FAVORITE ARTIST
DEER กับผลงานชุด TRACK DELAY E.P.
ผลงานชุดนี้เปิดให้ดาวน์โหลดมาฟังกันได้ฟรีๆที่
http://www.ekwal.co.uk/ekl_001.html
ประกอบด้วยเพลง
1.DERAILLEUR (A+)
ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถด่วนขบวน 999 ที่ท่องไปในแกแลกซี่ต่างๆ ได้แล่นผ่านเนบิวลาร์ และหมู่ดาวเคราะห์น้อยใหญ่ โดยดาวเคราะห์บางดวงยังคงใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในดินแดนเทพนิยาย
2.ROW AFTER ROW (A)
3.PROJECTIONISTS NIGHTMARE (A+++++)
ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนคนคุมเครื่องโปรเจคเตอร์ฉายหนังแอบมีเซ็กส์ขณะทำงาน แต่เครื่องฉายหนังเกิดขัดข้องเป็นระยะๆ ทำให้คนคุมโปรเจคเตอร์ต้องผละจากกามกิจเพื่อมาปรับเครื่องฉายอยู่เรื่อยๆ ส่งผลให้การมีเซ็กส์ต้องสะดุดขัดข้องอยู่ตลอดเวลา
4.STATIONARY (WITH MOVE D&J) (A+++++)
ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนนั่งรถจักรไอน้ำในยุคโบราณ โดยรถไฟโบราณนี้แล่นผ่านยุโรปตะวันออกขณะที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาจัด แล้วอยู่ดีๆรถไฟคันนี้ก็มาโผล่ที่ป่าอะเมซอนในอเมริกาใต้ มีเสียงกบยักษ์ร้องระงมอยู่ข้างทางรถไฟ ก่อนที่รถไฟจะกลับมาอยู่ในดินแดนหมอกจัดอีกครั้ง โดยที่เราไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเราในรถไฟเป็นคนจริงๆหรือว่าเป็นหมอกลวงตากันแน่
รายละเอียดเกี่ยวกับวง DEER
freestyle slow-burn techno which draws on found sounds, organic synths and engaing emotional tensions. deer focusses on groove and fine detailed fragments, creating an acoustic space that equally suits headphones and the dance floor.
DEER เป็นนามแฝงของ MARTIN HERSCH เว็บไซท์ของเขาอยู่ที่
http://regicide.org/
ตอบคุณ pc
--จริงด้วย มิวสิควิดีโอเพลง SAMURAI ของ KODE9 + SPACEAPE ก็ให้ความรู้สึกถึงเครื่องจักร เหมือนกับหนังเรื่อง TETSUO THE IRON MAN
พูดถึงเรื่องเครื่องจักรและมนุษย์หุ่นยนต์แล้ว ก็เลยทำให้นึกถึงฉากต้นๆเรื่องของ I’M A CYBORG BUT THAT’S OK ที่เห็นนางเอกทำงานประกอบวิทยุ และทำตัวเหมือนเป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่งในสายพานโรงงาน ถ้าจำไม่ผิด คุณมโนธรรม เทียมเทียบรัตน์ในนิตยสาร FLICKS ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่าจุดนี้คล้ายๆกับหนังของ CHARLIE CHAPLIN
ฉากนั้นใน I’M A CYBORG BUT THAT’S OK ยังทำให้นึกถึงฉากมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ในมิวสิควิดีโอเพลง DON’T GIVE UP ของ CHICANE FEATURING BRYAN ADAMS ด้วย
ดูมิวสิควิดีโอนี้ได้ที่นี่
http://www.youtube.com/watch?v=QlGxGoXU2tw
--ดิฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าดนตรีแนว LEFTFIELD เป็นแนวยังไง แต่ชอบวง LEFTFIELD มาก รู้สึกว่าวงนี้จะทำเพลงบางเพลงใกล้เคียงกับ MASSIVE ATTACK อยู่บ้างเหมือนกัน
เพลงที่ดังมากของ LEFTFIELD คือเพลง OPEN UP ที่ได้ JOHN LYDON จากวง SEX PISTOLS มาร้องให้ ฟังเพลงนี้ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=zYYuvcs_yTM
เพลงมีความยาว 8 นาที 46 วินาที นักวิจารณ์บอกว่าเพลงนี้เป็นการผสม PUNK + DANCE ที่มาก่อนหน้า PRODIGY
เนื้อเพลง OPEN UP
http://www.stlyrics.com/lyrics/hackers/openup.htm
เคยซื้ออัลบัมชุด LEFTISM ของ LEFTFIELD ชอบอัลบัมชุดนี้มากในระดับ A+ โดยเฉพาะเพลง ORIGINAL ที่ได้ TONI HALLIDAY จากวง CURVE มาร้องให้
http://www.amazon.co.uk/Leftism-Leftfield/dp/B000025MGU/ref=sr_1_1/203-7715567-7484754?ie=UTF8&s=music&qid=1175407517&sr=1-1
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B000025MGU.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V24646998_.jpg
ดูมิวสิควิดีโอเพลง ORIGINAL ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=LcTmyvfF5_4
เห็นหน้า TONI HALLIDAY ในมิวสิควิดีโอ ORIGINAL แล้ว จำไม่ได้เลยว่าเป็นนักร้องวง CURVE เธอดูต่างไปจากในมิวสิควิดีโอ FAIT ACCOMPLI มาก
ดูมิวสิควิดีโอ FAIT ACCOMPLI ของ CURVE ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=SN5E-FYzm8c
--พูดถึงเรื่องความรู้สึกที่มีต่อคนต่างชาติแล้ว เมือเร็วๆนี้ดิฉันได้ดูหนัง 5 เรื่องที่พูดถึงคนพม่าในไทย) (คำว่าพม่าในที่นี้ใช้ในความหมายกว้าง และหมายถึงคนหลายๆเชื้อชาติที่มาจากประเทศพม่า) และก็รู้สึกประทับใจหนังเหล่านี้พอสมควร หนังเหล่านี้ได้แก่เรื่อง
1.GOLDEN SAND HOUSE (2005, CHULAYARNNON SIRIPHOL, A+)
หนังเรื่องนี้ให้สาวใช้ชาวไทยใหญ่ในบ้านมารับบทเป็นพจมาน สว่างวงศ์ และก็ทำออกมาได้น่ารักมาก
2.UNSEEN PARADISE (2007, นิสิตคณะนิเทศ จุฬา, A)
3.บ้าน (2007, นิสิตคณะนิเทศ จุฬา, A+)
หนังเรื่อง UNSEEN PARADISE กับ “บ้าน” เป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับเด็กๆชาวพม่าที่ติดตามพ่อแม่มาอยู่ในไทย พ่อแม่ของพวกเขาทำงานใช้แรงงานในไทย และก็ต้องให้ลูกๆมาเข้าโรงเรียนในไทย โชคดีที่มีบางโรงเรียนเปิดสอนให้แก่เด็กๆชาวพม่าเหล่านี้ โดยหากมองในแง่หนึ่งแล้ว การให้การศึกษาแก่เด็กต่างชาติจะเป็นการช่วยลดปัญหาสังคมได้อย่างมากๆ เพราะถ้าหากเด็กต่างชาติถูกกีดกันโอกาสทางการศึกษาด้วยแล้ว โอกาสที่เด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมาประกอบอาชีพที่สุจริตก็จะยิ่งน้อยลงไปด้วย
4.ADMIT (2007, นิสิตคณะนิเทศ จุฬา, A+++++)
หนังที่ทำให้เห็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาในระบบสวัสดิการรักษาสุขภาพในไทย หนังสารคดีเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตหนุ่มพม่าคนหนึ่งที่ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่คอ ชีวิตเขาน่าสงสารพออยู่แล้วจากการถูกทำร้าย แต่เคราะห์กรรมก็กระหน่ำซ้ำเติมเขามากขึ้นอีกเพราะการที่เขาไม่มีบัตรประกันสุขภาพติดตัว ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเขาพุ่งขึ้นจากเดิมเป็นแสนๆบาท แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย
5.เมืองสมุทร (2007, นิสิตคณะนิเทศ จุฬา, A+++++)
หนังสารคดีเรื่องนี้นำเสนอชีวิตคนงานชาวพม่าในจังหวัดริมทะเลของไทย พวกเขาอยู่กันเป็นชุมชน และทำงานประมงเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนไทยไม่ค่อยอยากทำงานที่หนักหนาสาหัสแบบนี้กัน หนังได้สัมภาษณ์ทัศนคติของคนไทยที่หวาดระแวงแรงงานชาวพม่าด้วย
จุดที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆก็คือว่า นอกจากหนังจะนำเสนอเนื้อหาสาระที่ดี, ให้ข้อคิดที่ดี, เปลี่ยนทัศนคติของผู้ชมไปในทางที่ดีแล้ว ช่วงท้ายของหนังยังมีการใช้ “พลัง” ของหนังที่ดูเหนือชั้นกว่าหนังสารคดีทั่วๆไปที่เน้นการให้ข้อมูล+ข้อคิดเพียงอย่างเดียวด้วย เพราะช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่าเรื่อง แต่เป็นการตัดภาพกิจกรรมการทำงานของชาวพม่ามาประกอบกับเสียงดนตรี และดิฉันรู้สึกว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้สามารถเลือก+ตัดต่อภาพ และเลือกเสียงดนตรีเข้าด้วยกันได้อย่างทรงพลังมากๆ พลังของภาพ+เสียง (โดยไม่มีเนื้อเรื่อง) ในช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ทำให้ดูแล้วแทบร้องไห้
ดิฉันคิดว่าอาจจะเป็นการดีมากถ้าหากหนัง 5 เรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้าง เพราะดูเหมือนว่าคนไทยบางคนอาจจะยังมีทัศนคติในทางลบต่อคนต่างชาติอยู่ แน่นอนว่าคนต่างชาติบางคนเป็นคนเลว เพราะพวกเขาเข้ามาปล้น,ฆ่าคนไทย แล้วก็หนีกลับประเทศของเขาไป แต่ดูเหมือนว่าพอมีข่าวแบบนี้ออกมา คนที่ได้รับรู้ข่าวบางคนจะไม่ได้มองว่า “ฆาตกรเป็นคนเลว” แต่มองว่า “ฆาตกรเป็นคนต่างชาติ”
ดิฉันคิดว่าหนัง 5 เรื่องข้างต้นนี้อาจจะไม่ได้เปลี่ยนทัศนคติดิฉันมากนัก เพราะดิฉันไม่ได้มีทัศนคติในทางลบอยู่ก่อนแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าหนัง 5 เรื่องนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อผู้ชมในวงกว้างก็เพราะว่า พอหลังจากดูหนังเรื่องไปได้ไม่กี่วัน ดิฉันก็เห็นข้อความในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่พูดในทำนองที่ว่า “มีคนไปที่จังหวัดสมุทร... แล้วก็ตกใจมากที่พบว่าทุกคนในโรงงานพูดคุยเป็นภาษาพม่ากัน ไม่มีคนใช้ภาษาไทยเลย วานตำรวจช่วยดูหน่อย” หรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งข้อความแบบนี้ทำให้ดิฉันงงมากว่า การที่พวกเขาไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกับเรา มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมากนักงั้นหรือ คือถ้าหากคนงานในโรงงานเหล่านั้นเข้ามาทำร้ายคุณ แล้วคุณกลัวพวกเขา อันนั้นก็ค่อยเป็นความกลัวที่สมเหตุสมผลหน่อย แต่นี่คนงานเหล่านั้นอยู่เฉยๆ พวกเขาทำงานรับใช้ประเทศของคุณ อุตสาหกรรม+เศรษฐกิจของประเทศของคุณดำเนินต่อไปได้ก็เพราะแรงงานชาวต่างชาติเหล่านี้ แรงงานต่างชาติเหล่านี้กำลังทำดีต่อประเทศของคุณ พวกเขาไม่ได้ทำร้ายอะไรคุณเลย พวกเขาเพียงแค่ใช้ภาษาที่แตกต่างจากคุณเท่านั้น คุณก็หวาดกลัวพวกเขาอย่างรุนแรงและเห็นว่าควรกำจัดพวกเขาออกไปแล้ว
พูดถึงความหวาดกลัวคนพูดภาษาต่างชาติแล้ว ก็ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆเมื่อประมาณปลายทศวรรษ 1970 จำได้ว่าในช่วงนั้นพวกผู้ใหญ่มักจะกังวลเมื่อได้ยินคนพูดคุยกันเป็นภาษาต่างชาติตามรถเมล์หรือบนท้องถนน โดยผู้ใหญ่จะพยายามเงี่ยหูฟังว่าพวกเขาคุยกันเป็นภาษา “เวียดนาม” หรือเปล่า เพราะในช่วงนั้นผู้ใหญ่จะกลัวกันมากว่าเวียดนามกำลังแทรกซึมเข้ามาบ่อนทำลายประเทศไทย
ตอบน้อง merveillesxx
--พูดถึงบริเวณริมแม่น้ำในมหาลัยธรรมศาสตร์แล้ว ก็จะต้องนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง “เธอจะคิดถึงฉันบ้างใช่ไหม” (2006, TOSSAPOL BOONSINSUKH, A+) ที่ถ่ายชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งนั่งคุยกันริมแม่น้ำในธรรมศาสตร์ หนังดูโรแมนติกและเป็นธรรมชาติมากๆ ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้คงกำลังจะแยกย้ายกันไปเรียนต่อต่างประเทศหลังเรียนปริญญาตรีจบ พวกเขาอาจจะชอบกันในระดับนึง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาตรงๆ คงเพราะ “ความเป็นเพื่อน” ค้ำคออยู่ด้วย พวกเขามีอาการอึกๆอักๆ อ้ำๆ อึ้งๆ และพูดแสดงความหวังดีต่อกันบ้างเล็กน้อย แต่อากัปกิริยาของพวกเขามันดูเป็นธรรมชาติและมันสื่ออารมณ์ออกมาได้เยอะมาก
ดิฉันได้ดู “เธอจะคิดถึงฉันบ้างใช่ไหม” แค่รอบเดียว จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว ถ้าหากจำอะไรผิดไปต้องขออภัยด้วยนะคะ ถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้ไม่เคลื่อนกล้อง+ไม่ตัดต่อเลยด้วย กล้องถ่ายให้เห็นหน้าสองคนนี้นั่งอยู่ด้วยกัน และสื่อสาร+แสดงความรู้สึกออกมาทั้งทางวัจนภาษาและอวัจนภาษาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
--พูดถึงเรื่องหนังแอนิเมชั่นที่ FLIP CAFE แล้วก็อยากไปดูอยู่เหมือนกัน แต่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา ดิฉันก็เป็นโรคหอบหืด+ริดสีดวงจมูกกำเริบ ทำให้ในบางครั้งหายใจทางจมูกไม่ได้ ต้องหายใจทางปาก เพราะฉะนั้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้วดิฉันเลยพยายามดูหนัง+เล่นอินเทอร์เน็ตให้น้อยที่สุดค่ะ เพื่อจะได้เอาเวลามาพักผ่อนแทน และทำให้พลาดการดูหนังไปหลายๆเรื่อง ตั้งแต่ MONSTER HOUSE มาจนถึง SEVEN DAYS TO LEAVE MY WIFE, FLUSHED AWAY จริงๆก็อยากจะไปดูหนังให้ครบทุกเรื่องเหมือนกัน แต่ยังไงสุขภาพก็สำคัญกว่า
เห็นน้องเขียนในบล็อกว่าพอโปรโมทหนังแอนิเมชั่นที่ FLIP CAFE ไป แล้วไม่มีคนมาดูเลย ก็เลยทำให้นึกถึงตัวเองสมัยก่อนค่ะ เพราะจำได้ว่าตัวเองชอบหนังเยอรมันที่สถาบันเกอเธ่มาก พอช่วงปี 2002 เป็นต้นมา ก็พยายามเอาข้อมูลเกี่ยวกับหนังที่เกอเธ่ไปโปรโมทที่ pantip.com แล้วก็มาโปรโมทในเว็บบอร์ด BIOSCOPE ด้วยตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา แต่ปรากฏว่ายิ่งโปรโมทมากเท่าไหร่ ผู้ชมก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น จนในหลายๆครั้งดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าดิฉันเป็นผู้ชมคนเดียวในโรงหรือเปล่าในการฉายหลายๆรอบ
ที่บอกว่าไม่แน่ใจ ก็เพราะว่าเวลาดิฉันไปดูหนังที่เกอเธ่ ดิฉันจะเดินไปนั่งแถวหน้าๆค่ะ เพราะกลัวหัวคนอื่นมาบัง แล้วดิฉันก็ไม่ได้หันหลังกลับไปมองว่ามีคนอื่นๆในโรงหรือไม่ และมีการฉายอยู่หลายรอบ ที่ดิฉันพบว่าพอดูหนังเสร็จแล้ว ไม่มีคนอื่นๆอยู่ในโรงเลย ดิฉันก็เลยไม่รู้ว่ามีคนดูคนอื่นมานั่งข้างหลังดิฉันแล้วออกจากโรงไปก่อนหรือไม่ หรือว่าไม่มีคนดูคนอื่นๆอีกเลยนอกจากดิฉันเท่านั้น
ตอนดูหนังสารคดีเรื่อง LOVE AND DIANE (2002, JENNIFER DWORKIN, A+) ที่เอ็มโพเรียมในปี 2004 ดิฉันก็สงสัยเหมือนกันค่ะ ตอนนั้นดิฉันดูหนังเรื่องนี้ในเวลาประมาณ 23.30-02.00 น. ดิฉันเลือกที่นั่งกลางโรง และก็ไม่มีใครมานั่งข้างหน้าหรือนั่งแถวเดียวกับดิฉันเลย และพอดิฉันดูหนังจบ ดิฉันก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในโรงเลยแม้แต่คนเดียว ก็เลยทำให้สงสัยว่ามีคนดูกี่คนมานั่งข้างหลังดิฉันในการดูรอบนั้นบ้าง หรือว่ามีดิฉันแค่คนเดียว
--พูดถึงหนังเรื่อง RITUAL IN TRANSFIGURED TIME (1946, MAYA DEREN, A+) แล้ว ถ้าสังเกตให้ดี ในนาทีที่ประมาณ 08:30 จะมีฉากผู้ชายผิวขาวโยนตัวผู้หญิงผิวดำขึ้นไปในอากาศ ซึ่งฉากนี้คล้ายกับมิวสิควิดีโอ LIKE A PRAYER (1989) ของ MADONNA ที่มีฉากผู้หญิงผิวดำโยนตัวมาดอนน่าขึ้นไปอากาศในนาทีที่ประมาณ 1:30
ดู RITUAL IN TRANSFIGURED TIME ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=xrWNXLPFz40
ดูมิวสิควิดีโอ LIKE A PRAYER ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=gKMHtcZ7dAQ
--ส่วน AT LAND (1944, MAYA DEREN, A+) นั้น ก็มีส่วนที่คล้ายกับมิวสิควิดีโอเพลง CHERISH (1989) ของ MADONNA อยู่มาก ในขณะที่ฉากคลานบนโต๊ะใน AT LAND ก็ทำให้นึกถึงฉากคลานใต้โต๊ะในมิวสิควิดีโอ EXPRESS YOURSELF (1989) ของ MADONNA
ดู AT LAND ได้ที่
http://www.ubu.com/film/deren.html
CHERISH
http://www.youtube.com/watch?v=tNOmIEtjbN8
EXPRESS YOURSELF
http://www.youtube.com/watch?v=YMt53HYkfY8
ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหนังของ MAYA DEREN กับมิวสิควิดีโอ MADONNA นี้ได้มาจากความเห็นของคุณกัลปพฤกษ์
--สำหรับหนังเรื่อง MESHES OF THE AFTERNOON ของ MAYA DEREN นั้น เป็นแรงบันดาลใจให้กับมิวสิควิดีโอ GENTLEMAN WHO FELL ของ MILLA JOVOVICH
ดู GENTLEMAN WHO FELL ได้ที่
http://www.youtube.com/watch?v=eSCFAxxCO7Q
ข้อมูลเกี่ยวกับ MAYA DEREN + MILLA JOVOVICH นี้ได้มาจากเอกสารประกอบการฉายหนัง MAYA DEREN ที่จัดโดยคุณอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุลที่ลาดพร้าว
MAYA DEREN กับ MILLA JOVOVICH เกิดที่เมืองเดียวกัน นั่นก็คือที่เมือง KIEV ในประเทศ UKRAINE
--ในขณะที่ภาพยนตร์ของ MAYA DEREN เป็นแรงบันดาลใจให้กับมิวสิควิดีโอของ MADONNA + MILLA JOVOVICH ภาพยนตร์บางเรื่องก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงเช่นกัน นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง
1.I’M NOT THE GIRL WHO MISSES MUCH (1986, PIPILOTTI RIST, A+++++++++++++++)
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยผู้หญิงที่มีความเฮี้ยนสูงพอสมควร โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลง HAPPINESS IS A WARM GUN ของวง THE BEATLES
เนื้อเพลง HAPPINESS IS A WARM GUN
2.SEXY SAD I (1987, PIPILOTTI RIST, A+++++++++++++++)
หนังเรื่องนี้เน้นถ่ายแต่องคชาตตลอดทั้งเรื่อง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง SEXY SADIE ของ THE BEATLES
ชมภาพยนตร์เรื่อง I’M NOT THE GIRL WHO MISSES MUCH และ SEXY SAD I ได้ที่
http://www.ubu.com/film/rist.html
ตอบคุณ FILMSICK
ดีใจมากค่ะที่คุณ FILMSICK ชอบอสุจ๊าก เพราะดิฉันก็ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆเหมือนกัน รู้สึกว่าหนังฮามาก แต่ถูกควบคุมให้ลงตัว ไม่เละเทะเหมือน SARS WARS (2004, TAWEEWAT WANTHA, A-)
พอได้ดู อสุจ๊าก หรือ THE SPERM แล้ว ก็เลยทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า มีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่ออกมาในแนวหนัง CULT เหมือนกัน คิดว่าหนังไทยยุคเก่าในอดีตคงมีหลายเรื่องที่เพี้ยนๆ แปลกๆ อย่างเช่นหนังไทยเรื่องนึงที่ตัวละครมีก้นแหลม พอนั่งเรือ ก้นก็แหลมทะลุเรือจนเรือรั่ว (จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร) แต่เสียดายที่ดิฉันไม่ได้ดูหนังไทยยุคเก่ามากนัก ดิฉันมาเริ่มดูหนังไทยเยอะขึ้นก็ในช่วงปลายทศวรรษ 1990
โอกาสนี้ก็เลยรวบรวมรายชื่อหนังไทยที่ดิฉันชอบสุดๆ และดูแล้วรู้สึกว่ามันมีอารมณ์ฮาๆ เพี้ยนๆ แปลกๆ ดี
MY MOST FAVORITE THAI WEIRD COMEDY MOVIES
เนื่องจากหนังที่ดิฉันชอบหลายเรื่องเป็นหนังสั้นที่ดิฉันจำชื่อเรื่องแน่นอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากดิฉันจำชื่อภาพยนตร์เรื่องใดผิดไปก็ต้องขออภัยไว้ด้วยนะคะ และถ้าหากใครรู้ข้อมูลที่ถูกต้องก็ช่วยแจ้งมาด้วย จะกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
1.THE PANIC (กาญจนา, เจษฎา, พงศกร, อโนชา, A+)
น่าเสียดายที่หนึ่งในหนังไทยที่ดิฉันชอบที่สุด เป็นหนังที่ดิฉันจำชื่อเรื่องไม่ได้, จำชื่อผู้กำกับไม่ได้ และก็จำปีที่ดูไม่ได้ แต่เดาว่าอาจจะเป็นเรื่องนี้
หนังที่ดิฉันชอบสุดๆเรื่องนี้นั้น ถ้าจำไม่ผิด ดิฉันได้ดูในเทศกาลหนังนักศึกษาที่ ABOUT CAFE จำไม่ได้ว่าได้ดูในปีไหน ระหว่างปี 1996, 1997, 1998 โดยหนังสั้นเรื่องนี้ใช้ดนตรีเทคโน และเล่าเรื่องจากมุมมองของ “วัตถุประหลาด” อะไรสักอย่างที่ผู้คนทุกคนต่างหวาดกลัวเมื่อได้พบเห็น
ถ้าจำไม่ผิด ฉากเปิดของหนังเรื่องนี้เป็นฉากที่กล้องเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและพุ่งตรงมาที่คนคนหนึ่งที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ พอคนคนนั้นหันมามองกล้อง เขาก็ทำท่าตกใจกลัวอย่างรุนแรงแล้ววิ่งหนีไป แล้วหลังจากนั้นตัวละครคนอื่นๆต่างก็ทำอาการตื่นตระหนกกันอย่างรุนแรงเมื่อเห็นกล้อง (ซึ่งอาจจะใช้แทนสายตาของวัตถุประหลาด)
รู้สึกว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้จะเฉลยว่าวัตถุประหลาดคือมือปีศาจหรืออะไรทำนองนี้
ส่วนการที่ดิฉันเดาว่าหนังที่ดิฉันชอบอาจจะชื่อ THE PANIC นั้น เป็นเพราะว่าดิฉันลองไปค้นรายชื่อหนังสั้นในเทศกาล BANGKOK FILM FESTIVAL ในปี 1998 และพบว่าชื่อหนังเรื่องนี้ดูคุ้นๆ และก็เลยเดาว่าอาจจะเป็นไปได้ที่หนังที่ดิฉันชอบสุดๆอาจจะเป็นเรื่อง THE PANIC หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้
2.BUNZAI CHAIYO: THE ADVENTURE OF IRON PUSSY II (1999, MICHAEL SHAOWANASAI, A+)
3.ฝัน เรียม (2006, ลัดดาวัลย์ สืบเพ็ง, A+)
4.ทวารยังหวานอยู่ BANGKOK LOCO (2005, PORNCHAI HONGRATTANAPORN, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0467525/
5.อสุจ๊าก THE SPERM (2007, TAWEEWAT WANTHA, A+)
6.แม่ (...) เบี้ย (2001, ชนัญญา พูลศรี, A+)
ถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้เป็นหนังฮาๆที่มีการ JUMP CUT โดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น และหนังจบลงด้วยการที่ลูกสาวเดินไปหาแม่แล้วแบมือพูดว่า “แม่...เบี้ย” (ขอตังค์คุณแม่ – ไม่รู้คิดไอเดียนี้ขึ้นมาได้ยังไง)
7.กฎเหล็กเด็กระเบิด (1999, นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬา, A+)
ดิฉันไม่รู้ชื่อผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ถ้าหากใครรู้ก็ช่วยบอกด้วยนะคะ จะกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับกฎที่ห้ามนิสิตออกจากห้องสอบก่อนหมดเวลา ดังนั้นนิสิตหลายคนที่ทำข้อสอบเสร็จก่อนเวลาจึงฆ่าเวลาด้วยการทำกิจกรรมต่างๆกันไป อย่างเช่นผัดข้าวผัด หรือเอากลดขึ้นมาปักเพื่อนั่งสมาธิ
8.THE KEY (2000, รณพงษ์ สุทธิวารี, A+)
ถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้คือหนังที่ตัวละครถือกระบี่วิ่งกันไปวิ่งกันมาโดยไม่มีสาเหตุ และไม่รู้ว่าใครวิ่งไล่ใครกันแน่
9.วิธีคิด 1: ทหารลาวขอเปลี่ยนแนวคิดคนไทย (2002, มานัสศักดิ์ ดอกไม้, A+)
จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังตลก แต่เป็นหนังการเมืองที่กระตุ้นให้ผู้ชมขบคิด แต่กลวิธีการนำเสนอของหนังเรื่องนี้มันให้อารมณ์ฮาๆแบบที่พบได้ในหนังของ JEAN-LUC GODARD
นอกจากนี้ ดิฉันก็ไม่แน่ใจว่าหนังที่ดิฉันได้ดูคือเรื่องนี้หรือเปล่า เพราะมีหนังของคุณมานัสศักดิ์ ดอกไม้บางเรื่องที่มีชื่อเรื่องคล้ายๆเรื่องนี้
10.ผู้ชนะสุดฤทธิ์ A GIRL CALLED HERO (2004, WITCHA SUYARA, A+)
11.เป็นเรื่อง 100 % (2000, ทวีลาภ แซ่อุ้ย, A+)
ไม่แน่ใจว่าเป็นหนังเรื่องนี้หรือเปล่าที่มีฉากผู้หญิงคนหนึ่งถูก “ตบด้วยตีน”
12.ค้างคาวดูดกล้วย (2001, กุลชาติ จิตขจรวานิช + เบญจมินทร์ ไตรพิพัฒน์, A+)
13.HIGHWAY-สะตอ (2003, สุวิทย์ มาประจวบ, A+)
จำรายละเอียดในหนังเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว เพราะได้ดูแค่รอบเดียว จำได้แต่ว่ามันฮาๆแบบกวนteen
เข้าใจว่าผู้กำกับหนังเรื่องนี้คือคนเดียวกับที่ได้รับรางวัลใหญ่ YOUNG THAI ARTIST AWARD 2005 ด้านประติมากรรม จากผลงาน “บทสนทนาระหว่างการเดินทาง”
ข่าวเกี่ยวกับผลงานดังกล่าว
http://campus.sanook.com/u_life/showroom_01518.php
อีกหนึ่งรางวัลยอดเยี่ยมสาขาประติมากรรม ผลงาน "บทสนทนาระหว่างการเดินทาง" สุวิทย์ มาประจวบ น.ศ.ปี 4 มหาวิทยาลัยศิลปากร บอกว่า แก่นของผลงานชิ้นนี้ต้องการสื่อให้รู้ว่าในสิ่งเล็กๆ ธรรมดาๆ ที่อาจไร้สาระ แต่บางครั้งก็สามารถเติมเต็มชีวิตให้มีความสุขได้ "แรงบันดาลใจมาจากบทสนทนาเรื่องขี้โม้ต่างๆ ระหว่างการเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อน โดยให้ตั๊กแตนเป็นตัวแทนการสนทนาที่ออกท่าออกทางเกินจริง เปรียบได้กับเรื่องขี้โม้ที่มักเป็นเรื่องเกินจริง ซึ่งดูๆ แล้วเรื่องเหล่านี้อาจเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วย้อนกลับไปคิด เรื่องไร้สาระพวกนี้กลับทำให้ยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง"
ภาพ “บทสนทนาระหว่างการเดินทาง”
http://campus.sanook.com/story_picture/b/01518_006.jpg
14.กลางวันแสกๆ (2004, ทายาท เดชเสถียร, A+)
15.หนังไตรภาคที่ประกอบด้วยเรื่อง “ซัมเป้”, “โตเต้” และ “คมกริช & สุรวี” (2004, ณัฏฐา หอมทรัพย์ + ธัญ เปลวเทียนยิ่งทวี)
ส่วนหนังที่คิดว่าน่าจะ CULT แต่คนไทยไม่มีโอกาสได้ดู ก็คือ MY TEACHER EATS BISCUIT (1996, ING K)
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comment:
พี่ขา...
สุดอ่านเรื่องหนังเพี้ยนที่พี่เคยดูมาแล้วขำสุดๆอ่ะค่ะ
ขำจนงงตัวเองว่าทำไมถึงขำ ((ดูงงๆ))
อารมร์ดีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด :)
นี่ขนาดไม่ได้ดูเองนะเนี่ยพี่ อยากดูบ้างจัง
รักษาสุขภาพค่า
Post a Comment