Sunday, September 12, 2021

L’ELLIPSE (1998, Pierre Huyghe, 13min, A+30)

 

L’ELLIPSE (1998, Pierre Huyghe, 13min,  A+30)

 

1.หลังจากเมื่อวานเราช็อคกับหนังของ Michael Snow ไปแล้ว วันนี้กูก็ช็อคกับหนังของ Pierre Huyghe ต่อเลยจ้า 55555 เพราะหนังของ Huyghe ก็ทำให้เราต้องร้องอุทานออกมาว่า “เราสามารถทำหนังแบบนี้ก็ได้ด้วย” เหมือน ๆ กับที่เราเพิ่งอุทานไปเมื่อวานนี้ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด

 

2.หนังของ Huyghe เรื่องนี้ก็เป็นการเล่นกับ “หนังที่มีการสร้างมาก่อนแล้ว” นะ เป็นการใช้ประโยชน์จาก old footage แต่มันใช้วิธีการที่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เราเคยดูมา เพราะปกติแล้วเวลาเราดูหนังที่ใช้ฟุตเตจเก่าจากหนังเรื่องอื่น ๆ มันมักจะเป็นการนำฟุตเตจเก่ามาใช้เพื่อสร้างสุนทรียะแบบหนังทดลอง (Peter Tscherkassky), นำเสนอประเด็นทางการเมือง (Taiki Sakpisit), นำเสนอความทรงจำ (Kevin B. Lee)  หรือลบคนออกไปจากหนังเก่า เพื่อให้ผู้ชมโฟกัสไปที่ landscape ในหนัง (Burak Çevik) แต่ปรากฏว่าหนังของ Huyghe เรื่องนี้เป็นการ “เติมส่วนที่หายไป” ในหนังเก่า โดยเขานำสองฉากจากหนังเรื่อง THE AMERICAN FRIEND (1977, Wim Wenders) มาใช้ ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นสองฉากที่อยู่ติดกันในหนังเก่า ฉากแรกเป็นฉากที่ตัวละครอยู่ที่ตึก A แล้วฉากที่สองเป็นฉากที่ตัวละครอยู่ที่ตึก B แล้ว Huyghe ก็ถ่ายทำฉากใหม่แทรกเข้ามา ซึ่งเป็นฉากที่ตัวละครเดินจากตึก A ไปตึก B

 

3.คือชอบไอเดียของหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงสุด ๆ เป็นไอเดียที่ดีงามมาก ๆ เพราะมันทำให้เรานึกถึงความจริงที่ว่า  ไม่มีหนังเรื่องไหนถ่ายทอดชีวิตตัวละคร 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว เราไม่ได้เห็นตัวละคร “ขณะที่เขากำลังนอนหลับ 7 ชั่วโมง” , “ตัวละครขณะนั่งขี้”, “นางเอกขณะรถติดอยู่ในถนนลาดพร้าว 2 ชั่วโมง”  อะไรแบบนี้อยู่แล้ว เพราะหนังหรือละครทีวีส่วนใหญ่จะต้องตัดฉากแบบนี้ออกไป (ยกเว้นหนังอย่าง NATHALIE GRANGER ของ Marguerite Duras และ  JEANNE DIELMAN, 23, QUAI DU COMMERCE, 1080 BRUXELLES ของ Chantal Akerman ที่เน้นกิจวัตรประจำวันของตัวละคร) และยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนังที่มี ellipsis เยอะ ๆ แบบหนังของ Robert Bresson ที่มีช่องว่างให้เติมเยอะมาก ๆ หรือหนังโรแมนติกประเภทที่ตัวละครพระเอกนางเอกจากกันไป 1-3 ปี แล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง (รถไฟฟ้ามาหานะเธอ, อีหล่าเอ๋ย, เอี้ยก้วย เซียวเหล่งนึ่งที่จากกัน 16 ปี) ที่มีช่องว่างให้เติมได้เยอะมาก

 

4.คือชอบที่หนังของ Huyghe เรื่องนี้เหมือนโฟกัสไปที่ “รอยต่อ” ระหว่างฉากสองฉากน่ะ รอยต่อที่เรามักจะมองข้ามเวลาเราดูหนังหรือละครโทรทัศน์ ตัวละครอยู่ที่ตีก A แล้วตัวละครก็ไปอยู่ที่ตึก B เราเคยมองว่า “มันไม่มีอะไร” แทรกอยู่ระหว่างสองฉากนี้ แต่จริง ๆ แล้วใน “ความไม่มีอะไร” มันคือ “โอกาสให้เราได้จินตนาการอย่างเต็มที่” ไปด้วยได้ในขณะเดียวกัน  เราสามารถระเบิดจินตนาการของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ว่าระหว่างตัวละครเดินจากตึก A ไปตึก B มันเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และจริง ๆ แล้วเรามี “รอยต่อ” หรือ “ช่องว่างให้จินตนาการ” ได้แบบนี้ในเกือบทุก ๆ การเชื่อมซีนในหนังหรือละครโทรทัศน์

 

5.คือดูแล้วอยากให้มีคนทำโครงการแนว fan fiction มาก ๆ แต่นำมาทำกับหนัง เพื่อเติม “สิ่งที่หายไป” ในหนังเก่า ๆ แต่ละเรื่อง อย่างเช่นโครงการ

 

5.1 เติมฉากที่หายไปในหนังของ Alfred Hitchcock ลองจินตนาการดูว่า ในรอยต่อระหว่างฉากสองฉากในหนังของ Hitchcock เราสามารถสร้างฉากอะไรขึ้นมาได้บ้าง

 

5.2 เติมฉาก “การทำงาน” ในหนังเรื่องต่าง ๆ  เพราะ “ช่วงเวลาขณะทำงาน” ของตัวละคร มักจะเป็นสิ่งที่หนังหลายเรื่องไม่ได้ถ่ายทอดออกมา (ยกเว้นหนังที่ focus ไปที่การทำงาน อย่างเช่น APP WAR)  อย่างเช่น ให้สร้างฉากนางเอกของอีหล่าเอ๋ย ขณะทำงานเป็นเวลา 8 ชั่วโมงในโรงงาน

 

5.3 เติมฉากที่หายไปในส่วนท้ายของหนังโรแมนติก ประเภทที่ตัวละครแยกกันไปแล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตัวละครพระเอกนางเอกในระหว่างนั้น

 

6.แต่โครงการแนว fan fiction for films ที่เราอยากให้มีคนทำมากที่สุด คือโครงการที่จัดการประกวด โดยเปิดให้คนส่งหนังมา เพื่อถ่ายทอดจินตนาการว่า ตัวละครพระเอกในหนังเรื่องต่าง ๆ เวลา “ชักว่าว” เขาทำอย่างไรกันบ้าง 55555

 

ดู L’ELLIPSE ได้ที่ลิงค์นี้ถึงวันที่ 20 ก.ย.นะ

https://www.e-flux.com/video/416968/l-ellipse/

 

No comments: