COIN OF DREAM (2020, รัตนาวลี คงศักดิ์ไพรัช, documentary, A+30)
หลังจากมีหนังสารคดีไทยเกี่ยวกับ subculture ต่างๆ อย่างเช่น วงการ "ติ่งเกาหลี" , วงการคอสเพลย์, โอตะ, มวยปล้ำ, etc. มาแล้ว คราวนี้ก็ถึงทีของวงการ cover dance บ้าง ซึ่งเป็นวงการที่เราไม่รู้จักมาก่อน ถิอเป็นหนังที่เปิดหูเปิดตาเราได้ดีเหมือนกัน
ชอบการเลือกผู้ให้สัมภาษณ์มากๆ โดยเฉพาะหนุ่ม choreographer ที่แจกแจงเรื่องต่างๆในวงการให้ออกมาเป็นประเด็นที่เข้าใจง่าย เหมือนหนังเรื่องนี้ได้ผู้ให้สัมภาษณ์ที่รู้ลึก รู้จริง รู้ละเอียด หนังมันก็เลยออกมาน่าประทับใจมากสำหรับเรา
ชอบที่หนังให้ข้อมูลเราทั้งเรื่องการถูกเหยียดจากวงการ hip hop dance, ความไม่ยุติธรรมในการประกวด, การถูกกลั่นแกล้งจากรุ่นพี่, การต่อยอดไปประกอบอาชีพต่างๆ, การเปรียบเทียบกับวงการ cover dance ของประเทศอื่นๆ, ความใฝ่ฝันของคนที่มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมาะกับการเป็น idol etc.
UNDERGROUND CEMETERY (2020, วิศรุต ศรีพุธสมบูรณ์, 29min, A+30)
1.นี่อาจจะเป็นหนังสั้นไทยเรื่องที่ 100 ที่เราได้ดูที่ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลมาจาก Apichatpong Weerasethakul แต่ปรากฏว่าหนังเรื่องนี้ออกมาทรงพลังมากๆ ไม่แพ้หนังสั้นไทยเรื่องอื่นๆที่ได้รับอิทธิพลจากผู้กำกับคนเดียวกัน
2.สิ่งที่ทำให้เรานึกถึง Apichatpong ก็คือการแทรกประเด็นการเมืองเข้ามาในหนัง และการใช้ magic ของป่า แต่สิ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆก็คือว่า เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ “ใส่ความเป็น horror” เพิ่มเข้าไปด้วยเมื่อเทียบกับหนังของ Apichatpong หรือหนังกลุ่ม Apichatpong-esque น่ะ มันเหมือนกับหนังเรื่องนี้มีทั้ง magic แบบหนังเจ้ย และมีทั้ง “ความหลอนสะพรึง” แบบหนัง horror อยู่ในเรื่องเดียวกัน และหนังก็ผสมสิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างลงตัวมากๆ
3.ฉากที่ผีอยู่ในห้องน้ำ (ไม่แน่ใจว่ากำลังช่วยตัวเองหรือเปล่า) และตัดสลับกับภาพมด, ภาพธรรมชาติ, บรรยากาศต่างๆ ทำออกมาได้อย่างทรงพลังสุดๆ คลาสสิคมากๆ ถือเป็นหนึ่งในฉากที่เราชอบที่สุดในปีนี้เลย คือเราไม่รู้อีกต่อไปว่าฉากนี้ “มีความหมาย” ว่าอะไร รู้แต่ว่ามันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า “ประตูแห่งมิติลี้ลับ” กำลังจะถูกเปิดออก
4.เราว่าช่วงแรกของหนังเป็นการไปสุดทางของเรื่องราวแบบ กฎแห่งกรรม, นรกอยู่ในใจ อะไรแบบนี้ เหมือนมันนำเสนอความกลัวบาปกรรมออกมาได้อย่างทรงพลังมากๆ แต่ตอนที่เรากำลังดูหนังเรื่องนี้ในช่วงครึ่งแรกอยู่ เราจะนึกแย้งอยู่ในใจว่า คนที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบคนที่ฆ่าบิลลี่ พอละจี ไม่ใช่ “คนที่กลัวเวรกรรม” แบบตัวละครในหนังเรื่องนี้หรอก เพราะฉะนั้นตัวละครในหนังช่วงครึ่งแรก กับคดีที่หนังพาดพิงถึง จึงดูเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากันซะทีเดียว และด้วยเหตุนี้เราก็เลยชอบสุดๆที่หนังใส่ “ช่วงหลัง” เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นช่วงที่คล้ายกับช่วงแรก แต่ไม่มีภูตผีลี้ลับปรากฏกาย มันเหมือนกับหนังยอมรับความจริงที่ว่า ช่วงแรกของหนังเป็นเพียง fantasy ทางศีลธรรมเท่านั้น และเราคงไม่สามารถคาดหวังให้คนที่ทำผิดในคดีแบบนี้รู้สึกสำนึกผิดหรือถูกลงโทษจาก “นรกในใจ” เพียงอย่างเดียวได้
5. sound ประกอบหนังรุนแรงมากๆ โดยเฉพาะ “เสียงลี้ลับ” ของอะไรสักอย่างที่ร้องดังอยู่ในป่า บอกไม่ได้ว่ามันเป็นเสียงของตัวอะไร รู้แต่ว่ามันน่ากลัวมากๆ
เสียงตัวประหลาดในป่านี่กระทบใจเราเป็นการส่วนตัวด้วย เพราะในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้ยินเสียงประหลาดๆดังอยู่ใกล้อพาร์ทเมนท์เราตอนดึกๆเป็นประจำ คือเราเพิ่งเริ่มได้ยินเสียงนี้ตอนกลางเดือนเม.ย. ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเสียงนก แต่งงว่าทำไมมันร้องดังไม่หยุดเลย ตั้งแต่ราว 4 ทุ่มถึงตี 4 เราลอง search ดูทางอินเทอร์เน็ต มันก็ไม่ตรงกับเสียงนกต่างๆที่มีคนเอาลงเน็ตไว้ เราถามพนักงานอพาร์ทเมนท์ พนักงานก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงประหลาดนี่เป็นเสียงอะไร
ตอนแรกเรารำคาญเสียงประหลาดแถวอพาร์ทเมนท์เรามาก แต่ตอนหลังๆเราก็ชิน นอนหลับได้โดยไม่สนใจอะไรเสียงนี้อีก มันจะร้องก็ร้องไป
แต่พอเราได้ดู UNDERGROUND CEMETERY เราก็พบว่าเสียงประหลาดที่เราได้ยินแถวอพาร์ทเมนท์ มันมีความคล้ายคลึงกับเสียงประหลาดในป่าในหนังเรื่องนี้ เราก็เลยสงสัยขึ้นมาว่า หรือว่า เสียงที่เราได้ยินในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คือ “เสียงเปรตร้องขอส่วนบุญ” 55555
No comments:
Post a Comment