Sunday, August 18, 2013

PAGE 2 STAGE PROJECT 2

 
PAGE 2 STAGE โครงการ 2
 
1.นี่ไม่ใช่บทละคร (A+)
 
สิ่งที่เราชอบมากในเรื่องนี้คือเรารู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับเราไม่ใช่ปฏิกิริยาระหว่างตัวละคร แต่เป็นปฏิกิริยาระหว่างความรู้สึกของเรากับสิ่งที่ตัวละครพูด โดยรวมๆแล้วเรารู้สึกว่าสิ่งที่ตัวละครพูดกันในเรื่องนี้ มันเหมือนเป็นการรวมเอาลักษณะการสนทนากันทาง Facebook หรืออะไรทำนองนี้มารวมไว้ด้วยกัน ซึ่งเริ่มด้วยการสนทนากันแบบปรัชญาขั้นสูงที่เราไม่เข้าใจ แต่มองด้วยความชื่นชม  ไล่เรียงมาจนถึงการสนทนาเกี่ยวกับข่าวประจำวันที่ไร้สาระ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอาจจะมองด้วยความดูถูก ส่วนตัวละครที่คิ้มเล่นก็อาจจะทำให้เรานึกถึงใครบางคนที่ติดอยู่ในกรอบความคิดอะไรบางอย่าง และเป็นคนประเภทที่ไม่สามารถทำให้การสนทนานำไปสู่อะไรที่เป็นประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
 
2.เมื่อท้องฟ้าเป็นสีฟ้า (A+15)
บทโดยอรดา ลีลานุช
กำกับโดยนายท่าน จันทร์เรือง
 
ชอบช่วงต้นของเรื่องนี้มากๆ เพราะมันเป็นเรื่องของคนที่มีความทุกข์ในจิตใจ และการปฏิบัติธรรมหรืออะไรก็ตามก็ไม่สามารถทำให้เขาพ้นทุกข์ได้
 
แต่ตอนจบเราไม่แน่ใจว่าผู้สร้างละครเรื่องนี้คิดตรงกับเราหรือเปล่า แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเรามากนัก เพราะเราสามารถจินตนาการตอนจบของละครเรื่องนี้ต่อด้วยตัวเองได้ ฮาๆๆ
 
ตอนจบของเรื่องนี้ อาจจะมองว่าเป็น happy ending ก็ได้ แต่เราจินตนาการต่อว่ามันไม่ happy ending เพราะเราไม่เชื่อว่าตัวละครจะสามารถสลัดบาดแผลในใจได้ เราเชื่อว่าเขาแค่สลัดมันทิ้งได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วมันก็จะกลับมาใหม่
 
สาเหตุที่เราเชื่อเช่นนั้น เพราะเราเชื่อในสิ่งที่ Claude Lanzmann ผู้กำกับหนังเรื่อง SHOAH พูดเอาไว้ เพราะเขาพูดในทำนองที่ว่า “วันที่นาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวด้วยการรมแก๊สตายกันเป็นเบือน่ะ วันนั้นท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าสวยงามเหมือนอย่างวันนี้นี่แหละ”
 
เพราะฉะนั้นถึงแม้ท้องฟ้าวันนี้จะสวยงาม มันก็สวยงามเหมือนกับวันที่เกิดการสังหารหมู่นั่นแหละ มันไม่ต่างอะไรกันหรอก และการสังหารหมู่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกครั้งในอนาคต สิ่งที่เราทำได้ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ enjoy ความงามของท้องฟ้าวันนี้ให้มากที่สุดเท่านั้นเอง
 
 
3.เรื่อง/ของ/เรื่อง (A+5)
บทโดยปณิธาน ลักษณเกียรติ
กำกับโดยศรชัย ฉัตรวิริยะชัย
 
สิ่งที่ชอบมากก็คือการที่เราไม่รู้สึกเข้าข้างตัวละครฝ่ายใดได้อย่างสนิทใจเลย แต่เราไม่รู้ว่าผู้สร้างละครเรื่องนี้คิดเหมือนกับเราหรือเปล่า เพราะเขาอาจจะเข้าข้างตัวละครพ่อก็ได้ แต่มันก็ไม่ชัดเจนในจุดนี้ ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราไป
 
เรารู้สึกว่ามุมมองระหว่างคนต่างรุ่นมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจดี และมันก็เป็นเรื่องดีถ้าหากจะมีหนังหรือละครที่นำเสนอมุมมองที่แตกต่างกันของแต่ละคนโดยไม่ตัดสินถูกผิด และปล่อยให้ผู้ชมรับฟังมุมมองต่างๆกันเหล่านี้และตัดสินใจเอาเอง
 
ถ้าหากเราเป็นลูก เราก็คงไม่พอใจที่พ่อของเราผลาญเงินไปกับของฟุ่มเฟือยเหล่านี้ แต่เราก็จะเคารพเขาในแง่ที่ว่า มันเป็นเงินของเขา ไม่ใช่เงินของเรา เพราะฉะนั้นเขาอยากผลาญเงินไปกับอะไรก็ผลาญไป แต่เขาอย่ามาเสือกกับชีวิตกูหรือเงินของกูเป็นพอ ฮ่าๆๆ
 
 

No comments: