This is my comment in Peter Nellhaus’ blog:
http://www.coffeecoffeeandmorecoffee.com/archives/2008/04/coffee_break_38.html#comments
I like Supakson Chaimongkol and think she is one of the most unfortunate actresses, because she often plays in a bad movie that is not worthy of her talent. So I felt very glad to see her in HANDLE ME WITH CARE early this year. She really has the chance to shine in this film.
Supakson’s films in my preferential order:
1.HANDLE ME WITH CARE (2008, Kongdej Jaturanrasamee, A+)
2.KHON HEW HUA (2007, Ping Lumpraploeng, A/A-)
3.JEE (ANDAMAN GIRL) (2005, Tanit Jitnukul, B)
I like the structure of this film. It starts with one genre and seems to end with another genre.
4.KUN PAN (2002, Tanit Jitnukul, B-)
5.NAM PRIK LHONG RUA (2006, Worapoj Pothineth, B-/C+)
6.ART OF THE DEVIL (2004, Tanit Jitnukul, C+)
7.CHAI LAI (DANGEROUS FLOWERS) (2006, Poj Arnon, F)
----------------------------------
This is my comment in Filmsick’s blog about REPAST (1951, Mikio Naruse):
http://filmsick.exteen.com/20080423/repast-mikio-naurse-1951
ฉากที่สะเทือนใจมากคือฉากที่นางเอกไปเจอเพื่อนคนนึงที่ยากจน และต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง รู้สึกว่าตัวละครประกอบตัวนั้นน่าสงสารมากๆ
หนังเรื่องนี้เหมาะดูควบกับ SHIRLEY VALENTINE (1989, Lewis Gilbert, A++++++++++) เพราะมีทั้งจุดที่เหมือนกันและจุดที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
-----------------------------------
This is my comment in Screenout Webboard:
http://www.xq28.org/zaa/viewtopic.php?f=5&t=79&start=200
ถามคุณ OLIVER
ลืมบอกไปว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดิฉันกับคุณ NOINONG ได้สนทนาธรรมกันเป็นเวลาระยะนึง และทำให้ได้ข้อสรุปดังต่อไปนี้
MDS = โทสะ
NOINONG = โมหะ
KICHO = ราคะ
OLIVER = ตัณหา
ไม่ทราบว่าคุณ OLIVER เห็นด้วยข้อสรุปนี้หรือไม่
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
2 comments:
ตอบพี่ MdS
ชอบฉากนั้นมากๆเหมือนกัน เอาเข้าจริงๆสึกว่าหนังเต็มไปด้วยฉากที่ชอบ มากมายไปหมด ทั้งฉาก รองเท้าหาย ฉากซื้อข้าวสาร รู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ดูเหมือนตรงไปตรงมาแต่มีรายละเอียดเยอะมาก ทุกรายละเอียดเป็นเหมือนด้ายเส้นเล็กๆ ที่ร้อยยเข้ากันเป็นลวดลายของชีวิตครอบครัว เหตุการณืเล็กๆทั้งสุขและทุกขจ์พวกนี้ละเอียดมาก
จากที่ดูหนังของนารุเสะไปสองเรื่อง เริ่มรู้สึกว่าบางทีที่เขาไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะหนังแบบนี้จะว่าไป เป็นยาขมของคนที่จะต้องเขียนเกี่ยวกับมันพอสมควร เพราะมันไม่มีสัญลักษณ์อะไรให้จับต้อง ไม่มีลายเซ้นชัดเจนทางการวางกล้อง หรือรูปแบบตัวละคร(แม้เราจะเชื่อมโยงได้คร่าวๆ)
แต่งานที่ลงรายละเอียดแบบนี้ ละเมียดละไมมากจริงๆ
/FILMSICK
เห็นด้วยมากๆ บางทีหนังแบบ Mikio Naruse ก็ทำให้นึกถึงหนังของกลุ่ม POST NEW WAVE อย่างหนังของ Philippe Garrel, Maurice Pialat และ Jean Eustache ด้วยเหมือนกัน เพราะมันเป็นหนังที่ถ่ายทอด “ชีวิต” ได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ จริงๆแล้วหนังของ Eric Rohmer ก็มีความเป็นธรรมชาติมากๆเหมือนกัน แต่หนังของ Rohmer จะค่อนไปทางอารมณ์โรแมนติก เบิกบาน ลั้ลลา ในขณะที่หนังของคนอื่นๆที่เราเอ่ยชื่อมาจะสะท้อนความขื่นขมของชีวิตมากกว่า
ตอนนี้อิจฉาคนในนิวยอร์คมากๆที่ได้ดู JEAN EUSTACHE RETROSPECTIVE อ่านเกี่ยวกับเทศกาลหนัง JEAN EUSTACHE ได้ที่
http://filmref.com/journal/archives/jean_eustache_retrospective/
Post a Comment