Tuesday, September 06, 2022

THE WORLD OF KILLING PEOPLE (2022, Kanphong Banjongphinij, A+)

 

THE WORLD OF KILLING PEOPLE (2022, Kanphong Banjongphinij, A+)

คืนหมีฆ่า

 

serious spoilers alert

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

1.ดูแล้วก็ก้ำกึ่งนะ เพราะมันมีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบพอ ๆ กัน 5555 เหมือนช่วงกลางเรื่องเราชอบถึงระดับ A+30 แล้วหลังจากนั้นระดับความชอบก็ลดลงเรื่อย ๆ จนลงมาอยู่ที่ A+ ในที่สุด 55555

 

2.ส่วนที่ชอบก็คือมันดูเป็นตัวของตัวเองดี เหมือนเป็นหนังเมากาว เมายา อยากทำอะไรก็ทำ อยากใส่อะไรก็ใส่ เละตุ้มเป๊ะไปหมด เหมือนไม่ต้องแคร์อะไรอีกแล้ว เหมือนบางช่วงเราเดาทางหนังไม่ออกเพราะเรานึกไม่ถึงว่าหนังมันจะโง่หรือมันจะไม่สมเหตุสมผลจนถึงขนาดนี้ 55555 และเอาเข้าจริงแล้วอีกปัจจัยที่ทำให้ชอบหนังในระดับนึง ก็เป็นเพราะว่ามันเป็นหนังไทยด้วยแหละ มันเลยไม่ค่อยมีหนัง cult หนังเสียสติ หนังบ้าดีเดือดเรื่องอื่น ๆ ของไทยมาเป็นตัวเปรียบเทียบ เพราะฉะนั้นถึงแม้เราจะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันห่วยหรือมันไม่สนุก แต่มันก็มีความน่าจดจำบางอย่าง แต่ถ้าหากมันเป็นหนังอเมริกันหรือหนังญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสองประเทศที่ผลิตหนัง cult ออกมาเยอะมาก ๆ หนังเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นหนัง cult ห่วย ๆ เรื่องนึงที่สู้หนัง cult เรื่องอื่น ๆ ไม่ได้ แต่พอมันเป็นหนังไทย ความเสียสติของมันเลยช่วยให้มันโดดเด้งออกมา

 

3.ฉากที่ชอบที่สุดในหนังก็คือฉากที่แคร์ ปาณิสรา ริกุลสุรกาน จัดการกับผู้ร้ายน่ะแหละ คือฉากนั้นทำให้นึกถึงฉากสาวกังฟูต่อสู้กับปีศาจใน HOUSE (1977, Nobuhiko Obayashi) มาก ๆ ในแง่การสร้างความ surprise ในแบบที่ดีและน่าประทับใจ คือฉากนี้นี่แหละที่ทำให้ระดับความชอบพุ่งขึ้นสู่ A+30 แต่พอฉากนั้นลงเอยแบบโง่ ๆ ระดับความชอบก็ค่อย ๆ ฝ่อลงมา 55555

 

4.อีกส่วนที่ช่วยให้เราชอบหนังในระดับนึงคือการที่มันเลือกจะเป็นหนังตลกด้วย เพราะทุกอย่างในหนังมันดูไร้เหตุผลมาก ๆ ซึ่งถ้าหากมันทำตัวเองเป็นหนัง slasher แบบจริงจังแต่เนื้อเรื่องยังคงเป็นแบบนี้ มันจะกลายเป็นอะไรที่แย่มาก เพราะมันเต็มไปด้วยความบังเอิญและไม่สมเหตุสมผล แต่พอมันนำเสนอตัวเองเป็นหนังตลก เราก็เลยพอมองข้ามความไม่สมเหตุสมผลได้ในระดับนึง แต่ก็แค่ในระดับนึงนะ เพราะพอหนังยิ่งดำเนินไปบนความไม่สมเหตุสมผลในแบบที่ขัดอกขัดใจเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เราก็เหมือนทนไม่ไหวกับมันอีกต่อไป 55555 คือเหมือนหนังมันตามใจตัวเองมากเกินไปในแบบที่ไม่เข้าทางเราน่ะ

 

5.เราว่าฉากเปิดเรื่องมันน่าสนใจดีในแง่ที่ว่า มันเหมือนเป็นการบอกใบ้กลาย ๆ ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง slasher ธรรมดาที่มีฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่าคนธรรมดาน่ะ เพราะฉากเปิดเรื่องมันมีทั้ง “ฆาตกรโรคจิต”, “เหยื่อที่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่มีความเป็นฆาตกรอยู่ในตัวด้วย” และ “มือสังหาร” เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้ก็เลยเหมือนเป็นการบอกใบ้กลาย ๆ ว่า ในหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยตัวละครที่ไม่ใช่คนปกติ มันไม่ได้มีแค่ฆาตกรโรคจิตกับเหยื่อ แต่มันเต็มไปด้วยตัวละครที่ไม่ธรรมดา  

 

6.ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ไอเดียแบบนี้มันเข้าทางเรามาก ๆ เพราะเราก็อยากให้มีคนสร้างหนังแบบนี้ออกมาเหมือนกัน หนังที่นำเอาอะไรแรง ๆ จากหนังหลาย ๆ เรื่องมายำใส่เข้าด้วยกัน มาปะทะกัน ซึ่งถ้าหากว่ากันเฉพาะ “ไอเดีย” แล้ว หนังเรื่องนี้ก็น่าจะเข้าทางเรา เพราะมันมีทั้ง

 

6.1 ความ slasher ฆาตกรไล่ฆ่ากลุ่มหนุ่มสาวขณะไปพักร้อนแบบ FRIDAY THE 13TH (1980, Sean S. Cunningham)

 

6.2 ความฆาตกรโรคจิตไล่ฆ่าคนเพื่อแก้แค้น แบบ I KNOW WHAT YOU DID LAST SUMMER (1997, Jim Gillespie)

 

6.3 ฉากเปิดเรื่องแบบหนังชุด SCREAM

 

6.4 ผู้จัดการโรงแรมที่ไม่น่าไว้ใจแบบ VACANCY (2007, Nimrod Antal)

 

6.5 ตัวละครเหยื่อที่มีความสามารถในการต่อสู้ แบบใน HOUSE, YOU’RE NEXT (2011, Adam Wingard), THE HUNT (2020, Craig Zobel)

 

6.6 ตัวละครเหยื่อที่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่มีความโรคจิตเป็นของตนเอง

 

6.7 กลุ่มมือสังหารแบบใน YOU’RE NEXT

 

6.8 การแหกกฎหนัง slasher ด้วยการที่ตัวละครที่รอดเป็นคนท้าย ๆ ในหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่ type ของตัวละครที่มักจะรอดเป็นคนท้าย ๆ ในหนัง slasher 555555

 

7.แต่ถึงแม้ไอเดียบางอย่างในหนังจะเข้าทางเรา แต่หนังกลับทำออกมาแล้วแทบไม่เข้าทางเราเลย 55555 คือเราว่าถ้าหากหนังเรื่องนี้มันทำดี ๆ มันจะเป็นหนัง cult classic แบบ HOUSE หรือหนังของ Quentin Tarantino, Robert Rodriguez หรือหนังอย่าง PICK ME UP (2006, Larry Cohen) ที่เป็นเรื่องของฆาตกรโรคจิตปะทะฆาตกรโรคจิตได้เลยนะ แต่เหมือนหนังมันผสมทุกอย่างออกมาแล้วมันไม่ลงตัวเลยสำหรับเราน่ะ เหมือนเป็นยำใหญ่ที่ทดลองผสมนั่นนี่นู่นเข้าไป คือไอเดียในการทดลองผสมนั่นนี่นู่นเข้าไปด้วยกันแบบไม่แคร์ genre หนังมันเป็นไอเดียที่เข้าทางเรา แต่คือมันผสมออกมาแล้วรสชาติมันแย่พอสมควรสำหรับเราน่ะ มันผสมกันออกมาแล้วไม่ถูกปากเราเลย ตัวละครแรง ๆ ที่ควรจะได้มาปะทะกันหรือแผลงฤทธิ์ใส่กันอย่างเต็มที่ กลับถูกฆ่าตายง่าย ๆ แบบไม่ต้องลุ้นอะไร มันก็เลยน่าเสียดายสำหรับเรา

 

8.สรุปว่าก็ชอบ “ไอเดีย” บางอย่างในหนังนะ, ชอบความแหก genre ของมัน, ความเป็นตัวของตัวเองของมัน, ความเสียสติ ไม่แคร์อะไรอีกแล้วของมัน ซึ่งอะไรแบบนี้ทำให้เรารู้สึกว่าหนังมันไม่ได้น่าเบื่อแบบหนังอย่าง THE ANTIQUE SHOP (2022) ที่ดูเหมือนจะเป็นหนังที่ทำตามสูตรสำเร็จของ genre โดยไม่ค่อยมีอะไรสร้างสรรค์เลย และการที่หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยตัวละครแรง ๆ ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากกว่าหนังอย่าง “ทวงคืน” ที่เต็มไปด้วยตัวละครที่น่ารำคาญสำหรับเรา

 

แต่ถึงแม้หนังเรื่องนี้มันจะมีคุณสมบัติต่าง ๆ ที่เราชอบเหล่านี้ แต่มันก็ทำออกมาไม่เข้าทางเราอยู่ดี 55555 เราว่าถ้าหากมันเป็นหนัง slasher ที่จริงจังกว่านี้, สมเหตุสมผลกว่านี้ และสามารถสร้างสถานการณ์ให้ตัวละครแรง ๆ อิทธิฤทธิ์สูง ๆ มาปะทะกันอย่างดุเดือด ถึงพริกถึงขิงกว่านี้ หรือลุ้นกว่านี้ มันก็คงจะเป็นหนังที่เข้าทางเรามาก ๆ

 

9.ปีนี้เป็นปีของแคร์ ปาณิสรา ริกุลสุรกานจริง ๆ ชอบเธออย่างสุด ๆ ใน “เทอมสอง สยองขวัญ” และเราว่าในหนังเรื่องนี้เธอก็แสดงดีมาก ๆ ด้วย หวังว่าเธอจะได้บทดี ๆ ในหนังเรื่องต่อ ๆ ไป

No comments: