Tuesday, August 20, 2013

WANG PLOENG INTERSECTION (2012, Natpakhan Khemkhao, 20min, A+30)

 
WANG PLOENG INTERSECTION (2012, Natpakhan Khemkhao, 20min, A+30)
สี่แยกวังเพลิง (ณัฐปคัลภ์ เข็มขาว)
 
สิ่งที่นึกถึงหลังจากดูหนังเรื่องนี้
 
1.ชอบสุดๆเพราะปัจจัยหลายๆอย่าง อย่างแรกก็คือประเด็นของหนังที่เกี่ยวกับความเลวร้ายของกฎหมายวิดีทัศน์ เราเคยได้ยินคดีของคนจนๆที่ซวยเพราะกฎหมายนี้เมื่อหลายปีก่อน แต่หลังจากนั้นเราก็ลืมเลือนเรื่องนี้ไป หนังเรื่องนี้ช่วยย้ำเตือนเราไม่ให้ลืมเรื่องนี้ และเราจะได้ไม่เผลอกระทำผิดจนต้องตกเป็นเหยื่อของกฎหมายนี้เหมือนตัวละครในเรื่องด้วย
 
2.หนังวิพากษ์ความเลวร้ายในหลายๆจุดได้ดี เพราะนอกจากปัญหาจะเกิดจากตัวกฎหมายเองแล้ว สองสามีภรรยาคู่นี้ยังประสบปัญหาต่างๆจาก
 
2.1 การรับเงินของตำรวจ เพราะสิ่งที่ตำรวจทำก็คือต้องการไถเงินจากสองสามีภรรยาคู่นี้ โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ถ้าตำรวจไม่ต้องการไถเงิน สองสามีภรรยาคู่นี้ก็ไม่ต้องชีวิตล่มแบบนี้ (หนังสื่อถึงจุดนี้ผ่านทางประโยคที่ตัวละครแม่พระเอกพูดเพียงประโยคเดียว ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว โดยไม่มีความจำเป็นต้องจำลองฉากที่ตำรวจต้องการรีดเงินตรงๆแต่อย่างใด)
 
2.2 ทนายความก็ดูเหมือนจะไม่เต็มใจช่วยสองสามีภรรยาคู่นี้เท่าไหร่ สังเกตได้จากฉากที่นางเอกโทรศัพท์ไปหาทนาย อย่างไรก็ดี ถึงแม้ทนายความเต็มใจจะช่วย ผลของคดีก็อาจจะออกมาเหมือนเดิม
 
2.3 อำนาจอันจำกัดของสภาทนายความ โดยในหนังเรื่องนี้ สภาทนายความไม่ได้ทำอะไรผิด แต่หนังก็แสดงให้เห็นว่าปัญหาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจของสิ่งที่สภาทนายความจะยื่นมือเข้าไปช่วยได้
 
2.4 เพื่อนบ้านที่ดูเหมือนจะไม่ให้พระเอกยืมเงิน ซึ่งหนังนำเสนอตรงจุดนี้ได้ดี เราจะเห็นว่าเพื่อนบ้านหลบอยู่ในบ้าน ไม่ยอมออกมาหาพระเอก แต่พอพระเอกเดินจากไปแล้ว เพื่อนบ้านถึงค่อยแง้มหน้าต่างออกมาดู
 
เราชอบมากที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ด่าประณามเพื่อนบ้านคนนั้นว่าเป็นคนเลวที่ไม่ให้พระเอกยืมเงิน เพราะเพื่อนบ้านคนนั้นอาจจะเป็นคนใจดำจริงๆ หรือเขาอาจจะมีเหตุผลของตัวเองก็ได้ที่ไม่ให้พระเอกยืมเงิน หนังแสดงให้เห็นว่าว่าปัญหาของพระเอกอาจจะบรรเทาลงได้ถ้าหากเพื่อนบ้านยอมให้ความช่วยเหลือ หรือมีฐานะมากพอที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่หนังก็ไม่ได้ตัดสินอย่างง่ายๆว่าคนที่ไม่ช่วยพระเอกจะต้องกลายเป็นคนเลวโดยอัตโนมัติ
 
3.ประเด็นที่ติดใจคนดูหลายคนก็คือการ ellipsis หรือการที่หนังดูเหมือนจะเล่าข้ามฉากที่โดยปกติแล้วจะต้องมีในหนังทั่วๆไป นั่นก็คือฉากที่แสดงให้เห็นว่าขาพระเอกหายไปไหน
 
ในหนังเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าขาพระเอกจะหายไปในช่วงกลางเรื่อง แล้วหนังก็ไม่บอกว่าเพราะอะไร ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าหากให้เราเดา เราก็เดาว่าพระเอกคงบาดเจ็บที่ขามาตั้งแต่ช่วงต้นของเนื้อเรื่องแล้ว (สังเกตได้จากการเดินกะเผลกเล็กน้อยของพระเอกในฉากท้ายสุดของหนัง ซึ่งถ้าหากเรียงตามลำดับเวลาของเหตุการณ์ในเรื่อง เหตุการณ์ในฉากสุดท้ายน่าจะเป็นเหตุการณ์แรกสุดของหนังเรื่องนี้) และอาการบาดเจ็บคงลุกลามในเวลาต่อมาจนเขาต้องตัดขาทิ้งไป
 
สิ่งที่เป็นปริศนาอีกอย่างนึงก็คือว่า การตัดขาของเขาเป็นผลพวงมาจากการที่เขาไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล เพราะต้องเก็บเงินไว้จ่ายค่าปรับของนางเอกหรือไม่ อันนี้เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
 
หรือว่าการตัดขาของเขาจะเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง
 
สรุปว่าไม่ว่าขาของพระเอกจะหายไปไหน เราก็คิดว่าจุดนี้มันน่าสนใจดี และเทคนิคการ ellipsis แบบนี้ หรือการเล่าเรื่องแบบข้ามจุดสำคัญแบบนี้ มันก็ทำให้เรานึกถึงหนังที่เราชอบสุดๆ อย่างเช่นเรื่อง AU HASARD BALTHAZAR (1966, Robert Bresson) กับเรื่อง LORNA’S SILENCE (2008, Jean-Pierre Dardenne + Luc Dardenne) ด้วย
 
4.ชอบที่หนังไม่เร้าอารมณ์เราโดยไม่จำเป็น ชีวิตของพระเอกในหนังเรื่องนี้มันสาหัสสากรรจ์มากอยู่แล้ว คือแค่ตัวเนื้อเรื่องมันก็รันทดและเศร้าสุดๆอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหนังก็ไม่จำเป็นต้องเร้าอะไรเรามากไปกว่านี้อีก และพอหนังมันไม่เร้าอารมณ์เราโดยไม่จำเป็น เราก็จะยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดในหนังเรื่องนี้มันจริงมากๆ เราจะรู้สึกว่ามันต้องมีชีวิตคนจริงๆที่เป็นแบบนี้แน่นอน แทนที่จะรู้สึกว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องของ “ตัวละครสมมุติ” กลุ่มหนึ่ง
 
การที่หนังเรื่องนี้ไม่เร้าอารมณ์มากเกินไป หรือไม่ฟูมฟาย ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เรานึกไปถึงหนังของ Robert Bresson กับสองพี่น้อง Dardenne ด้วยเหมือนกัน และเราก็หวังว่าในอนาคตจะมีหนังไทยที่ออกมาในสไตล์ของ Bresson กับ Dardenne อีก
 
5.ชอบการแคสติ้งในหนังเรื่องนี้ด้วย หนังเลือกผู้แสดงที่สมจริงมากๆ คือการแสดงของบางคนอาจจะดูแข็งๆ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเลยในหนังเรื่องนี้ (เช่นเดียวกับในหนังของ Bresson) เพราะหน้าตาและบุคลิกของคนแสดงที่ดูสมจริงมันก็เพียงพอแล้ว
 
6.การตัดสลับเหตุการณ์ในเรื่องก็น่าสนใจดี ถ้าเรียงตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่อง เหตุการณ์แรกสุดน่าจะเป็นฉากสุดท้าย, เหตุการณ์ที่สองน่าจะเป็นฉากรองสุดท้าย, เหตุการณ์ที่สามน่าจะเป็นฉากที่สองของหนัง และเรียงตามนั้นไปเรื่อยๆ ส่วนฉากแรกสุดของหนังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกลางเรื่อง
 
ตอนที่เราดูรอบแรก การเรียงสลับฉากกันไปมาแบบนี้ เราว่ามันน่าสนใจดีนะ มันทำให้เราอยากรู้ว่า จริงๆแล้วผัวเมียคู่นี้เจอปัญหาจากกฎหมายอะไร และเราไม่รู้ว่าเขาทำผิดจริงหรือไม่ผิดจริงในสายตาของเราหรือเปล่า ก่อนที่เราจะรู้ในช่วงท้ายของเรื่องว่า เขาทำผิดกฎหมายจริงๆ แต่เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลยในสายตาของเรา
 
แต่น้องอุ้ย Ratchapoom ก็นำเสนอไอเดียที่ดีมากๆเหมือนกันว่า ถ้าหากหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องเรียงตามลำดับเวลา จุด focus ของหนังอาจจะเปลี่ยนไป ซึ่งอาจจะทำให้หนังดีขึ้นก็ได้
 
สรุปว่า โดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่าเราคงชอบทั้งสองแบบน่ะแหละ เราชอบทั้งสี่แยกวังเพลิงเวอร์ชั่นปัจจุบัน ที่ไม่ได้เล่าเรื่องเรียงตามลำดับเวลา แต่ถ้าหากหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องเรียงตามลำดับเวลา เราก็คงชอบมากๆเหมือนกัน
 
7.ชอบการ zoom out ในฉากแรกของเรื่อง ที่พอพระเอกตัดสินใจฆ่าตัวตายแล้ว กล้องก็ zoom out ออกมาจากห้องนั้นจนเห็นลูกพระเอกนั่งดูทีวีอยู่ มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงปัจจัยที่ทำให้พระเอกอยากฆ่าตัวตาย โดยใช้เทคนิคทางกล้องที่ดูเหมาะสมดี
 
8.ชอบอะไรเล็กๆน้อยๆในหลายๆฉาก อย่างเช่น
 
8.1 ฉากที่ลูกชายเอาพัดลมมาจ่อที่พระเอก มันเป็นการแสดงความรักระหว่างพ่อลูกที่ดีมากๆ
 
8.2 ฉากที่ลูกสาวถามแม่ว่าต้องล้างผักมั้ย มันเป็นการแสดงความเหนื่อยหน่ายของตัวนางเอกได้ดีมากๆ
 
8.3 ฉากที่เห็นรูปถ่ายของพระเอกนางเอกกับลูกในสมัยก่อน มันเป็นภาพความสุขที่เจ็บปวดมากๆ เพราะชีวิตมันไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
 
9.มีหนังไทยหลายๆเรื่องที่ทรงพลังแบบนี้ และนำเสนอด้วยสไตล์หนังแบบนี้ แต่หนังกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะนำเสนอปัญหาทางกฎหมายของชนกลุ่มน้อย  อย่างเช่นเรื่อง OVERSEAS (2012, Wichanon Somumjarn + Anocha Suwichakornong) หรือไม่ก็เป็นหนังสารคดีไปเลย สี่แยกวังเพลิงก็เลยมีความน่าสนใจสำหรับเราในแง่ที่ว่า มันเป็นหนังที่นำเสนอปัญหาสำหรับคนไทยโดยทั่วไป แต่เรามักไม่ค่อยพบสไตล์แบบนี้ในหนังทั่วๆไปในยุคปัจจุบัน เรากลับพบสไตล์แบบนี้ในหนังเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยเป็นส่วนใหญ่
 
สรุปว่าเราชอบประเด็นของหนังเรื่องนี้มากๆ และก็ชอบสไตล์ของหนังเรื่องนี้มากๆด้วย หนังเรื่องนี้ไม่เร้าอารมณ์, ไม่ฟูมฟาย และนำเสนออะไรหลายๆอย่างในหนังได้ด้วยวิธีการที่กระชับ, รัดกุมมากๆ
 

No comments: