MAD TIGER (2015, Michael Haertlein,
Jonathan Yi, documentary, A+)
ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ Bangkok Screening Room
http://bkksr.com/
1.เป็นหนังเกี่ยวกับ subculture ที่เราแทบไม่เคยมีความรู้มา ก่อน นั่นก็คือวงดนตรีประหลาดๆขอ งชาวญี่ปุ่นที่หากินในสหรัฐ เป็นวงดนตรีพังค์ที่เน้นการ แสดงบ้าๆบอๆมากกว่าการสร้าง ความไพเราะทางเสียงดนตรี
ซึ่งเราว่าเป็นไอเดียที่น่า สนใจมากๆ คือพอพูดถึงวงดนตรีแบบวงดนต รีในหนังของ
John Carney เราจะให้ความสำคัญกับความไพ เราะของเสียงดนตรีเป็นลำดับ แรก
แต่จริงๆแล้วเราไม่จำเป็นต้ องทำแบบนั้นก็ได้ เราสามารถสร้างวงดนตรีที่ขา ยการแสดงมากกว่าการขายเสียง ดนตรีก็ได้
จุดนี้ทำให้นึกถึง Nina Hagen ด้วย คือจริงๆแล้วเพลงของ Nina Hagen ก็เพราะมากสำหรับเรา แต่ก็ต้องยอมรับว่าจุดที่ทำ ให้เราสนใจเธอเป็นลำดับแรกค ือบุคลิกของเธอ
คือมันก็แล้วแต่ตัวศิลปินแห ละ บางคนอาจจะเน้นขายเสียงร้อง ที่ไพเราะ,
บางคนอาจจะเน้นขายเมโลดี้ที ่พลิ้วไหว, บางคนอาจจะเน้นขายเนื้อร้อง ,
บางคนอาจจะเน้นขายเสียงเครื ่องดนตรีแปลกๆ
เพราะฉะนั้นถ้าหากศิลปินบาง คนจะเน้นขายบุคลิกแปลกๆหรือ การแสดงบ้าๆบอๆ
มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
2.ในขณะที่เราชอบหนังเรื่อง นี้มากถึงระดับ
A+ เพราะมันให้ข้อมูลเกี่ยวกับ subculture
ที่เราไม่รู้จักมาก่อน เราก็ไม่ได้ชอบมันมากสุดๆ
เพราะเราไม่อินกับหนังหรือบ ุคคลในหนังมากเท่าไหร่ คือมันเป็น subculture
ที่ดูไปแล้วเราก็พบว่า เราคงไม่สนใจจะไป experience มันในชีวิตจริงแต่อย่างใดน่ ะ คือแค่รับรู้ว่ามี subculture นี้อยู่ก็พอแล้วสำหรับเรา เราไม่ได้สนใจอะไรวงดนตรีปร ะเภทนี้
นักดนตรีในหนังก็ดูไปแล้วคง ไม่ใช่คนที่มี wavelength ตรงกับเราเท่าใดนัก
แต่เราไม่ได้ดูถูกวงดนตรีปร ะเภทนี้นะ คือเราเป็นแค่พวกชอบบอยแบนด ์หล่อๆ
ชอบดนตรีแดนซ์โง่ๆ มันเป็นเรื่องของรสนิยมน่ะ วงดนตรีประเภทนี้แค่ไม่ใช่ท างเราเท่านั้นเอง
3.หนึ่งในฉากที่ชอบที่สุดคื อฉากที่
Yellow ไม่พอใจที่เห็นอดีตสมาชิกวง มาดูการแสดงของพวกเขา
คือเราว่าฉากนี้มันแสดงให้เ ห็นจุดอ่อนในใจมนุษย์ได้ดีน ่ะ
มันเหมือนกับว่า Yellow ยอมรับไม่ได้ที่ Red ออกจากวงไปแล้ว แล้วยังดูเหมือนมีความสุขดี อยู่
และสามารถมาดูการแสดงของวงเ ก่าได้โดยไม่ติดใจอะไร หรือไม่ต้องรู้สึกแข่งขันอะ ไร
การที่ Red ดูเหมือนหลุดพ้นจากบ่วงอัตต าโง่ๆไปได้แล้ว
คงทำให้ Yellow ไม่พอใจในจุดนี้ ในขณะที่ Yellow ยังคงยึดติดกับอะไรบางอย่าง อยู่ เขาก็เลยเป็นทุกข์ที่เห็นคน อื่นมีความสุขจากการไม่ยึดต ิดในสิ่งที่เขายึดติด
(อันนี้คือสิ่งที่เราเดาเอา เองนะ)
ฉากนี้ทำให้นึกถึงหนึ่งในฉา กที่ชอบที่สุดในหนังสารคดีเ รื่อง
HANG THE DJ (1998, Marco La Villa + Mauro La Villa, Canada) ด้วย นั่นก็คือฉากที่ Junior Vasquez ไม่พอใจอย่างรุนแรงที่
Danny Tenaglia มาเที่ยวคลับของเขา และมาฟังเขาเปิดเพลง
(ถ้าจำไม่ผิด) คือเราดูแล้วก็งงว่าทำไม Junior Vasquez ต้องโมโหขนาดนั้น
มันเหมือนกับว่า Junior Vasquez ไปอุปโลกน์เอาเองว่า Danny
Tenaglia เป็นคู่แข่ง และไม่มีสิทธิมาเที่ยวคลับน ี้ ในขณะที่ Danny
Tenaglia มองว่าตัวเองก็เป็นคนคนหนึ่ งที่มีสิทธิเที่ยวเล่นได้ตา มใจชอบ
ไม่เห็นต้องมองคนอื่นๆว่าเป ็นคู่แข่งหรือศัตรูโดยไม่จำ เป็น
4.อีกฉากที่ชอบสุดๆใน MAD TIGER คือฉากที่ Yellow กลับมาเป็นคนปกติและนั่งทบท วนชีวิตตัวเองตามท้องถนนหรื ออะไรทำนองนี้ในช่วงท้ายเรื ่อง
คือเราจะจูนติดกับ moments อะไรแบบนี้ได้ง่ายมากน่ะ ในขณะที่
moments อีก 95% ในหนังเรื่องนี้เป็น moments
ที่เราจูนไม่ค่อยติด
5.สาเหตุสำคัญที่เราไม่ได้อ ินกับหนังเรื่องนี้มากนักอา จจะเป็นเพราะว่า
เราไม่ค่อยอินกับสารคดีวงดน ตรีหรือศิลปินดนตรีด้วยแหละ หนังสารคดีกลุ่มนี้ที่เราชอ บมากที่สุดคงจะเป็นเรื่อง NICO
ICON (1995, Susanne Ofteringer, Germany) เพราะชีวิตของนิโกมันน่าสนใ จสุดๆ,
เพลงของเธอก็ไพเราะมากสำหรั บเรา และหนังสามารถถ่ายทอด moments
งามๆออกมาได้ ซึ่งรวมถึง moments ที่ไม่ได้ “ให้ข้อมูล” แก่ผู้ชม แต่เป็น moments ที่มีเสน่ห์หรือความงามในตั วของมันเอง
ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ Bangkok Screening Room
http://bkksr.com/
1.เป็นหนังเกี่ยวกับ subculture ที่เราแทบไม่เคยมีความรู้มา
จุดนี้ทำให้นึกถึง Nina Hagen ด้วย คือจริงๆแล้วเพลงของ Nina Hagen ก็เพราะมากสำหรับเรา แต่ก็ต้องยอมรับว่าจุดที่ทำ
2.ในขณะที่เราชอบหนังเรื่อง
3.หนึ่งในฉากที่ชอบที่สุดคื
ฉากนี้ทำให้นึกถึงหนึ่งในฉา
4.อีกฉากที่ชอบสุดๆใน MAD TIGER คือฉากที่ Yellow กลับมาเป็นคนปกติและนั่งทบท
5.สาเหตุสำคัญที่เราไม่ได้อ
No comments:
Post a Comment