THE GIRL ON THE TRAIN (2016, Tate
Taylor, A+30)
ชอบในระดับ A+30 แต่อาจจะไม่ติดอันดับประจำป ี
คือสาเหตุที่เราชอบมากเป็นเ พราะว่าเราไม่รู้อะไรเกี่ยว กับหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย
คือตอนที่เข้าไปดูหนังเรื่อ งนี้
เรานึกว่ามันจะเป็นหนังแบบ who done it หรือแบบอกาธา
คริสตี้น่ะ เรานึกว่ามันจะเป็นแบบนิยาย เรื่อง 4.50
FROM PADDINGTON ของอกาธา คริสตี้ที่พูดถึงผู้โดยสารร ถไฟที่เห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม โดยนิยายเรื่องนี้เคยถูกสร้างเป็นหนังเรื่อง
CRIME IS OUR BUSINESS (2008, Pascal
Thomas) มาแล้ว
แต่พอดูไปได้สักพัก เราก็พบว่าหนังเรื่องนี้มัน เข้าทางเรามากๆ เพราะมันเต็มไปด้วยตัวละครห ญิงที่มีบุคลิกแบบที่เราชอบ และมันไม่ใช่หนังแบบ “ใครฆ่า” ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นท ี่ว่า
“ใครคือฆาตกร”, ให้ความสำคัญกับการหักมุมแบ บคาดไม่ถึง
และให้ความสำคัญกับการหลอกล ่อคนดูให้เข้าใจไปผิดทาง แต่มันเป็นหนังแบบ Claude
Chabrol/Ruth Rendell/Georges Simenon ด้วย โดยหนังแบบ Chabrol/Rendell/Simenon
มันจะไม่ใช่หนังลึกลับ/ ระทึกขวัญที่ให้ความสำคัญกับ ประเด็นที่ว่า
“ใครคือฆาตกร” แต่มันเป็น “หนังชีวิตที่มีเหตุการณ์ฆา ตกรรมเกิดขึ้นในเรื่อง” โดยเหตุการณ์ฆาตกรรมในหนังอ าจจะเป็นปริศนาลึกลับ
แต่ประเด็นที่ว่าใครเป็นฆาต กรแทบไม่มีความสำคัญเลย สิ่งที่สำคัญคือการเจาะลึกเ ข้าไปในจิตวิญญาณของตัวละคร ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเหตุก ารณ์ฆาตกรรมนั้น
โดยตัวอย่างหนังที่ดีมากๆใน หนังกลุ่มนี้ก็มีเช่น THE BLUE ROOM (2014,
Mathieu Amalric) ที่สร้างจากนิยายของ Georges Simenon,
ALIAS BETTY (2001, Claude Miller) ที่สร้างจากนิยายของ Ruth
Rendell และ THE COLOR OF LIES (1999, Claude Chabrol) ที่พูดถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมเ ด็กหญิงในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่หนังแทบไม่ได้ให้ความสำค ัญแต่อย่างใดกับประเด็นที่ว ่าใครเป็นฆาตกร
แน่นอนว่าพอ Claude Chabrol ตายไปในปี 2010 เราก็โหยหาหนังกลุ่มนี้อย่า งรุนแรงมาก
เพราะฉะนั้นพอได้ดู THE GIRL ON THE TRAIN เราก็เลยมีความสุขอย่างสุดๆ เพราะหนังค่อนข้างให้ความสำ คัญกับสภาพจิตตัวละครมากทีเ ดียว
และไม่ได้ให้ความสำคัญมากนั กกับการสร้างสถานการณ์ตื่นเ ต้นลุ้นระทึกในช่วงท้ายของห นัง
แต่ THE GIRL ON THE TRAIN ก็คงไม่ติดอันดับประจำปีของ เรานะ เพราะจริงๆแล้วหนังมันก็เหม ือนอยู่กึ่งกลางระหว่าง
Agatha Christie กับ Claude Chabrol น่ะ
คือมันยังให้ความสำคัญกับกา รหักมุมและการหลอกล่อคนดูน่ ะแหละ
โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของ หนัง ถึงแม้จะไม่ได้ให้ความสำคัญ กับจุดนี้มากเท่าหนังสูตรสำ เร็จเรื่องอื่นๆ
คือพอดูช่วงครึ่งหลังของหนั ง มันจะมีบางจุดที่ทำให้เราสง สัยว่า รายละเอียดบางอย่างในชีวิตต ัวละครมันไม่ได้ถูกใส่เข้าม าเพื่อสะท้อนจิตวิญญาณตัวละ คร
แต่ใส่เข้ามาเพื่อผลในการหั กมุมมากกว่า ซึ่งเราไม่ชอบอะไรแบบนี้
คือถ้าหนังมันไปถึงขั้น Georges Simenon/Ruth Rendell/ Claude Chabrol จริงๆ
เราก็คงชอบมันถึงขั้นติดอันดับประจำป ี แต่สิ่งที่มันเป็นอยู่นี้ก็ คือมันเข้าใกล้
Chabrol ได้มากกว่าหนังฮอลลีวู้ดเรื ่องอื่นๆ
แต่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นซะที เดียว
ดูแล้วนึกถึง IN THE CUT (2006, Jane Campion) ด้วย ในแง่การเป็น “หนังชีวิตที่มีปริศนาฆาตกร รมอยู่ในหนัง”
เหมือนกัน และเน้นสภาพจิตของตัวละครนา งเอกอย่างรุนแรงเหมือนกัน
เห็นหลายคนเทียบหนังเรื่องน ี้กับ GONE
GIRL (2014, David Fincher) ซึ่งเราก็ชอบหนังเรื่องนี้ก ับ GONE
GIRL ในระดับเท่าๆกันนะ เพราะมันมีข้อดีคนละอย่าง คือจริงๆแล้ว THE
GIRL ON THE TRAIN เข้าทางเรามากกว่าในแง่ “แนวทาง”
หนัง เพราะ THE GIRL ON THE TRAIN มันให้ความสำคัญกับสภาพจิตต ัวละครหญิงอย่างรุนแรง
และเราชอบหนังแบบนี้มากกว่า หนังหักมุม, หลอกล่อคนดูอย่างชาญฉลาดแบบ GONE GIRL แต่ GONE GIRL เหมือนมีการกำกับที่เฉียบคม กว่าน่ะ
มันก็เลยสร้างความรู้สึกประ ทับใจได้ในแง่ฝีมือการกำกับ ในขณะที่ THE GIRL ON THE TRAIN มันประทับใจเราในแง่แนวทางห นัง
เพราะมันเล่าเรื่องในแบบที่ เราโหยหามานานมากแล้วหลังจา ก Claude
Chabrol ตายไป
ชอบในระดับ A+30 แต่อาจจะไม่ติดอันดับประจำป
แต่พอดูไปได้สักพัก เราก็พบว่าหนังเรื่องนี้มัน
แน่นอนว่าพอ Claude Chabrol ตายไปในปี 2010 เราก็โหยหาหนังกลุ่มนี้อย่า
แต่ THE GIRL ON THE TRAIN ก็คงไม่ติดอันดับประจำปีของ
คือถ้าหนังมันไปถึงขั้น Georges Simenon/Ruth Rendell/
ดูแล้วนึกถึง IN THE CUT (2006, Jane Campion) ด้วย ในแง่การเป็น “หนังชีวิตที่มีปริศนาฆาตกร
เห็นหลายคนเทียบหนังเรื่องน
No comments:
Post a Comment