LONG WAY HOME (Siroros Damjun, documentary, A+20)
เราแสดงความเห็นถึง “หล๊อบบ้าน” (LONG WAY HOME)
ไว้ในวิดีโอที่คงจะมีการอัพโหลดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้จ้ะ
แต่เดี๋ยวเราเขียนไว้ในนี้ด้วยแล้วกัน เพราะเวลาเราพูดในวิดีโอ เราจะเรียบเรียงความคิดของตัวเองไม่ได้ดีเท่าไหร่
จริงๆแล้วเราไม่รู้ว่า “หล๊อบบ้าน” เป็นหนังดีหรือเปล่า แต่การที่เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆเพราะเราเอามันไปเปรียบเทียบกับหนัง
fiction ไทยหลายๆเรื่อง
คือหนังสารคดีเรื่องนี้มันมีสิ่งที่หนัง fiction ของไทยหลายๆเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวไม่มี
นั่นก็คือ “ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกหลายๆคนในครอบครัว” และ “การดำรงอยู่ของตัวบุคคลเพื่อตัวบุคคลนั้นเอง
แทนที่จะดำรงอยู่เพื่อรองรับธีมหนัง, หรือเพื่อเสริมตัวละครหลัก, หรือเพื่อ manipulate
อารมณ์คนดู”
คือเวลาเราดูหนัง fiction ของไทย
โดยเฉพาะหนังสั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว เราจะเจอปัญหาดังต่อไปนี้
1.หนังจะนำเสนอเฉพาะความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว กับตัวละครเอก
โดยที่ตัวละครเอกจะเป็นแกนกลางมากๆ คือสมมุติตัวละครเอกชื่อเอ เราจะเห็นเฉพาะความสัมพันธ์ของเอกับบี,
เอกับซี, เอกับดี, เอกับอี แต่จะไม่ค่อยเห็นความสัมพันธ์ของบีกับซี ซีกับดี
บีกับอี ซีกับอี ฯลฯ
แต่ใน LONG WAY HOME เราจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกคนต่างๆในครอบครัวตลอดเวลา
เราก็เลยชอบจุดนี้มากๆ มันเหมือนกับว่าคนถ่ายหนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางมากเกินไป
2.ใน LONG WAY HOME เราเห็นสมาชิกหลายๆคนในครอบครัว
มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองน่ะ (แทนที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อรองรับธีมหนัง)
คือเรารู้สึกว่าหลายฉากในหนังเรื่องนี้มันถ่ายทอดชีวิตคนอย่างที่เขาเป็น
และในหลายๆครั้งเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าใครเป็นใครกันแน่ในครอบครัวนี้
ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ดี เพราะเราไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ก็ได้
คือเวลาเราดู LONG WAY HOME เรารู้สึกว่า “มันมีอากาศไหลเวียน”
อยู่ในหนังน่ะ ในขณะที่หนัง fiction เกี่ยวกับครอบครัวหลายๆเรื่องทำให้เรารู้สึก
“อึดอัด” เหมือนกับว่าโลกที่อยู่ในหนังเรื่องนั้นเป็น “โลกที่ได้รับการจัดวาง
ออกแบบมาอย่างดี แต่มีโดมแก้วครอบโลกนั้นไว้ จนทำให้เราที่อยู่ในโดมแก้วรู้สึกว่าขาดอากาศหายใจ”
คือเรารู้สึกว่าหลายๆฉากใน LONG WAY HOME มันเป็นเพียงแค่การถ่ายเสี้ยวเล็กๆในชีวิตคนในครอบครัวออกมา
โดยไม่ได้รองรับธีมอันยิ่งใหญ่, ไม่ได้ต้องการนำเสนอประเด็นอันยิ่งใหญ่,
ไม่ได้ต้องการสร้างความซาบซึ้ง, ไม่ได้ต้องการสั่งสอนผู้ชม
เราก็เลยรู้สึกโอเคกับมันมากๆ เวลาเราดูฉากที่เป็นการถ่ายเสี้ยวชีวิตเล็กๆออกมาอย่างที่มันเป็น
โดยไม่ได้รองรับอะไรแบบนี้ มันทำให้เรารู้สึกปลอดโปร่งน่ะ
แต่มันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการถ่ายและฝีมือการตัดต่อด้วยนะ
คือยิ่งถ่ายดีและตัดต่อเรียบเรียงเข้าด้วยกันได้อย่างดี มันก็จะยิ่งออกมาดีมาก
คือการถ่ายเสี้ยวชีวิตเล็กๆออกมาร้อยเรียงกัน โดยไม่ได้ต้องการบอกคนดูให้เชื่ออะไรหรือให้รู้สึกอะไรแบบนี้
มันเป็นสิ่งที่เราชอบมากๆ และมันจะแตกต่างจากหนัง fiction หลายๆเรื่อง
คือหนัง fiction หลายๆเรื่องมันทำให้เรารู้สึกอึดอัดเหมือนอยู่ใน
“โลกอันสวยงามภายใต้โดมแก้ว” เพราะบางทีเรารู้สึกว่าบางฉากในหนังเรื่องนั้น
หรือบางตัวละครในหนังเรื่องนั้น มัน “ดำรงอยู่” เพียงแค่เพื่อรองรับธีมเรื่อง,
ประเด็นหลักของเรื่อง, ตัวละครหลักของเรื่อง หรือเพื่อ manipulate อารมณ์บางอย่างของคนดูเท่านั้น มันไม่ได้มีชีวิตอยู่แบบคนจริงๆ
มันเป็นตัวละครที่ถูกคิดขึ้นมาเพียงเพื่อเป็นเครื่องมือบางอย่างของผู้สร้างหนังเท่านั้น
ซึ่งสิ่งนี้จะไม่มีใน LONG WAY HOME คือเรารู้สึกว่าสมาชิกครอบครัวมากมายที่ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้
มันมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มันไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อรองรับอะไรข้างต้น
ปัญหานี้ไม่ได้มีแค่กับหนัง fiction นะ
หนังสารคดีบางเรื่องก็เป็น คือหนังสารคดีบางเรื่องมันต้องการนำเสนอเพียงแค่ประเด็น
“ความรักของปู่กับย่า” หรือ “อาการป่วยไข้ของแม่” เท่านั้น
แล้วมันก็นำเสนอแต่ประเด็นนี้จริงๆ และมันก็ตัด “เสี้ยวชีวิตในด้านอื่นๆ”
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักของหนังออกไปหมดเลย มันก็เลยกลายเป็นหนังที่ “ตรงประเด็น”
แต่เวลาเราดูเราจะรู้สึกอึดอัดกับหนังประเภทนี้มากๆ
ในขณะเดียวกัน หนัง fiction บางเรื่องที่ผู้กำกับเก่งจริงๆ
ก็จะทำให้เราไม่รู้สึกอึดอัด อย่างเช่นเรื่อง “มโนขณะ” (เอกลักษณ์ อนันตสมบูรณ์, A+30)
เพราะหนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่า
เราได้เห็นเพียงแค่เสี้ยวชีวิตของสมาชิกครอบครัวในหนังเรื่องนี้เท่านั้น
และมันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า สมาชิกครอบครัวในหนังเรื่องนี้ มันมี “ส่วนอื่นๆของชีวิตที่ไม่ได้ถูกเล่าในหนัง”
ด้วย นั่นก็คือมันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าตัวละครในหนังเรื่องนี้มันเป็นเหมือนคนจริงๆ
หนัง fiction เรื่องอื่นๆที่เราว่าประสบความสำเร็จในการนำเสนอ
“เสี้ยวชีวิตของสมาชิกครอบครัวที่เหมือนกับเป็นคนจริงๆ” ก็มีเช่นเรื่อง
1.KEEP IT QUIET (1999, Benoit Jacquot)
2.THOSE WHO LOVE ME CAN TAKE THE TRAIN (1998, Patrice Chereau)
3.A CHRISTMAS TALE (2008, Arnaud Desplechin) จริงๆแล้วเราไม่ได้ชอบหนังเรื่อง
A CHRISTMAS TALE มากนัก แต่เราว่า Desplechin เก่งในการทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าตัวละครมันเป็นคนจริงๆ
(รูปจาก THOSE WHO LOVE ME CAN TAKE THE TRAIN)
No comments:
Post a Comment