

 

แต่เราก็ชอบหนังกลุ่มนี้ของ Nolan มากๆอยู่ดี เพราะเรารู้สึกสนุกและทึ่งไปกับกฎเกณฑ์เฉพาะตัวที่ Nolan คิดประดิษฐ์ขึ้นมาในหนังแต่ละเรื่องในกลุ่มนี้ของเขาน่ะ ทั้งการเล่าเรื่องถอยหลัง, การฝันซ้อนกันเป็นชั้นๆ โดยที่เวลาในแต่ละชั้นไม่เท่ากัน, การที่ดวงดาวแต่ละดวงใช้เวลาที่ไม่เท่ากันถ้าหากเทียบกับเวลาบนโลก และการย้อนเวลาแบบกลับ entropy

 

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราดูหนังกลุ่มนี้ของ Nolan เราก็เลยรู้สึกสนุกเหมือนกับการได้เล่นเกมใหม่ๆ กติกาใหม่ๆที่เราไม่รู้จักมาก่อน หรือรู้สึกสนุกเหมือนกับการได้แก้โจทย์คณิตศาสตร์น่ะ คือสำหรับเราการดูหนัง Nolan แล้วพยายามทำความเข้าใจกับมัน แล้วเข้าใจได้ มันรู้สึกสนุกเหมือนกับการหารากที่สองของตัวเลขอะไรสักตัว โดยคิดในใจ ไม่ต้องพึ่งเครื่องคิดเลข หรือเหมือนแก้โจทย์ sin, cos, tan ได้อะไรทำนองนี้ ซึ่งไม่เหมือนความรู้สึกที่เราได้รับจากหนังโดยทั่วไป โดยเฉพาะหนังอาร์ท ที่เราต้องพยายามทำความเข้าใจ “ความซับซ้อนของมนุษย์” คือเหมือนความสนุกที่เราได้รับจากหนังกลุ่มนี้ของ Nolan เป็นการใช้สมองคนละส่วนกับการดูหนังเรื่องอื่นๆ

 

หรือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า หนังกลุ่มนี้ของ Nolan มันมีจุดเด่นกับการเล่นกับ “เวลา” ในขณะที่หนังหลายๆเรื่องของ Alain Resnais ก็เล่นกับ “เวลา” และ memory เหมือนๆกัน แต่ความสุขที่เราได้รับจากการดูหนังของ Alain Resnais นั้น มันคือความสะเทือนใจอย่างรุนแรง แบบการอ่านบทกวี อย่างเช่นบทกวีของ Emily Dickinson ที่อาจจะไม่ต้องเน้นฉันทลักษณ์เคร่งครัด แต่ความหมายและความรู้สึกที่ได้จากการอ่านบทกวี มันรุนแรงมากๆ

 

ในขณะที่ความสุขที่เราได้จากการดูหนังกลุ่มนี้ของ Nolan มันเหมือนความรู้สึกที่ได้จากการอ่าน “กลบท” น่ะ คือเราทึ่งกับกลบทที่มันมีฉันทลักษณ์เคร่งครัด, มีฉันทลักษณ์แตกต่างกันไป, แต่งยากมากๆๆๆ, อ่านให้รู้เรื่องก็ยากมากๆ บางทีก็งงว่าต้องอ่านยังไง ต้องอ่านจากบนลงล่าง แล้ววนตามเข็มนาฬิกา หรือต้องอ่านทแยงมุม ไขว้ไปไขว้มายังไง แต่เอาเข้าจริงๆ ความหมายที่ได้จากตัว “กลบท” มันไม่ได้สั่นสะเทือนเข้าไปถึงจิตวิญญาณแบบการอ่านบทกวีของ Emily Dickinson มันเหมือนกับว่าความสุขที่ได้จากการอ่านกลบทไม่ได้อยู่ที่ตัวความหมาย แต่อยู่ที่การต้องหาวิธีอ่านมันให้ออก หรือทึ่งกับ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “ความเก่งกาจ” ของคนที่แต่งกลบทขึ้นมาได้

 

4.ก็สรุปว่าชอบ TENET มากๆน่ะแหละ ยอมรับว่าเป็นหนังเรื่องแรกของ Nolan ที่ดูไม่รู้เรื่อง ตามเรื่องไม่ทัน คือถ้าหนังของ Nolan เป็น “กลบท” TENET ก็ถือเป็นเรื่องแรกที่เราอ่านเองไม่ออก ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วต้องไปหา “คำเฉลยวิธีอ่านกลบท” จากเพจหนังหลายๆที่ 555

 

5.แต่ถ้าหากเทียบกับหนัง “ย้อนเวลาไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีต” เรื่องอื่นๆแล้ว เราก็ยังคงชอบ CELINE AND JULIE GO BOATING มากที่สุดนะ เพราะในขณะที่ TENET มันทำให้เรารู้สึกสนุกไปกับ “กฎเกณฑ์ใหม่ๆ กติกาใหม่ๆ” ที่หนังคิดค้นประดิษฐ์ขึ้นมา แต่เราก็รู้สึกกับมันเพียงแค่เป็น “เกมใหม่ๆที่เล่นแล้วสนุกดี” น่ะ ในขณะที่เรารู้สึกกับ CELINE AND JULIE GO BOATING ว่าเป็น “โลกที่เหมือนไร้กฎเกณฑ์ แต่เป็นโลกที่เป็นมิตรกับเรามากที่สุด และเป็นโลกที่เราอยากเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในนั้นมากที่สุด”

No comments: