Monday, May 26, 2014

A VISIT TO A DETENTION CENTER


This is what I wrote this afternoon, but after I finished writing it, I have learnt that my friend has now been released from the detention center. So what I wrote below is not up-to-date, but I still want to share what I wrote anyway:

 

First of all, I want to apologize to all of you for causing an unnecessary alarm yesterday. I have visited a friend who was taken away by Thai soldiers on Saturday. He is now detained in the Crime Suppression Division, which belongs to the Police. He said that he deleted many things in his Facebook page by himself after he was captured. So it is not the soldiers who deleted things in his Facebook page as I had wrongfully assumed in my Facebook status yesterday. I’m truly sorry that I jumped to conclusions too quickly and might have caused an unnecessary alarm.

 

However, he said that his cellphone and other detainees’ cellphones have been seized, and the authority can now access all the information in their cellphones, including LINE and FACEBOOK. I now mean the authority “CAN ACCESS” it, but I don’t say that the authority “HAS DONE” it.

 

There are about 11 detainees in this detention center. My friend and other detainees’ morale are very low. They have been told that they will be detained for 7 days after they have been captured, but they are not sure if they will be released after that or not. They have not been beaten, but they said that there was a man who was severely beaten brought in here for a while, but then that severely-beaten man was taken to an unknown place. And they are worried for this man very much, because they don’t know who this man is, and don’t know how safe he is now.

 

My friend was captured by the soldiers on the skywalk near Mahboonkrong Center on Saturday. According to my friend and a witness, there were some people protesting the coup at that time. Then the soldiers started taking away some protesting people. My friend couldn’t stand watching this, so he said loudly,”What are you doing now? Why weren’t you here a few months ago?” And then the soldiers told him to go home. But my friend said that the skywalk should be the place for civilians, and soldiers should be in their barracks. Then the soldiers took my friend away. In my opinion, my friend has done nothing wrong at all. But now he has been detained since Saturday, and may be detained for 7 days.

 

According to other detainees’ account, they have all been unfairly arrested. A young man was arrested for holding up a piece of paper to protest the coup. An old man said that he was arrested on Sunday at McDonald’s, after he had said to a soldier, “Do you know that the gun you are holding now comes from the tax paid by the people?” Many detainees now warn that if you are gonna protest the coup, you should not say anything at all to the soldiers.

 

Many detainees wish that they will be released as soon as possible. They said that they don’t want to be a hero at all. Now they just want to live a normal life and carry on their daily activities as before. They hope that some media attention and the pressure from foreign countries may help get them released.

 

Anyone who wants to visit these detainees can go to the Crime Suppression Division. They can be visited at 0800-0900, 1200-1300, and 1700-1800hrs. They said that they have enough food here, but people can bring in some books or newspaper for them to read. The temperature inside the cell is extremely hot. But I am very impressed by the attitude of the police who work here. The police here are very very helpful.

Favorite quote from Ai Weiwei

Favorite quote from Ai Weiwei:
 
Chairman Mao once said, “As communists we gain control with the power of the gun and maintain control with the power of the pen.”
If the people are free to speak, then the first thing they will discuss is the legitimacy of those in power—and those people would immediately lose their power. Over decades, they gradually lost the moral ground. Then they lost the ideological ground. But they still have the army and the propaganda. And they’re not trying to make any improvements; they will literally just grab the gun and kill anybody who has a different voice.”

- Ai Wei Wei on censorship in China
 
 

Sunday, May 25, 2014

KON KOM KWAN (2013, Wiroon Kingpaiboon, documentary, A+15)

 
KON KOM KWAN คนคมขวาน (2013, Wiroon Kingpaiboon, documentary, A+15)
 
1.ส่วนหนึ่งของหนังเป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับชีวิตชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำโขง และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งส่วนนี้ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานหนังสารคดีชั้นดีเรื่องอื่นๆ และมีบางประเด็นน่าสนใจ
 
2.แต่ส่วนที่เราชอบมากเป็นพิเศษคือส่วนที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสในบ้านเก่าๆบางหลังริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งบ้านเหล่านี้มีอายุประมาณ 60-70 ปี เขาบอกว่าบ้านเก่าๆเหล่านี้สร้างโดยสถาปนิกชาวเวียดนาม มันเลยออกมาเป็นสไตล์ฝรั่งเศส และบางหลังเคยเป็นของพ่อค้ายาเสพติด
 
3.ส่วนที่ชอบสุดๆอีกส่วนในหนังเรื่องนี้คือการสัมภาษณ์ชาวบ้านเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติมากมายริมฝั่งแม่น้ำโขง เราว่าส่วนนี้มันเหมือนเป็นวัตถุดิบที่เหมาะต่อการเอาไปสร้างเป็นหนังผี/หนังอาร์ตแบบหนังผีเจ้ยได้ มันมีทั้งเรื่องตำนานปรัมปราเกี่ยวกับพญานาคสู้กัน, ของวิเศษที่ถูกทิ้งไปในแม่น้ำโขง, ตำนานพระธาตุพนม, เรื่องของเจ้าศรีโคตรที่ฆ่าช้างตายไปร้อยตัว และเรื่องที่หนักที่สุดคือเรื่องของผีโขนน้ำ ซึ่งเป็นกลุ่มมนุษย์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่อาศัยอยู่ในถ้ำใต้แม่น้ำโขง โดยชายวัย 47 ปีที่เล่าเรื่องนี้เคยเห็นผีโขนน้ำกับตาตัวเองจริงๆ
 
งานด้านเพลงประกอบก็น่าสนใจดี และเราชอบงานด้านภาพมาก เราว่า texture ของภาพมันงามมากๆสำหรับเรา ตอนช่วง Q&A กับผู้กำกับ เขาเล่าว่าเขาใช้กล้องมินิดีวีถ่ายทำ เพราะมันเหมาะกับการถ่ายภาพแม่น้ำโขงโดยมีภูเขาฝั่งลาวเป็นฉากหลัง และเขาไม่ชอบภาพของกล้องดิจิตัล DSLR
 
แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีกลวิธีการเล่าเรื่องที่พิสดารแต่อย่างใด เราว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ทำขึ้นเพื่อประกอบ “โครงการวิจัย” ก็เลยต้องทำตัวอยู่ในกรอบและเน้นเนื้อหาสาระมากหน่อย อย่างไรก็ดี จะมีภาคสองของหนังเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะมันไม่ต้องใช้ประกอบโครงการวิจัยแล้ว และมันจะมีเรื่องเกี่ยวกับยูเอฟโอเหนือแม่น้ำโขงด้วย
 
พอเราดูหนังจบ เราเลยไปหาข้อมูลเรื่องท้าวศรีโคตรเพิ่ม พบว่ามันน่าสนใจมาก เราว่าถ้าหากเอาตำนานท้าวศรีโคตรมาสร้างเป็นหนัง มันอาจได้หนังที่ดีมากๆแบบ DIE NIBELUNGEN (1924, Fritz Lang) ก็ได้
 
(ส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับหนัง แต่พอเห็นคำว่า “โขงเจียม” ปรากฏขึ้นมาในหนังเรื่องนี้แล้ว มันทำให้รู้สึกเป็นกังวลถึงใครบางคนอย่างมากๆ)
 

WHAT THAI SOLDIERS DO NOW


My friend was taken away by Thai soldiers yesterday, though he did nothing wrong at all. Now many things he posted on his Facebook are deleted. That means the soldiers have gained access to his Facebook account and deleted many things my friend posted or wrote.

 

I don’t know when that will happen to me, too.

Monday, May 19, 2014

ENEMY (2013, Denis Villeneuve, A+30)


ENEMY (2013, Denis Villeneuve, A+30)

 

(อันนี้มาจากสิ่งที่เขียนคุยกับเพื่อน)

 

ส่วนตัวผมนั้น ก็ไม่ได้เข้าใจ ENEMY กับตอนจบของหนังเรื่องนี้เหมือนกันครับ แต่ดูหนังเรื่องนี้แล้วผมจะนึกไปถึง “เส้นทางชีวิตที่ไม่ได้เลือก” น่ะครับ อย่างเช่น เวลาเราเลือกที่จะแต่งงาน เราก็จะจินตนาการว่า ถ้าหากเราไม่ได้แต่งงาน ชีวิตของเราป่านนี้จะเป็นอย่างไรไปแล้วบ้าง และในทางกลับกัน ถ้าหากเราเลือกแต่งงาน เราก็คงจะหมกมุ่นกับจินตนาการที่ว่า ถ้าหากเราไม่ได้แต่งงาน ป่านนี้ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรไปแล้วบ้าง คือไม่ว่าเราจะเลือกเส้นทางชีวิตแบบไหน เราก็อาจจะเสียใจกับทางเลือกนั้น หรืออาจจะไม่มีความสุขอย่างเต็มที่กับทางเลือกนั้น และอาจจะหมกมุ่นกับการจินตนาการถึง “เส้นทางชีวิตที่เราไม่ได้เลือก” ก็ได้ครับ

 

ส่วนตัวแมงมุมในฉากจบนั้น ผมจะนึกไปถึง “การแต่งงานและมีลูก” ว่าเป็นเหมือนกับดักชีวิตอย่างนึงครับ ถ้าหากคุณเลือกที่จะแต่งงานและมีลูก มันก็เหมือนกับคุณตกเข้าไปในกับดักของใยแมงมุม และยากที่จะสลัดตัวเองให้พ้นจากกับดักนั้นได้

 

แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ที่ผมเขียนถึงอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อนะครับ มันเป็นเพียง “สิ่งที่ผมนึกถึงหลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้” ครับ ซึ่งอาจจะเป็นคนละอย่างกับความหมายที่แท้จริงของมัน แต่หนังประเภทนี้มันคงต้องการให้คนดูแต่ละคนคิดถึงสิ่งต่างๆแตกต่างกันไปน่ะครับ มันไม่ต้องการให้มีคำตอบตายตัว

Saturday, May 17, 2014

ONI (2014, Chatchai Sattayadith, stage play, A+10)

ONI (2014, Chatchai Sattayadith, stage play, A+10)
 
 
ตอนแรกที่ดูจะแอบนึกว่า เอ๊ะ ละครเรื่องนี้จะได้รับอิทธิพลจาก Ninart Boonpothong มากน้อยแค่ไหน เพราะเรายังไม่เคยดูผลงานการกำกับของคุณชาติชายมาก่อนเลย เราเคยเห็นเขาก็แต่เวลาที่เขาแสดงละครที่กำกับโดยคุณนินาทเท่านั้น แต่พอเราดู ONI ไปเรื่อยๆ เราก็พบว่า ละครเรื่องนี้แตกต่างจากละครของนินาทค่อนข้างมาก และดีกันไปคนละแบบ
 
เราว่าละครของนินาทมีจุดเด่นที่ content น่ะ บทละครส่วนใหญ่ของนินาทจะมีเนื้อหาที่แน่นมาก, เนื้อหาจะ thought provoking มาก มีเรื่องให้คิดเยอะมาก และก็มักจะสะท้อนปัญหาบางอย่างทางสังคมหรือการเมือง หรือการทรยศหักหลังกัน แต่ ONI จะมีจุดเด่นในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ content เพราะเราว่าในส่วนของเนื้อเรื่องแล้ว เนื้อเรื่องของ ONI ไม่หนักหัวเหมือนของ Ninart เนื้อหาของ ONI เป็นเหมือนเรื่องราวการผจญภัยสนุกสนาน ออกแนวแฟนตาซีแบบ LORD OF THE RINGS มันเป็นโลกของเทพนิยายที่เบาสบายและไม่เครียดเหมือนของ Ninart แต่ในขณะเดียวกันเราก็ชอบ ONI มากๆในแง่ที่ว่า ถึงแม้เนื้อเรื่องมันจะเบากว่าของนินาท มันก็ “จริงจัง” กับตัวละครของมันมากพอสมควร
 
สิ่งที่เราชอบมากๆใน ONI ก็เลยไม่ใช่เนื้อเรื่อง แต่เป็น “ความงดงามทางการเคลื่อนไหวและจังหวะต่างๆ” อย่างเช่นจังหวะการร่ายรำ, จังหวะการเคาะไม้ อะไรพวกนี้ เราว่าการเคลื่อนไหวร่างกายของนักแสดงในบางฉากของเรื่องนี้ มันดู graceful มันงดงาม มันได้รับการออกแบบมาดีน่ะ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่ใช่จุดเด่นในละครส่วนใหญ่ของนินาท แต่มันคือจุดเด่นของ ONI
 
นอกจาก “ความงดงามทางการเคลื่อนไหวและจังหวะ” แล้ว เราก็ชอบโทนของละครเรื่องนี้ในระดับหนึ่งด้วย คือเราชอบที่ถึงแม้เนื้อเรื่องมันจะออกมาเป็นโลกเทพนิยาย แต่มันก็มีโทนค่อนข้างซีเรียสเล็กน้อย, มีอารมณ์เจ็บปวด และมีความขลังบางอย่างน่ะ คือแทนที่ละครเรื่องนี้จะออกมาในโทนตลก หรือ ผจญภัยสนุกสนาน ละครเรื่องนี้กลับออกมาในโทนที่ดูขลังและเจ็บปวดเล็กน้อยแทน
 
คือเวลาเราดู ONI เราจะนึกเปรียบเทียบกับหนังเรื่องต่างๆที่เราเคยดูมาแล้ว โดยเฉพาะหนังเกี่ยวกับโลกเทพนิยายของญี่ปุ่น อย่างเช่น
 
1.DORORO (2007, Akihiko Shiota)
 
2.KITARO (2007, Katsuhide Motoki)
 
3.KURONEKO (1968, Kaneto Shindo)
 
4.KWAIDAN (1964, Masaki Kobayashi)
 
5.UGETSU (1953, Kenji Mizoguchi)
 
6.THE YIN-YANG MASTER (2001, Yojiro Takita)
 
คือเราชอบมากที่ ONI ไม่เลือกที่จะทำตัวเองเป็นเหมือนหนังอย่าง DORORO, KITARO กับ THE YIN-YANG MASTER น่ะ แต่ ONI กลับทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง KURONEKO, KWAIDAN กับ UGETSU แทน คือหนังอย่าง DORORO, KITARO กับ THE YIN-YANG MASTER นั้น มันสนุกที่เนื้อเรื่อง แต่โทนของหนังมันจะออกมาตลกๆ ไม่ซีเรียส ดูหุยฮาปาหี่แตก ซึ่งจะตรงข้ามกับโทนของหนังอย่าง KURONEKO, KWAIDAN กับ UGETSU ที่โทนจะออกมาขรึมขลัง, ซีเรียสจริงจัง และสง่างาม เราว่าโทนของ ONI ไปกันได้กับหนังสามเรื่องหลังนี้ เพราะ ONI ไม่ได้ต้องการเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม และไม่ได้ต้องการทำให้ผู้ชมลุ้นระทึกไปกับเนื้อเรื่อง สิ่งที่เราได้จาก ONI คือความรู้สึกเจ็บปวดของตัวละครฮาชิฮิเมะ (ยามัมบะ), ความสง่างามทางการเคลื่อนไหวของนักแสดง และความประทับใจที่โลกปีศาจในหนังเรื่องนี้ดูค่อนข้างจริงจัง
 
สรุปว่า พอเวลาเราดู ONI แล้ว เราก็อดจะจินตนาการไม่ได้ว่า ถ้าหากละครเวทีเรื่องนี้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนัง มันจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง เราว่ามันอาจจะออกมาเป็นหนังที่ขลังมากๆอย่าง KURONEKO ก็ได้
 

Thursday, May 15, 2014

THE RENDEZ-VOUS OF DÉJÀ-VU (2013, Antonin Peretjatko, A+30)

 
THE RENDEZ-VOUS OF DÉJÀ-VU (2013, Antonin Peretjatko, A+30)
 
ดูแล้วนึกว่าประสาทจะแดก นี่เป็นหนังเรื่องที่สามของ Antonin Peretjatko ที่เราได้ดู และทั้งสามเรื่องได้ A+30 จากเราหมดเลย สรุปว่าเขากลายเป็นผู้กำกับหนังในดวงใจเราไปแล้วอีกคนนึง
 
นี่ก็เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่นึกว่ามีฉากคลาสสิคทุก 5 วินาที เราชอบโครงสร้างการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้มาก มันสับสนอลหม่านมากๆ มันมีเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า แล้วนอกจากตัวละครแต่ละคนจะเล่าเรื่องในอดีตของตนกันจนวุ่นวายไปหมดแล้ว ตัวละครบางคนยังเล่า daydream ของตัวเองออกมาอีกด้วย แล้วไอ้ daydream นั้นมันก็ไม่จบในฉากเดียว แต่อยู่ดีๆมันก็เหมือนมีชีวิตของมันเอง และดำเนินไปเรื่อยๆขนานไปกับโลกแห่งความเป็นจริง
 
คือถ้ามันมีแค่เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่ากันไปเป็นชั้นๆ เราจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ไปไกลกว่า THE SARAGOSSA MANUSCRIPT (1964, Wojciech Has) แต่นี่มันมีมิติอื่นๆแทรกเข้ามาด้วย เราก็เลยทึ่งกับมันมากๆ
 
ดูแล้วทำให้นึกไปถึงหนังตลกเอะอะมะเทิ่งของไทยบางเรื่องนะ คือเราว่าถ้าหากใครคิดจะทำหนังตลกเอะอะมะเทิ่งที่มีตัวละครหลายๆตัว ก็น่าจะดู THE RENDEZ-VOUS OF DÉJÀ-VU เป็นตัวอย่าง เพราะมันไปสุดทางของมันจริงๆ มันไม่แคร์อะไรอีกต่อไปแล้วจริงๆ
 

Wednesday, May 14, 2014

SAVAGE WITCHES (2012, Daniel Fawcett and Clara Pais, A+25)



SAVAGE WITCHES (2012, Daniel Fawcett and Clara Pais, A+25)

 

SAVAGE WITCHES is something so strange that it is beyond my ability to describe. Anyway, here is what I think about this film:

 

1.This film says that it is “a motion picture exploration”, and indeed it is. I have never found a film which explores various techniques used in cinema as many as this. But I don’t know much about cinematic techniques, so I don’t know how to describe all of them. But it is such a joy to find various kinds of them in one film. Parts of this film are in black-and-white, or in oversatured colors, or in negative colors, or in pale colors. The scope of the picture changes from time to time. The texture of the film also changes from time to time.

 

Though SAVAGE WITCHES can be categorised as an experimental film, parts of the film seem to belong to various kinds—fiction, animation, stop motion, music video, behind-the-scene footage, news footage (scene of a protest), documentary (the bee scene), and home movie (the scene of a chicken in the garden). Parts of the film also look like still photos with grainy pixels, parts of it look like a slide show, and parts of it is a storyboard.

 

The film was shot by various types of cameras, but I don’t know much about cameras, so I can’t tell which part was shot by which type of cameras. I just know that the texture of the film changes from time to time. I think the kind of texture that I personally like is the one shot by Super8, because it reminds me of some old films, especially the ones directed by Herbert Achternbusch, or because it makes the film look like a very old film.

 

I can’t think of any films which explores as many cinematic techniques as this one. Normally a film only belongs to a genre, is shot by one or two types of cameras, and employs only one or two techniques found in this film. Some films may show us three different film styles or film genres in just one film, but these films are rare already. Films like this include NOW SHOWING (2008, Raya Martin, 280min), which seems to be shot by three different types of cameras, and HSP: THERE IS NO ESCAPE FROM THE TERRORS OF THE MIND (2013, Rouzbeh Rashidi), which was shot by three types of cameras.

 

So SAVAGE WITCHES is a very very rare case for me.

 

2. Because SAVAGE WITCHES focuses on the exploration of cinematic techniques, it stands out from most films I have seen, which focus on storytelling, entertaining, or sending messages in the case of mainstream films. It also stands out from many independent films I have seen, which focus on the atmosphere or some interesting aspects of human beings. I think that for SAVAGE WITCHES, the styles have become the content. Thus, the story in this film is not as important as how each segment of the story is portrayed or is stylized.

 

So what is interesting for me is that the two heroines of this film seem unlike real human beings. I can’t sympathize with them. In my personal opinion, I think of the two heroines of this film as “creative filmmaking spirits”. The rules they want to destroy are not exactly laws or social rules, but cinematic rules. They may be the alter egos of the two directors of this film. The heroines of this film are not human characters with full flesh and blood, but they are the innocent, childlike spirits of filmmaking. They don’t want to be confined in a prison of standard mainstream films. They want to explore the whole wide world of cinematic techniques. Their journey is a cinematic journey.

 

When I was watching this film for the first time, it was a little bit difficult for me to attune myself to the film, because the film doesn’t conform to my expectations. At first I thought that I could attach my feelings and emotions to the story (I thought it might be like THE LINE, THE CROSS, AND THE CURVE (1993, Kate Bush)) or to the two rebellious heroines of this film, but after a while I knew that this is not how I should approach this film. And I’m glad to find a film like this, a film which prompts me to try to find a new way to approach it. It is as if I am a radio which is normally attuned to FM wavelengths, but this film is on AM wavelengths, and it is difficult at first to try to attune myself to it, but after you can attune your wavelengths to it, you will find a whole new world to explore.

 

3. Because SAVAGE WITCHES has so many styles and techniques in it, various parts of this film reminds me of various directors, and that makes this film rare, because normally one film doesn’t remind me of as many directors as this. Apart from the obvious homage to Vera Chytilová, this film also unintentionally reminds me of the following directors:

 

3.1 Derek Jarman

3.2 Ryan Trecartin

3.3 Jan Svankmajer

3.4 David Lynch, because the mysterious key in this film unintentionally reminds me of the mysterious key that the two heroines find in MULHOLLAND DRIVE.

3.5 Terrence Malick, for the scene in which the two heroines of SAVAGE WITCHES lie on the grass, and we hear their voiceovers ruminating on nature.

3.6 Heinz Emigholz. Because some scenes in SAVAGE WITCHES show us pages of books, it untentionally reminds me of THE BASIS OF MAKE-UP I (1983, Heinz Emigholz).

3.7 Wisit Sasanatieng, because TEARS OF THE BLACK TIGER (2000, Wisit Sasanatieng) also shows us the world of oversaturated colours, and TEARS OF THE BLACK TIGER is also a film in which the style has become the content.

3.8 Takagi Masakatsu, for the part which seems a little bit like Impressionist paintings

 

The ending credit of SAVAGE WITCHES tells us that the film is influenced by Vera Chytilová, the Kuchar Brothers, and Jeff Keen, but unfortunately I haven’t seen any films by the Kuchar Brothers and Jeff Keen yet.

 

4. I also like the self-reflexive quality of this film. At the beginning of this film, we hear voiceovers telling us some information about Gretchen and Margarita. I think the effect of this voiceover is a little bit Brechtian, because it keeps us some distance from the film, reminding us indirectly that these two girls are “very fictional”. Later on, we hear the voices of the two actresses commenting on the making of this film. We see someone shooting this film. We also see the beautiful storyboard (which is one of my most favorite parts of this film).

 

5. One of my most favorite parts in this film is the scene in which the cartoonish fire suddenly becomes real fire near the end of the film. I don’t know why this scene is very powerful for me. But it affects me much stronger than any techniques used in 3D movies. Maybe it affects me very much because it makes me feel as if the wall separating the fictional world and the real world has been destroyed.

 

6. Many things in this film are intriguing. They make me wonder if they symbolize something or don’t have any particular meanings. These intriguing things include the appearance of fish in various styles, the three blackouts (after the bee attack, after the heroines say, “Let’s destroy the world”, after the burning alive), and the death and the resurrection of the heroines. Does it symbolize that cinema is not dead?

 

7.Though I like this film very much, I can’t say that this film touches me personally. But that doesn’t mean this film has any weaknesses. This is partly just because this film is very new for me, and maybe it needs some time for its effects to grow on me. The visual and the sound in this film are very pleasant. Its ideas are very interesting, but the film somehow doesn’t affect my feelings and emotions that strongly. Anyway, this is just a matter of my personal taste, and also a matter of time. :-)

 

8. If I have to compare this film to standard Hollywood films, I think SAVAGE WITCHES makes me feel as if those Hollywood films are like fashion photos in fashion magazines. Some of these photos may be well-crafted, very beautiful, very glossy, very professional, and a little bit creative, but they are somehow confined by some rules or some conventions. They are bound by the fashion “industry” or by “the current trend”. They may be good, but “in a restricted standard”. And if standard Hollywood films are like photos in fashion magazines, what is SAVAGE WITCHES like? I think it is like paintings by Magritte, because it is handmade, enigmatic, intriguing, proud to be unreal, and it helps us unlock our eyes and our minds from our old ways of seeing, thinking, imagining, and experiencing.

 

9. Since I am not a real film critic, but a cinephile who likes to make some useless lists, I will end this comment by making a list of my favorite films with two main heroines, especially the ones in which the heroines go on an adventure together.

 

I think what makes SAVAGE WITCHES very different from most films with two main heroines is the fact that the two heroines of SAVAGE WITCHES almost have no conflicts with each other. We know the main difference between them only when a voiceover tells us that Margarita is more responsible than Gretchen. Apart from that voiceover, it seems that the differences between the two girls have no effect on the story at all. But it is also said in the film that they may be one mind with two bodies.

 

I think I can divide my favorite films with two heroines into four main groups: pure entertainment, good films with obvious plotlines, good films which are character-based, and films which have something surreal in them. SAVAGE WITCHES easily belongs to the last group.

 

A: Pure entertainment

1. WINNING LONDON (2001, Craig Shapiro) and other films starring Mary-Kate Olsen and Ashley Olsen

 

B. Films with obvious plotlines

2.BAISE-MOI (2000, Virginie Despentes + Coralie Trinh Thi)

3.MIDNIGHT FLY (2001, Jacob Cheung)

4.NABI (2001, Moon Seung-wook)

5.THELMA & LOUISE (1991, Ridley Scott)

6.TO BE TWENTY (1978, Fernando Di Leo)

 

C. Films which are not plot-driven

7.CAGEY TIGERS (2010, Aramisova)

8.CAREER GIRLS (1997, Mike Leigh)

9.FOUR ADVENTURES OF REINETTE AND MIRABELLE (1986, Eric Rohmer)

10.TANGERINE (2012, Kawitsara Phannapanukul + Wassachol Sirichanthanun)

11.W (2013, Chonlasit Upanigkit)

 

D. Films which have something surreal in them

12.CELINE AND JULIE GO BOATING (1974, Jacques Rivette)

I think this film should be compared to SAVAGE WITCHES in a way, because one can see CELINE AND JULIE GO BOATING as a film about cinema, too, as the librarian and the magician in this film may be symbols of different aspects of cinema, or something like that.

 

13.DAISIES

14.LIFE ON MARS (2013, Natchanon Vana)

15.MULHOLLAND DRIVE

16.NATHALIE GRANGER (1972, Marguerite Duras)

17.SAVAGE WITCHES





Tuesday, May 13, 2014

VILLAGE OF HOPE วังพิกุล (2014, Boonsong Nakphoo, A+30)

 
VILLAGE OF HOPE วังพิกุล (2014, Boonsong Nakphoo, A+30)
 
ฉากนึงที่ดูแล้วแทบร้องไห้ในหนังเรื่องนี้ คือฉากที่ตัวละครที่มาจากกรุงเทพขับรถจากไป ในฉากนี้กล้องตั้งนิ่งๆ ถ่ายจากระยะไกล แล้วเราก็ค่อยๆเห็นตัวละครแต่ละตัวค่อยๆเดินแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านของตัวเอง และเห็นพระเอกที่ยืนนิ่งอยู่ในจุดหนึ่งของภาพด้วย
 
ฉากนี้ทำให้เรารู้สึกเศร้ามากๆ มันเหมือนกับว่าชีวิตของคนพวกนี้เป็นต้นไม้ในดินแดนที่แห้งผาก แล้วการกลับมาเยี่ยมบ้านของตัวละครจากกรุงเทพเป็นเหมือนน้ำหนึ่งแก้วที่มาหยดใส่ต้นไม้เหล่านี้ แล้วในที่สุดน้ำทั้งหมดก็ซึมลงดิน และชีวิตของคนพวกนี้ก็จะกลับไปแห้งผากต่อไป
 
ชอบตัวละครเด็กหญิงเยลในหนังเรื่องนี้มากๆ มันเหมือนกับเธอมี frustration บางอย่างอยู่ในใจที่ยังไม่ได้ระบายออกมา
 
หนังที่เราว่าน่าจะเอามาฉายควบกับหนังเรื่องนี้อย่างมากๆอาจจะเป็น MELANCHOLY OF A VIDEO (2013, Ukrit Sa-nguanhai) เพราะมันนำเสนอชีวิตที่ดูเหมือนอยู่ไปวันๆอย่างไร้อนาคตของเด็กหนุ่มในชนบทเหมือนกัน