(อันนี้เป็นการเขียนตอบน้องควอนจียุ้ย ไม่มีนามสกุล
เกี่ยวกับการแสดงใน IN เธอ’S VIEW)
เราดู IN เธอ’S VIEW สองรอบ
รอบแรกเราดูพร้อมกับตี้ ส่วนรอบสองเราไปดูในวันอาทิตย์ที่ 6 เม.ย. ในรอบนั้น
1.ปานรัตน กริชชาญชัยนั่งเก้าอี้ตัวแรก
เล่นเป็นน้องสาวที่เอาเค้กวันเกิดไปให้พี่ชายในสนามรบ ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด
เป็นการแสดงที่แทบไม่มีบทพูดเลย และเล่นออกมาในแนวตลกขำขัน
2.ดลฤดี จำรัสฉาย เล่นเป็นเลดี้แมคเบธ
3.สุมณฑา สวนผลรัตน์ เล่น CLITORIS MONOLOGUE
4.นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ เล่น “ในความเงียบ”
ที่เป็นเรื่องผู้หญิงที่ถูกทหารพม่าข่มขืน โดยในครั้งนี้นีลชาแจกบทพูดใน “ในความเงียบ”
ให้ผู้ชมบางคนและนักแสดงหญิงอีก 5 คนช่วยกันอ่าน คือทำให้มันเป็นกิจกรรมแบบ interactive แทนที่จะเป็นการแสดง
monologue
5.ฟารีดา จิราพันธุ์ เล่นเป็นผู้หญิงซาอุที่ฝ่าฝืนธรรมเนียมการห้ามขับรถ
และแสดงออกมาได้อย่างทรงพลังมากๆ
6.ภาวิณี สมรรคบุตร เล่นเป็นสาวตุลา โดยในครั้งนี้ภาวิณีจะตีความแตกต่างจากณัฐญาในแง่ที่ว่า
ณัฐญาจะเล่นเป็นสาวตุลาขณะให้สัมภาษณ์กับนักเขียนคอลัมน์/นักข่าว
แต่ภาวิณีจะเล่นเป็นสาวตุลาขณะคุยกับเพื่อนผู้หญิงกลุ่มนึง
ในการดู IN เธอ’S VIEW สองรอบนี้
ในส่วนของการแสดงนั้น เราพบว่า
1.นักแสดงแต่ละคนมีเทคนิคที่แตกต่างกันไป มีความถนัดที่แตกต่างกันไป
คนนึงก็มีจุดแข็งอย่างนึง มีจุดอ่อนอย่างนึง และแต่ละคนก็มีจุดแข็ง
จุดอ่อนแตกต่างกันไป และดูเหมือนว่ามันไม่มี “วิธีการแสดงที่ดีที่สุด” มันมีแต่ “วิธีการแสดงที่หลากหลาย”
และมันขึ้นอยู่กับว่าผู้ชมแต่ละคนชอบแบบไหนเท่านั้นเอง
ซึ่งผู้ชมแต่ละคนก็ชอบแตกต่างกันไปเช่นกัน
2.เราจะพบเลยว่า เราจะไม่ค่อยอินกับการแสดงตลก
แต่เราจะอินกับการแสดงที่มันสามารถเชื่อมโยงกับความรู้สึกเจ็บปวดในใจเรา
เพราะฉะนั้นในการแสดงสองรอบที่เราได้ดูนั้น เราจะไม่อินกับการแสดงของปานรัตน
และการแสดงของปริยา วงศ์ระเบียบในบทของเมียซามูไร ที่ออกมาในแนวตลก แต่เราว่าการแสดงของปริยามีความน่าสนใจในแง่ที่ว่า
ในการแสดงนั้น “เสียงพากย์” ของกฤษณะ
พันธุ์เพ็งมีบทบาทสำคัญในการกำกับอารมณ์คนดูเป็นอย่างมาก
เราก็เลยคิดว่าการแสดงของปริยาในรอบนั้น มันไม่มีผลกับเราในทางอารมณ์
แต่เราสนใจวิธีการของมันที่ทำให้เสียงพากย์กลายเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญเท่าๆกับการแสดง
(มันทำให้เรานึกถึงหนังไทยเรื่อง SING (2011, Sa Sakawee, A+30) ที่เสียงพากย์กลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในหนังด้วย)
3.หนึ่งในช่วงเวลาที่เราชอบที่สุดในละครเวทีเรื่องนี้
คือช่วงเวลาที่นักแสดง 6 คนในรอบวันที่ 6 เม.ย. ได้รับคำถามว่า “คุณจะแสดงความเศร้าอย่างไร
โดยไม่ใช้บทพูด และไม่ใช้น้ำตา” และเราก็ชอบการแสดงของดลฤดีกับสุมณฑามากๆในการตอบคำถามนี้
โดยสุมณฑาใช้วิธีทำหน้าบึ้งตึง ถอดรองเท้าออกมาข้างนึง
แล้วก็เขวี้ยงรองเท้านั้นกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงมาก
เราว่ามันเป็นการตอบโจทย์แบบสร้างสรรค์มากๆ
มันเป็นการหยิบเอาของใกล้ตัวมาใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดงได้อย่างฉับพลันทันที
แล้วมันก็ทำให้เรานึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง “นักรักโลกมายา” หรือ “หน้ากากแก้ว” ของ
Suzue Miuchi ด้วย
ที่บางทีคิตะจิมะ มายะ นางเอกของเรื่อง ต้องแก้โจทย์หินๆแบบนี้เวลาไปออดิชั่น
แต่การแสดงที่เราชอบที่สุดคือของดลฤดี ที่ทำหน้าเหยเก เหมือนจะร้องไห้
แต่ไม่ได้ร้องไห้มีน้ำตาออกมา คือใบหน้าของดลฤดีในตอนนั้น
มันกระแทกใจเราอย่างรุนแรงมาก มันทำให้เรานึกถึงความเศร้าที่เราเคยประสบมาตั้งแต่เด็กๆ
คือเรารู้สึกว่าความเศร้าที่เราสั่งสมมาตั้งแต่เด็ก
มันได้รับการระบายออกมาเล็กน้อยในทางอ้อม ผ่านทาง magical moment เพียงชั่วไม่กี่วินาทีในการแสดงของดลฤดีน่ะ
เราก็เลยรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุดๆสำหรับเรา
4.เราชอบการแสดงความเศร้าของดลฤดีในตอนนั้น มากกว่าการแสดงของดลฤดีในบทเลดี้แมคเบธอีกนะ
และมันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า ดลฤดีกับณัฐญา นาคะเวช เป็นนักแสดงแบบที่เหมาะกับการแสดงภาพยนตร์แนวสมจริงแบบของ
Eric Rohmer มากๆ เราว่าทั้งสองคนนี้มักจะให้การแสดงที่เป็นธรรมชาติมากๆ
และการให้การแสดงที่ละเอียดอ่อนมากๆ เป็นมนุษย์มากๆ
ซึ่งมันจะเหมาะมากๆถ้าหากมีกล้องมาจับอยู่ใกล้ๆ และได้บทที่เน้นสะท้อนแง่มุมที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์
คือในขณะที่นักแสดงบางคนอาจจะเหมาะเล่นละครเวทีโรงใหญ่ overacting ตามสมควรเพื่อส่งพลังไปให้ถึงคนดูแถวหลังสุด แต่ไม่เหมาะเล่นหนัง
เพราะมันจะ overacting เกินไป
แต่เราว่าสองคนนี้เหมาะเล่นหนังมากๆ คือเราว่าสองคนนี้เล่นละครเวทีเก่งมากๆนะ เพียงแต่เรารู้สึกว่า สองคนนี้มีศักยภาพบางอย่างหลบซ่อนอยู่ในตัวที่ยังไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่น่ะ
และศักยภาพนั้นอาจจะได้ใช้ออกมาอย่างเต็มที่ถ้าหากได้เล่นหนังดีๆและบทดีๆที่เหมาะกับทั้งสองคนนี้
5.เราชอบการแสดง CLITORIS MONOLOGUE ในทั้งสองรอบที่เราได้ดูมากๆ
รอบแรกที่เราได้ดูเป็นการแสดงของดวงใจ หิรัญศรี ที่แสดงออกมาในแบบสาวกร้านโลก
ที่มองโลกอย่างเย้ยหยันหน่อยๆ
มันทำให้เราตื่นตะลึงมากพอสมควรในแง่การเปลี่ยนบุคลิกภาพอย่างฉับพลันน่ะ
เพราะแว่บนึงเราก็เห็นดวงใจตอบคำถามบนเวทีในแบบคนปกติ แต่พอผ่านไปไม่กี่วินาที
เธอก็กลายเป็นสาวกร้านโลกไปแล้ว และมันดูน่าเชื่อถือมากๆด้วย
เราก็เลยทึ่งมากที่ดวงใจสามารถเปลี่ยนบุคลิกภาพได้อย่างฉับพลันและสมจริงขนาดนี้
ส่วนการแสดงของสุมณฑานั้น จะออกมาในแบบอาซิ้ม
และสิ่งที่เราชอบสุดๆก็คือ มันจะมีบางช่วงที่การแสดงของสุมณฑาทำให้เราขำขัน แต่อีก
5 วินาทีต่อมา มันก็ทำให้เราเศร้ามาก และทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงมากๆ
และมันก็เป็นแบบนี้หลายช่วงเลยนะ คือ “ขำ 5 วินาที
สลับกับรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง 5 วินาที” แบบนี้หลายครั้ง
และเราก็ชอบการแสดงความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้อยู่แล้ว
สรุปว่าการแสดงความรู้สึกเศร้าของดลฤดี กับการแสดงความรู้สึกเจ็บปวดกับชีวิตของสุมณฑาในบางช่วงของ
CLITORIS MONOLOGUE มันทำให้เรารู้สึกสงสัยว่า
บางทีการที่เราอินกับการแสดงแบบนี้อย่างรุนแรงมากๆ
อาจจะเป็นเพราะว่ามันเหมือนสามารถเข้าถึง “ถังบรรจุความเศร้า” ในใจเรามั้ง
คือประสบการณ์ชีวิตของเรา มันมีบางช่วงที่เลวร้ายมากๆ
และมันก็เหมือนกับทำให้เรามีถังบรรจุความเศร้าในใจเรา และถ้าหากเราได้ดูหนัง/ละครเวทีบางเรื่องที่สามารถนำเสนอความรู้สึกเจ็บปวดของตัวละครได้อย่างสมจริงและสอดคล้องกับชีวิตของเรา
มันก็เหมือนกับว่าหนัง/ละครเวที/การแสดงนั้นสามารถเข้าถึงถังบรรจุความเศร้าในใจเรา
และช่วยเจาะรูรั่วในถังนั้นเพื่อให้ความเศร้าในใจเราได้รับการระบายออกมาสักออนซ์สองออนซ์
ขอนอกเรื่องนิดนึง พอเราดู IN THER’S VIEW สองรอบ
แล้วพบว่าเราชอบการแสดงความเจ็บปวด แต่ไม่ชอบการแสดงตลก เราก็เลยเข้าใจว่า
เพราะเหตุใดเราถึงชอบหนังสารคดีเรื่อง THE CHEER AMBASSADORS (2011, Luke Cassady-Dorion)
แค่ในระดับ A+10 แต่ชอบหนังสารคดีเรื่อง THE
CHAMPIONS (2003, Christoph Hübner) ในระดับ A+30 คือหนังสารคดีสองเรื่องนี้เหมือนกันในแง่ที่ว่า
มันติดตามชีวิตการฝึกซ้อมของนักกีฬากลุ่มนึงเหมือนกัน โดยในกรณีของ THE
CHAMPIONS นั้นเป็นการติดตามชีวิตนักฟุตบอลกลุ่มนึงในเยอรมนี
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราชอบหนังสารคดีเรื่อง THE CHEER AMBASSADORS แค่ในระดับ A+10 ไม่ใช่ความผิดของผู้กำกับแต่อย่างใด
แต่เป็นเพียงเพราะว่า ทีมเชียร์ลีดเดอร์ที่ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ติดตามถ่ายทำนั้น
มันเกิดประสบความสำเร็จขึ้นมา หนังเรื่องนี้ก็เลยไม่ได้กระทบเราเป็นการส่วนตัว
แต่ในกรณีของ THE CHAMPIONS นั้น
หนังเรื่องนี้ติดตามถ่ายทำชีวิตนักฟุตบอลนานหลายปี และพอช่วงท้ายๆของหนัง
เราก็แทบร้องไห้ เพราะแววตาของนักฟุตบอลหลายๆคนที่ในช่วงต้นเรื่อง “เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง”
ว่าสักวันพวกเขาจะได้ไม่เป็นแค่ตัวสำรอง แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริง มันกลับ “เต็มไปด้วยความสิ้นหวังกับชีวิต”
ในช่วงท้ายของเรื่องน่ะ นักฟุตบอลหลายคนในหนังเรื่องนี้
ต้องยอมรับกับความเป็นจริงของชีวิตที่ว่า พวกเขาเป็นได้แค่ตัวสำรองเท่านั้นแหละ
และไม่มีทางได้เป็นตัวจริงหรอก ความสิ้นหวังในแววตาของนักฟุตบอลเหล่านี้ในช่วงท้ายของหนัง
มันตรงกันข้ามกับในช่วงต้นเรื่องมากๆ
และมันก็เลยกระทบเราอย่างรุนแรงเป็นการส่วนตัว
บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถเข้าถึงถังบรรจุความเศร้าในใจเราได้
สรุปว่าประเด็นเล็กๆประเด็นนึงที่เราได้จากการดู IN THER’S VIEW ก็คือมันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
ว่าเราชอบการแสดงแบบไหนมากเป็นพิเศษ และเฉยๆกับการแสดงแนวไหน
และมันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าทำไมเราถึงอินกับหนังบางเรื่องมากเป็นพิเศษ :-)
No comments:
Post a Comment