Sunday, July 03, 2005

FRIDAY NIGHT (A+)

วันเสาร์ได้ดู

1.THE ASSASSINATION OF RICHARD NIXON (A+) รอบสอง

2.FRIDAY NIGHT (CLAIRE DENIS, A+)



THE ASSASSINATION OF RICHARD NIXON

--ยิ่งได้ดู THE ASSASSINATION OF RICHARD NIXON ก็ยิ่งชอบหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงมาก ตอนนี้มีแววว่าหนังเรื่องนี้อาจจะติดอันดับ “หนังอเมริกันที่โดนใจที่สุดในปี 2005” หลังจากที่ MONSTER (2003, PATTY JENKINS, A+) ติดอันดับ “หนังอเมริกันที่โดนใจที่สุดในปี 2004” ของดิฉันไปแล้ว

--ดู THE ASSASSINATION OF RICHARD NIXON แล้วอยากร้องไห้ เพราะ “ดนตรีประกอบ” และ “ใบหน้าของฌอน เพนน์” ในเรื่องนี้มันบีบคั้นจิตใจอย่างรุนแรงมาก

--รอบแรกที่ดูรู้สึกว่าฌอน เพนน์เล่นค่อนข้าง overacting แต่นั่นคงเป็นเพราะดิฉันยังไม่เข้าใจและยังไม่มีอารมณ์ร่วมกับตัวละครที่เขาแสดงเท่าไหร่ (ซึ่งเป็นตัวละครที่ชอบแสดงอารมณ์รุนแรง) แต่พอได้ดูรอบสอง และคุ้นเคยกับตัวละครตัวนี้มากขึ้นแล้ว ก็รู้สึกว่าฌอน เพนน์เล่นได้ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงต้นๆเรื่อง รู้สึกว่าใบหน้าของเขามีรายละเอียดทางการแสดงเยอะมาก และแม้แต่ในฉากที่เขาหลับตา ก็ยังรู้สึกว่าอารมณ์จากใบหน้าของเขามันแผ่ออกมาอย่างรุนแรง ทั้งๆที่เขาไม่ต้องสื่ออารมณ์ทางดวงตาในฉากนั้นเลย อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังของเรื่อง เมื่อ “แซม บิค” เป็นบ้าและระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง การแสดงของฌอน เพนน์ก็ยังจัดว่าดีอยู่ แต่ดิฉันจะประทับใจกับการแสดงของเขาตอนช่วงที่ “ไม่ระเบิดอารมณ์” มากกว่า

--ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปต่อ “การแสดง” ในแบบนี้ เคยเกิดขึ้นกับดิฉันตอนที่ดู THOSE WHO LOVE ME CAN TAKE THE TRAIN (1998, PATRICE CHEREAU, A+) เหมือนกัน เพราะตอนที่ดูหนังเรื่องนี้รอบแรก ดิฉันรู้สึกว่าการแสดงในหนังเรื่องนี้มันโอเวอร์แอคติ้งเกินไป แต่พอได้ดูรอบสอง กลับรู้สึกว่าการแสดงในหนังเรื่องนี้มันดีมาก ดิฉันเดาว่าสาเหตุที่รู้สึกเช่นนี้เป็นเพราะว่าตอนที่ดูรอบแรก ดิฉันยังไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวละครและไม่เข้าใจแรงกดดันในใจตัวละครเท่าไหร่ ก็เลยทำให้ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวละครต้องแสดงออกแบบนั้น แต่พอได้ดูรอบสอง และเข้าใจ “สิ่งที่อยู่ในใจ” ตัวละครมากขึ้นแล้ว ก็เลยทำให้เข้าใจว่าทำไมตัวละครต้องแสดงออกแบบนั้น
http://www.imdb.com/title/tt0118834/

--ต้องขอบคุณน้อง merveillesxx ในเว็บบอร์ดไบโอสโคปมากๆค่ะที่บอกเรื่อง “WERNER HERZOG” ในท้ายเครดิต THE ASSASSINATION OF RICHARD NIXON เพราะตอนที่ดูรอบแรกดิฉันไม่ได้อยู่ดูเครดิตท้ายเรื่องต่อ พอดูรอบสองก็เลยนั่งดูเครดิตต่อ ชื่อของ WERNER HERZOG เลื่อนผ่านหน้าจอไปอย่างรวดเร็วมาก ต้องขอชมว่าน้อง merveillesxx ตาไวจริงๆ

--ไม่รู้เหมือนกันว่า WERNER HERZOG ช่วยเหลือในการสร้างหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าหากดูจากอารมณ์รวมๆของหนังเรื่องนี้แล้ว ดิฉันไม่ได้นึกไปถึงหนังของ WERNER HERZOG แต่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีอารมณ์เข้ากันได้ดีกับหนังเยอรมันของ OSKAR ROEHLER (NO PLACE TO GO) และ CHRISTIAN PETZOLD (THE STATE I AM IN)



HOTEL (JESSICA HAUSNER)

--ชอบตัวละครทุกคนในเรื่อง HOTEL ค่ะ

--CHRISTOPHER SCHARF พระเอกหนังเรื่องนี้หน้าตาน่ารักมากๆ

--อยากดู HOTEL (JESSICA HAUSNER) รอบสอง และอยากให้ผู้ชมหลายๆคนช่วยกันแต่งเรื่อง HOTEL ใหม่ตามใจชอบ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก HOTEL ที่ได้ดูมา เพราะรู้สึกว่า HOTEL ของ JESSICA HAUSNER เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ใช้จินตนาการของตัวเองสูงมาก คิดว่าผู้ชมแต่ละคนคงจะ “ให้คำตอบ” ที่แตกต่างกันสำหรับปริศนาต่างๆในเรื่องนี้ และผู้ชมแต่ละคนสามารถเลือกได้เองว่าจะให้ตัวละครแต่ละคนในเรื่อง อย่างเช่น “พระเอก” พบกับชะตากรรมเช่นไร

--HOTEL (JESSICA HAUSNER) เป็นหนังที่ทำให้ดิฉันกลัวเมื่ออยู่นอกโรง ปกติแล้วเวลาดูหนังสยองขวัญ ดิฉันมักจะหายกลัวเมื่อดูเสร็จแล้ว เพราะได้เห็นว่าปีศาจได้ถูกกำจัดไปแล้ว และได้เห็นว่าวิธีกำจัดปีศาจเป็นเช่นไร แต่พอดู HOTEL เสร็จ ดิฉันกลับรู้สึกหวาดระแวงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองพบนอกโรง ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟสลัวๆตรงมุมทางเดิน หรือผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้น 1

--ชอบดนตรีประกอบใน HOTEL มากๆ



มหาลัยเหมืองแร่

ชอบมหาลัยเหมืองแร่ในระดับ A+ ค่ะ ชอบภาพเหมืองร้างตอนท้ายเรื่องอย่างมาก

หนังเกี่ยวกับคนงานเหมืองที่ชอบมากก็มีเรื่อง

1BLIND SHAFT (2003, LI YANG, A+/A)

2.TAMAS AND JULI (1997, ILDIKO ENYEDI, HUNGARY, A-)
http://www.imdb.com/title/tt0135667/


ส่วนหนังเกี่ยวกับคนงานเหมืองที่อยากดูมากๆก็มีเรื่อง

1.THE DEVIL’S MINER


2.ABOVE US THE EARTH (1977, KARL FRANCIS, BRITISH)
http://screenandsound.llgc.org.uk/cronfa/title.php?titleno=3134

หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนงานเหมืองชาวเวลส์และสิ่งแวดล้อมของพวกเขา โดยมีการนำฟุตเตจหนังสารคดีเกี่ยวกับการปิดเหมืองในปี 1975 และความเห็นของคนงานเหมืองเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาตัดสลับกับ “การแสดง” ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนงานเหมืองวัยชราคนหนึ่งที่ล้มป่วยด้วยโรคปอดและตายไป

หนังเรื่องนี้มีบรรยากาศที่เคร่งขรึม และสิ่งที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ KARL FRANCIS ผู้กำกับหนังเรื่องนี้เป็นลูกชายคนงานเหมือง และเขาต้องนำบ้านของตัวเองไปจำนองเพื่อหาเงินมาสร้างหนังเรื่องนี้

อ่านประวัติการทำงานของ KARL FRANCIS ได้ที่
http://www.screenonline.org.uk/people/id/554566/



FRIDAY NIGHT

--นอกจากหนังเรื่องนี้จะชื่อเรื่องว่า FRIDAY NIGHT หรือ BEFORE SUNRISE ได้แล้ว ดิฉันยังรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้อาจจะชื่อเรื่องว่า THE SENSUAL WORLD (มาจากชื่อเพลงของเคท บุช) ได้ด้วยค่ะ เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศในหนังเรื่องนี้มันอบอวลไปด้วยความรัญจวนใจอย่างมากๆ

--ดิฉันมักจะรู้สึกว่าหนังหลายๆเรื่องถ่ายทอด “ทิวทัศน์อันงดงามน่าอยู่” ของชนบทออกมาได้ดีมาก แต่ FRIDAY NIGHT เป็นหนังเพียงไม่กี่เรื่อง ที่ทำให้ดิฉันรู้สึกดีกับกรุงเทพมากยิ่งขึ้น โดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันเหมือนกับว่าหนังเรื่อง FRIDAY NIGHT ทำให้ดวงตาหรือประสาทสัมผัสบางอย่างของดิฉัน เริ่มรู้สึกได้ถึงเสน่ห์บางอย่างที่แฝงซ่อนอยู่ในเมืองใหญ่

ปกติแล้วดิฉันจะกินข้าวที่ศูนย์อาหารชั้นหกมาบุญครอง และมักจะรู้สึกรำคาญผู้คนพลุกพล่านที่นั่น แต่หลังจากดู FRIDAY NIGHT เสร็จ ดิฉันกลับรู้สึกว่าท้องถนนในกรุงเทพช่างมีบรรยากาศที่งดงาม, ซอยศาลาแดงงดงาม, ถนนสีลมงดงาม และบรรยากาศในศูนย์อาหารชั้นหกก็ดูน่ารื่นรมย์สนุกสนาน ไม่รู้สึกว่ามันพลุกพล่านน่ารำคาญเหมือนแต่ก่อน หนังเรื่อง FRIDAY NIGHT ทำให้ดิฉันอารมณ์ดีอย่างไม่มีสาเหตุ บางทีอาจเป็นเพราะฉากจบที่ให้ความรู้สึกงดงามอย่างสุดๆในหนังเรื่องนี้ และอาจเป็นเพราะหนังเรื่องนี้นำเสนอ “เหตุการณ์ในฝัน” ที่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิตจริงของดิฉัน

--ชอบใบหน้าของนางเอกในเรื่องนี้มาก หลายๆครั้งใบหน้านี้ไม่ได้บอกอารมณ์อะไรอย่างชัดเจน แต่รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว

--รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ถ่ายทอดสัมผัสทางผิวหนังและสัมผัสทางอุณหภูมิได้ตรงใจตัวเองมากๆ ปกติแล้วหนังหลายๆเรื่องมักจะไม่ทำให้รู้สึกถึง “อุณหภูมิ” ของสถานที่เกิดเหตุการณ์ในเรื่อง หรือ “อุณหภูมิ” ที่ตัวละครรู้สึก ยกเว้นแต่หนังที่ใช้ฉากหลังเป็นสถานที่ที่มีอากาศเย็นจัด แต่ FRIDAY NIGHT กลับทำให้ดิฉันรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิในรถ, นอกรถ, ข้างๆรถ, อุณหภูมิขณะสวมกอด, ขณะเครื่องฮีทเตอร์ทำงานหรือไม่ทำงาน, อุณหภูมิขณะเปิดหน้าต่างระเบียง, ขณะลมพัดมาโดนผิวหนัง และอุณหภูมิที่ตัวละครรู้สึกขณะใส่ถุงเท้า

--ขณะที่ดู THE WEDDING DATE เสร็จ ดิฉันรู้สึกว่า CLAIRE KILNER ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ในการทำให้ดิฉันรู้สึกร่วมไปกับ “ความรักที่เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน” ของพระเอกนางเอกในเรื่อง แต่ทำให้ดิฉันรู้สึกร่วมไปกับ “ความผูกพันแบบรักระคนเจ็บปวดที่ใช้เวลายาวนาน” ระหว่างนางเอกกับคนรักเก่าและกับคนในครอบครัวได้ดี และนั่นก็เลยทำให้ดิฉันรู้สึกว่า การเล่าเรื่องราวความผูกพันที่ “เกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว” คงจะเป็นสิ่งที่ยากมากๆ เท่าที่นึกออกก็มี THE BRIDGES OF MADISON COUNTY (A+) และ BEFORE SUNRISE (A+) ที่สามารถถ่ายทอดความรักความผูกพันที่เกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็วออกมาได้ดีมากๆ

อย่างไรก็ดี FRIDAY NIGHT ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถทำได้ในสิ่งที่ THE WEDDING DATE ดูเหมือนจะล้มเหลว เพราะ FRIDAY NIGHT ทำให้ดิฉันรู้สึกเชื่อในความรู้สึกและการกระทำของพระเอกนางเอกในเรื่อง พระเอกนางเอกของ FRIDAY NIGHT คงไม่ได้รักกันแต่อย่างใด (ในความเห็นของดิฉันจากการดูเพียงรอบเดียว) แต่ความรู้สึกดีๆที่ทั้งสองมอบให้ต่อกันในค่ำคืนหนึ่ง มันดูเอ่อล้นอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากหน้าจอภาพยนตร์จนสัมผัสได้ ในขณะที่ดิฉันกลับสัมผัสความรู้สึกรักกันของพระเอกนางเอกใน THE WEDDING DATE ไม่ค่อยจะได้ รู้สึกว่าทั้งสอง “ถูกใจกัน” มากกว่าจะ “รักกัน” เหมือนอย่างที่เนื้อเรื่องพยายามจะบีบให้เป็น



ถ้าหากพูดถึงหนังเกี่ยวกับความทรงจำแล้ว ผู้กำกับที่ดิฉันนึกชื่อขึ้นมาเป็นคนแรกก็คือ ALAIN RESNAIS ค่ะ

http://www.filmmakermagazine.com/spring2000/features/all_tomorrow.php


หนังเกี่ยวกับความทรงจำของ ALAIN RESNAIS ที่น่าจะหามาดูได้ก็มี

1.HIROSHIMA, MON AMOUR (1959, A+)
http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/B000093NR0/qid=1120326128/sr=1-7/ref=sr_1_7/002-0068224-3452033?v=glance&s=dvd

http://www.filmmakermagazine.com/spring2000/features/images/all_tomorrow/renais3.jpg


หนังเรื่องนี้เขียนบทโดย MARGUERITE DURAS และมีเนื้อหาเกี่ยวกับหนุ่มญี่ปุ่นกับสาวฝรั่งเศสที่มาพบกันในเมืองฮิโรชิม่า และทั้งสองก็ได้สำรวจอดีตที่ฝังใจของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยฝ่ายชายนั้นมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากระเบิดปรมาณู ส่วนฝ่ายหญิงเคยรักกับทหารเยอรมัน ดังนั้นพอสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เธอก็เลยถูกชาวฝรั่งเศสลงโทษด้วยการจับไปโกนหัว

http://www.filmref.com/directors/dirpages/resnais.html

2.LAST YEAR AT MARIENBAD (1961, A+)
http://www.amazon.com/exec/obidos/tg/detail/-/1572524308/qid=1120326128/sr=1-6/ref=sr_1_6/002-0068224-3452033?v=glance&s=dvd

http://images.amazon.com/images/P/1572524308.01.LZZZZZZZ.jpg

เรื่องราวของชายหนุ่ม X ที่มาพบกับหญิงสาว A โดยบังเอิญในโรงแรมแห่งหนึ่ง โดย X พยายามเกลี้ยกล่อมให้ A เชื่อว่าทั้งสองเคยพบกันมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเขาบอกว่าเขาเคยเจอ A เมื่อ 1 ปีที่แล้วที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่งที่คล้ายกับมาเรียนบาด โดยอาจเป็นรีสอร์ทที่อยู่ในเฟรเดอริคส์เบอร์กหรือในบาเดน-ซัลซา

จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือการถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตผ่านทางมุมมองของตัวละคร ดังนั้นภาพที่ปรากฏออกมาจึงไม่ตรงกับโลกแห่งความเป็นจริง เพราะนั่นเป็นเพียงภาพที่อยู่ในความทรงจำของตัวละคร ฉากหนึ่งที่เห็นจุดนี้ได้ชัดก็คือภาพของกลุ่มคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับแนวต้นไม้ เพราะในฉากนี้ คน “มีเงา” ทอดลงบนพื้น แต่ต้นไม้ในฉากนี้ “ไม่มีเงา” ทั้งๆที่ทั้งคนและต้นไม้ต่างก็อยู่ใต้ดวงอาทิตย์ในเวลาเดียวกัน

http://www.filmmakermagazine.com/spring2000/features/images/all_tomorrow/renais1.jpg




LAST YEAR AT MARIENBAD เขียนบทโดย ALAIN ROBBE-GRILLET ซึ่งเป็นนักแต่งนิยายและเคยกำกับหนังเองด้วยค่ะ


หนังเกี่ยวกับความทรงจำที่ดิฉันชอบมากเรื่องอื่นๆ

3.TIME REGAINED (1999, RAOUL RUIZ, A+)
http://www.amazon.com/exec/obidos/ASIN/B0000584ZF/qid%3D1120326517/sr%3D11-1/ref%3Dsr%5F11%5F1/002-0068224-3452033

หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความทรงจำของผู้ชายคนหนึ่ง

http://www.imagesjournal.com/issue08/reviews/nyff/timeregained.htm





ขอบคุณคุณ KIT มากค่ะที่พูดถึงเรื่องคุณค่าของคนแต่ละคน จริงๆแล้วดิฉันก็ไม่ได้รู้สึกหมกมุ่นกับความรู้สึกที่ว่าตัวเองไร้ค่ามากนักหรอกค่ะ หรือถ้าจะพูดกันตามจริงแล้ว ตอนนี้ดิฉันรู้สึกว่าตัวเอง “มีความสุขดี” ไม่ว่าคนอื่นๆจะเห็นว่าดิฉันไร้ค่าหรือมีราคาเท่าน้ำอัดลมหรือไม่ก็ตาม

แต่พอดีดูหนังเรื่อง THE WEDDING DATE แล้วทำให้นึกไปถึงการที่คนบางคนมักประสบความสำเร็จในเรื่องความรักและความใคร่ ในขณะที่คนบางคนไม่ค่อยประสบความสำเร็จน่ะค่ะ

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็เลยทำให้นึกถึงสิ่งที่น้อง VESPERTINE เคยโพสท์ไว้ในหน้า 59 เกี่ยวกับการแข่งขันกันของเด็กหญิงบางคน

“มีการตั้งเป็นกลุ่มสายเดี่ยวจอมซ่า คอยไล่จับเด็กผู้ชายและแข่งขันกันทำประตู ถ้าเด็กหญิงคนใดจับผู้ชายหน้าตาดีไปนอนได้ ก็ได้ 20 คะแนน ถ้าหล่อน้อยลงมาก็เป็น 10 คะแนน 5 คะแนน”

อ่านข่าวนี้แล้วก็เลยนึกถึงอดีตของตัวเองสมัยที่ชอบออกเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ สมัยนั้นดิฉันมักพบว่าเพื่อนๆดิฉันได้ฝรั่งไปกกกอดมากมายหลายคน ในขณะที่ดิฉันแทบไม่เคยประสบความสำเร็จในเรื่องทำนองนี้เลย ได้แต่ “ยินดีกับความสุขของเพื่อนๆ” เท่านั้น

ในตอนนั้นเพื่อนๆของดิฉันก็มีการแข่งขันกันทำคะแนนค่ะ โดยจะเก็บคะแนนตามจำนวนดาวของโรงแรมที่ฝรั่งพาไปนอนด้วย ถ้าหากฝรั่งพาใครเข้าโรงแรม 4 ดาว คนนั้นก็ได้ 4 คะแนน ดังนี้เป็นต้น เพื่อนๆดิฉันบางคนทำคะแนนพวกนี้ได้เยอะมาก จนดิฉันเรียกเพื่อนๆกลุ่มนี้ว่า กลุ่ม “ดาวล้านดวง” เพราะพวกเขาทำคะแนนได้เยอะมากจริงๆ ส่วนดิฉันกับเพื่อนบางคนอยู่กลุ่ม “สมาคมชมดาว” ค่ะ เพราะน๊านๆ นานๆที กว่าจะหาฝรั่งไปนอนด้วยได้ และก็ได้เข้าแต่โรงแรมประเภท 1-2 ดาวเท่านั้น ไม่มีวันได้ทาบรัศมีกับเพื่อนๆกลุ่ม “ดาวล้านดวง” ได้เลย

และต่อมา ก็เป็นไปตามความคาดหมาย อานิสงส์ของการเล่นเกมนี้ ก็ส่งผลให้เพื่อนบางคนในกลุ่ม “ดาวล้านดวง” ได้สามีเป็นฝรั่งออสเตรเลียและย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียประมาณ 7-8 ปีแล้วค่ะ รู้สึกว่ากฎหมายออสเตรเลียจะยอมรับความสัมพันธ์แบบเกย์ และเพื่อนดิฉันก็ได้เป็น RESIDENT หรืออะไรสักอย่างที่นั่น

เพื่อนๆคนไทยบางคนที่รู้จักที่สีลม ภายในเวลาไม่นาน พวกเขาก็หาสามีฝรั่งและได้ย้ายตามสามีฝรั่งไปอยู่ต่างประเทศกันหมด โดยเฉพาะไปที่อังกฤษกับเยอรมนี มีแต่ดิฉันนี่แหละที่ตกอับอยู่ที่นี่คนเดียว อย่างไรก็ดี ดิฉันก็รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีความสุขดีค่ะ เพียงแต่ว่าถ้าหากหนังเรื่องไหนมีตัวละครประเภทที่ “ยืนอยู่ในเงามืด ขณะที่เพื่อนๆอยู่ในแสงไฟอันเฉิดฉาย” ดิฉันก็อาจจะชอบหนังเรื่องนั้นมากเป็นพิเศษ



--KRIS MARSHALL ใน THE MERCHANT OF VENICE ดูกวนๆน่ารักดี เขาเกิดปี 1973 เห็นใน imdb.com มีคนบอกว่าเขาดูเหมือน MATTHEW LILLARD (SCOOBY DOO) ซึ่งดิฉันก็คิดว่าดาราหนุ่มทั้งสองคนนี้ มีเสน่ห์ในแบบยียวนกวนบาทาเหมือนๆกัน
http://www.imdb.com/name/nm0550994/

KRIS MARSHALL เคยเล่นเรื่อง LOVE ACTUALLY (C+), DEATHWATCH (2002, C+) และ IRIS (A-) ด้วย แต่ดิฉันจำเขาใน 3 เรื่องนี้ไม่ได้


THE JACKET

--ดีใจมากค่ะที่คุณอ้วนชอบ THE JACKET (2005, JOHN MAYBURY) ในระดับ A ส่วนตัวดิฉันชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+ ค่ะ สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้ก็รวมถึง

--ห้องที่มีสภาพคล้ายห้องเก็บศพ แต่น่าเข้าไปนอนเล่นอย่างมากๆ

--ชอบการแสดงของเอเดรียน โบรดี้ในเรื่องนี้มาก ใบหน้าของเขาแสดงอารมณ์ได้รุนแรงจริงๆ

--รู้สึกว่าเนื้อหาของหนังในช่วงท้ายเรื่อง ซึ้งอย่างมากๆ

--ชอบอารมณ์โดยรวมๆและบรรยากาศโดยรวมๆในหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้นำเสนอ “โลกจินตนาการ” ที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างรุนแรงมากสำหรับดิฉัน

--ชอบดนตรีประกอบมาก และก็ชอบเพลงตอนจบอย่างมากๆ ซึ่งก็คือเพลง WE HAVE ALL THE TIME IN THE WORLD ของ DAVID ARNOLD FEATURING IGGY POP

--ชอบที่พระเอกของเรื่องเหมือนกับตายซ้ำตายซาก ตั้งแต่ “ตาย” ในอิรัก แล้วก็มา “ตาย” กลางหิมะในอเมริกาเหนือ แล้วก็มารู้ล่วงหน้าว่าตัวเองอาจจะ “ตาย” ในโรงพยาบาลอีกรอบ

--อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบมากก็คือดวงตาอันงดงามของ DANIEL CRAIG ในเรื่องนี้ รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ถ่ายดวงตาคนออกมาได้สวยมากๆเลยค่ะ โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้า (หรือเปล่า) ของ DANIEL CRAIG ในเรื่อง รู้สึกว่าถ้าหากตัวเองมีดีวีดีหนังเรื่องนี้ อยากจะ PAUSE ภาพของ DANIEL CRAIG เอาไว้ แล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจ้องดวงตาของเขาในเรื่องนี้สักประมาณ 60 นาที

รู้สึกว่า MATTHEW VAUGHN ผู้กำกับหนังเรื่อง LAYER CAKE พูดถึงดวงตาของ daniel craig ไว้ด้วยค่ะ
http://www.bluematia.com/latest_news.htm


http://www.bluematia.com/jacketprem_getty3.jpg


HOSTAGE

--ชอบ HOSTAGE (2005, FLORENT EMILIO SIRI) ในระดับประมาณ B+ ค่ะ ตอนแรกก็ชอบในระดับ A- เท่าๆกับคุณอ้วน เพราะรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่สนุกมากตอนได้ดู แต่พอดูเสร็จแล้ว ก็แทบไม่ได้นึกถึงหนังเรื่องนี้อีก

ชอบการแสดงของ BEN FOSTER ใน HOSTAGE มากค่ะ รู้สึกว่าเขาเล่นเป็นผู้ร้ายโรคจิตได้น่ากลัวมาก และต่อมาก็ได้เห็นเขาแสดงใน SIX FEET UNDER ด้วย

http://eur.yimg.com/i/xp/premier_photo/d/df8b4155bf.jpg

BEN FOSTER เคยแสดงใน THE PUNISHER (2004, JONATHAN HENSLEIGH, A), THE HEART IS DECEITFUL ABOVE ALL THINGS และ THE LARAMIE PROJECT ด้วยค่ะ

No comments: