Friday, December 16, 2022

ARNOLD IS A MODEL STUDENT (2022, Sorayos Prapapan, A+30)

 

ARNOLD IS A MODEL STUDENT (2022, Sorayos Prapapan, A+30)

 

1.สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังก็คือการเป็นบทบันทึกทางประวัติศาสตร์ของยุคสมัยนี้นะ การที่มันช่วยบันทึกปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนเลวเอาไว้ เหมือนมันเป็นเหตุการณ์สำคัญอันนึงที่น่าจดบันทึกไว้อย่างจริง ๆ จัง ๆ

 

2.และก็ชอบที่หนังมันบันทึกกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีมานานแล้วในโรงเรียนด้วย ทั้งการที่ครูที่สอนพิเศษแอบเปิดเผยข้อสอบให้ลูกศิษย์/ลูกค้า, การให้ความสำคัญกับอะไรต่าง ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีประโยชน์จริง ๆ อย่างเช่นวิธีการกราบไหว้

 

3.ชอบการที่หนังทำให้เรานับถือสปิริตของเด็ก ๆ ยุคนี้ด้วย เพราะเราก็เติบโตมาจากยุคที่เราไม่เคยตั้งคำถามกับกฎเกณฑ์หรือค่านิยมหลาย ๆ อย่าง ว่ามันมีประโยชน์จริงหรือไม่ และถ้าหากกฎเกณฑ์บางอย่างมีประโยชน์อยู่บ้างจริง ๆ การทำผิดกฎเกณฑ์นั้น สมควรจะต้องใช้มาตรการใดตามมา ควรจะมีการลงโทษหรือไม่ และการลงโทษที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป ในแต่ละกรณีอยู่ที่จุดใด อย่างเช่นการทำแจกันแตก หรือการมาสาย

 

4.ชอบการพูดถึงระบบการโกงข้อสอบด้วย แต่เหมือนหนังมันแค่พูดถึงว่าสิ่งนี้มันมีอยู่ แต่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอะไรกับมันมากไปกว่านั้น

 

5. ประเด็นนึงในหนังที่เราชอบมากเป็นพิเศษ ก็คือความจริงที่ว่า ถ้าหากเราเป็นเด็กนักเรียน เราจะเอาตัวเข้าแลกหรือต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ซึ่งเราว่ามันเป็นประเด็นที่ dilemma ดี เพราะว่า "โรงเรียนมัธยม" มันเหมือนเป็นสถานที่ที่เราต้องพึ่งพิงหรือเกี่ยวข้องเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยามน่ะ มันไม่ใช่ “ครอบครัว” หรือ “ประเทศชาติ” ที่เรายากจะหลีกหนีจากมันได้ คือเราอาจจะเห็น “สิ่งผิด” หรือ “สิ่งไม่ถูกต้อง” ในโรงเรียนหรือระบบของโรงเรียนที่เราอยู่ แต่เราก็คงต้องถามตัวเองว่า “มันคุ้มหรือเปล่า” ที่เราจะลุกขึ้นสู้กับมัน หรือเราจะเลือกที่จะทน ๆ ไปอีกสักแป๊บนึงจนกว่าจะเรียนจบ แล้วก็จะเป็นอิสระจากโรงเรียนหรือครูเหี้ย ๆ คนนั้นไปตลอดกาล

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยนับถือกลุ่มนักเรียนที่ลุกขึ้นสู้มาก ๆ และเราก็คิดว่าเราเข้าใจนักเรียนบางคนที่อาจเลือกที่จะอยู่เฉย ๆ โดยเฉพาะถ้าหากนักเรียนคนนั้นไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งโดยตรงกับครูเหี้ย ๆ คนนั้น

 

5.อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ ก็คือ พระเอกน่ารักมาก กรี๊ดดดดดดดดดด 555555

 

6.ถึงแม้เราจะชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 และมองว่ามันเป็น “หนังยาวของไทย” ที่เราชอบมากเรื่องนึงเมื่อเทียบกับหนังยาวของไทยเรื่องอื่นๆ แต่ถ้าหากเทียบกับหนังเรื่องอื่น ๆ ในเทศกาล WORLD FILM FESTIVAL OF BANGKOK ในปีนี้ หนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ได้ติดอันดับสูงมากนักนะ 555 เพราะเรามองว่าถ้าหากเทียบกับ “หนังต่างประเทศ” แล้ว หนังเรื่องนี้ก็เหมือนยัง “ไปไม่สุด” สำหรับเราน่ะ

 

เราว่าอาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนไทยด้วยแหละ เพราะการที่เราเป็นคนไทยอาจจะช่วยให้เราเข้าใจเกือบทุกอย่างในหนังก็จริง แต่เราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้ “ข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจ” สำหรับเราน่ะ คือเหมือนหนังบอกในสิ่งที่เรารู้ ๆ อยู่แล้ว และไม่ได้สร้างผลกระทบทางอารมณ์ความรู้สึกกับเราอย่างรุนแรงมากนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการดูหนังต่างประเทศ เพราะหนังต่างประเทศหลาย ๆ เรื่องมักจะ “ให้ข้อมูลที่เราไม่เคยรู้มาก่อน”

 

7.เราเห็นด้วยกับเพื่อน ๆ บางคนที่มองว่า หนังเรื่องนี้ยัง balance หรือผสมกันได้ไม่ดีพอระหว่างส่วนที่เป็นชีวิตของอานนท์ กับส่วนที่เป็นเรื่องของ “กลุ่มนักเรียนเลว” น่ะ เราเองก็รู้สึกว่ามันเหมือนเข้ากันได้ไม่ดีพอ หรือไปได้ไม่สุดทั้งสองทาง

 

เราว่าหนังมันอาจจะเข้าทางเรามากกว่านี้ ถ้าหากหนังมีตัวละครนำ 2 ตัวไปเลยน่ะ ซึ่งก็คือตัวอานนท์ ที่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับระบบของโรงเรียนมากนัก เพราะเขาเรียนเก่ง, สามารถเลือกที่จะทิ้งโรงเรียนนี้เพื่อไปเรียนต่อเมืองนอกก็ได้ และเขาเองก็ชอบตัดผมสั้นอยู่แล้วด้วย (ก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องทรงผมไปโดยปริยาย 55555)

 

คือถ้าหากหนังจะให้ความสำคัญกับกลุ่มนักเรียนเลว บางทีหนังอาจจะต้องสร้างตัวละครนำอีกตัวที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเนติวิทย์, เพนกวิน, เพื่อน ๆ ของเพนกวิน หรือผู้นำบางคนในกลุ่มนักเรียนเลวไปเลยน่ะ แบบเด็กมัธยมที่สนใจการเมืองจริง ๆ, มีความรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับรากเหง้าของปัญหาในประเทศไทย, มีความรู้สึกรุนแรงจริง ๆ กับประเด็นอะไรแบบนี้ เพราะเราว่าพอหนังนำเสนอกลุ่มนักเรียนที่ลุกขึ้นสู้แบบ “ห่าง ๆ”  แล้ว อารมณ์มันเลยเหมือนไปได้ไม่สุดน่ะ

 

8.แต่ถ้าหากหนังจะทิ้งประเด็นนักเรียนเลวไปเลย และเลือกที่จะเป็นหนังดราม่าเกี่ยวกับชีวิตของอานนท์ หนังก็อาจจะเข้าทางเราได้เหมือนกันนะ โดยหนังอาจจะเน้นสร้างความเป็นมนุษย์เทา ๆ ให้กับตัวละครครูแต่ละคนและเพื่อน ๆ แต่ละคนของอานนท์ไปด้วย โดยเฉพาะตัวครูวาณี คือเราว่าตัวครูวาณีในหนังเรื่องนี้ มันดูเหมือนเป็น “เป้าโจมตีที่ง่ายเกินไป” น่ะ โดยเฉพาะถ้าหากจะทำเป็นหนังดราม่า

 

อย่างไรก็ดี ถึงแม้เราจะรู้สึกว่าตัวละครครูวาณีในหนังเรื่องนี้เป็น “เป้าโจมตีที่ง่ายเกินไป” สำหรับการใช้เป็น “นางตัวร้าย” ในหนังดราม่า แต่เราก็ยอมรับว่า ในความเป็นจริงนั้น เราเคยเจอครูที่เหี้ยหนักกว่าครูวาณีอีกด้วยนะ 55555 คือเอาเข้าจริงแล้วในโลกแห่งความเป็นจริง มันก็มีครูที่เลวร้ายหนักกว่าครูวาณีหลายเท่าน่ะ เพียงแต่ว่าพอมันเป็น “ตัวละครในภาพยนตร์ดราม่า” บางทีมันก็อาจจะต้องอาศัยวิธีการบางอย่างที่ทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกว่า ตัวละครตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเป็นผู้ร้ายแบน ๆ อะไรทำนองนี้ ยกเว้นแต่ว่ามันจะเป็น “หนังประเด็น” ไปเลย

 

คือเราว่าหนังเรื่องนี้มันมีทั้งความเป็น “หนังดราม่า” และ “หนังประเด็น” ผสมกันอยู่น่ะ และพอมันผสมกันได้ไม่ดีพอ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกลักลั่นบางอย่าง คือตัวละครอานนท์ดูเหมือนจะมีความลึกแบบหนังดราม่าได้ แต่ตัวละครครูวาณีและตัวละครเด็กสาว 3 คนที่เป็นผู้นำกลุ่มนักเรียนเลวดูขาดความลึกสำหรับหนังดราม่า ซึ่งเราว่าตัวละครกลุ่มนี้อาจจะดูโอเคถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็น “หนังประเด็น” ไปเลย (แบบหนังของ Godard)  แต่พอหนังเรื่องนี้มีความเป็นดราม่าอยู่ด้วย ตัวละครกลุ่มนี้ก็เลยดูแบน ๆ เกินไปหรือดูแห้ง ๆ เกินไปในแง่นึง

 

9.แต่ถ้าหากหนังจะเน้นประเด็นนักเรียนเลวไปเลย เราก็คิดว่าหนังอาจจะเข้าทางเราได้เช่นกัน โดยอาจจะทำออกมาแบบนี้

 

9.1 เป็นหนังที่มีความเป็น caricature ไปเลย ซึ่งในหนังแบบนี้ ตัวละครอาจจะไม่ต้องมีความเป็นมนุษย์สีเทาแบบในหนังดราม่า แต่เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับประเด็นอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไปเลย แบบหนังของ Chulayarnnon หรือหนังอย่าง LA CHINOISE (1967, Jean-Luc Godard)

 

9.2 หรือถ้าหากจะทำหนังดราม่าเกี่ยวกับกลุ่มนักเรียนเลว เราก็อยากเห็นหนังที่ไม่ได้พูดถึงแค่ “กลุ่มนักเรียนเลว VS. เผด็จการในโรงเรียน” แต่เป็นหนังที่สะท้อนความขัดแย้งกันเองมากมายภายในฝ่าย “หัวก้าวหน้า” ด้วยน่ะ ทั้งประเด็นเรื่อง sexual abuse และประเด็นดราม่าเหี้ยห่าต่าง ๆ มากมายภายในฝ่าย liberals ด้วยกันเอง 55555

 

10.สรุปว่าเราชอบ ARNOLD IS A MODEL STUDENT มาก ๆ ก็จริง โดยเฉพาะถ้าหากเทียบกับ “หนังไทยขนาดยาว” ด้วยกัน แต่เราก็ยอมรับว่าหนังยังไปได้ไม่สุดในทางอารมณ์สำหรับเรานะ และเราก็เขียนไว้ในข้อ 7-9 แล้วว่า เราแอบจินตนาการต่อว่า หนังมันอาจจะเข้าทางเรามากกว่านี้ ถ้าหากหนังมันออกมาในแนวทางใด แต่การที่หนังมันไม่ได้เข้าทางเราก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของหนังนะ

 

11.ไม่รู้ว่า ARNOLD IS A MODEL STUDENT จะเข้าฉายในวงกว้างในไทยเมื่อไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราอยากเห็นก็คือว่า เราอยากเห็นคนที่ดูหนังเรื่องนี้ เขียนถึงหนังเรื่องนี้ในแง่มุมนึงด้วย นั่นก็คือแง่มุมที่ว่า หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึง “ประสบการณ์ใดบ้างในชีวิตจริง โดยเฉพาะตอนเรียนโรงเรียนมัธยม” 55555 แบบที่คุณ “คนมองหนัง” เขียนถึงหนังเรื่องนี้ เพราะเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันก็ไปกระตุ้นความทรงจำของเราที่มีต่อชีวิตมัธยมอย่างมาก ๆ เหมือนกันน่ะ ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้ว และเราก็สนใจอยากรู้ว่า หนังเรื่องนี้ไปกระตุ้นความทรงจำใดบ้างในชีวิตจริงของผู้ชมท่านอื่น ๆ ด้วย

 

12.สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้ไม่ได้เกี่ยวกับหนัง แต่เป็นประเด็นที่ว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงอดีตชีวิตของเราเองอย่างไรบ้าง 5555

 

12.1 สิ่งแรกก็คือว่า ถ้าหากเป็นในยุคสมัยของเรา เราก็คงไม่ได้ลุกขึ้นสู้กับโรงเรียนน่ะ เพราะยุคของเรามันเป็นยุคของ “การสอบเทียบ” ในทศวรรษ 1980 55555 คือพอมันมี “การสอบเทียบ” และการสอบ entrance เข้ามหาลัยต่าง ๆ โดยไม่ต้องดูเกรดตอนเรียนมัธยมแล้ว แล้วกูจะต้องแคร์ครูในโรงเรียนกูทำไมคะ คือถ้าอีครูคนไหนมีปัญหากับกู กูก็ไม่ต้องเรียนจบโรงเรียนมึงก็ได้ค่ะ กูสอบเทียบด้วยการตั้งใจอ่านหนังสือที่บ้าน ไปเข้าร่วมกิจกรรมยำแตดในโรงเรียนสอบเทียบแค่ 8 ครั้ง, สอบเทียบได้เกรดสัก 2.5 แล้วก็เอ็นท์ติดมหาลัยที่ต้องการได้อยู่แล้วถ้าหากเราตั้งใจอ่านหนังสือจริง ๆ เพราะฉะนั้นในยุคของเราเราก็เลยเหมือนไม่ต้องแคร์ครูใด ๆ ตอนเรียนมัธยมปลายน่ะ คือกูมาโรงเรียนเพื่อมาหาผัว, มาเดินแบบ และมาเมาท์กับเพื่อน ๆ เป็นหลักค่ะ 55555

 

เพราะฉะนั้นชีวิตม.ปลายของเราก็เลยเหมือนไม่มีความเครียดใด ๆ ทั้งสิ้นนอกจากการเรียนรด.น่ะ เพราะการสอบเทียบมันช่วยให้เรารู้สึกว่า เราไม่จำเป็นจะต้องแคร์ครูคนไหนในโรงเรียนทั้งสิ้น เพราะครูเหล่านั้นไม่สามารถขัดขวางการเอ็นท์เข้ามหาลัยของเราได้เลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งมันก็คงจะแตกต่างจากระบบการเรียนและการสอบเข้ามหาลัยของเด็ก ๆ ในยุคนี้เป็นอย่างมากน่ะ แต่เราก็ไม่มีความรู้ใด ๆ เรื่องระบบการเรียนในยุคสมัยปัจจุบัน

 

12.2 ตัวละครครูวาณี ทำให้นึกถึงครูผู้หญิงคนหนึ่งที่ดุมาก ๆ ที่เราเคยเจอ แต่เหมือนครูคนนั้นมองว่าเราเป็นเด็กดี เขาก็เลยไม่เคยมาหาเรื่องเรา แต่เราได้ยินว่าครูคนนี้เคยมีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่น ๆ ไปทั่ว โดยเฉพาะกับเด็กนักเรียนหญิงคนนึงอย่างรุนแรงมาก ๆ (ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธอโนบราหรือเปล่า) แต่ต่อมาเด็กหญิงคนนั้นก็เอ็นท์ติดมหาลัยและสอบได้เป็นที่ 1 ของคณะนั้นน่ะ (ถ้าจำไม่ผิด) เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้ก็เลยเหมือนทำให้เรานึกถึงเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างครูที่ดุมากกับเด็กอัจฉริยะที่เราเคยเจอในชีวิตจริงเหมือนกัน

 

12.3 หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เราเคยมีกับครูบางคนด้วยนะ ทั้งครูที่เราเคยเจอตอนประถมและมัธยมต้น อย่างเช่น

 

12.3.1 ครูคนนึงชอบจับเด็กนักเรียนทั้งห้องเฆี่ยนประจานต่อหน้านักเรียนห้องอื่น ๆ ถ้าหากหาตัวคนทำผิดไม่ได้ อย่างเช่น ถ้าหากเจอถุงพลาสติกอยู่บนพื้นในห้องเรียน แล้วไม่มีใครยอมรับผิดว่าเป็นเจ้าของถุงพลาสติกใบนั้น ครูคนนี้ก็จะลงโทษนักเรียนทั้งห้อง โดยบางทีก็ใช้วิธีเฆี่ยนประจานต่อหน้านักเรียนห้องอื่น ๆ

 

12.3.2 ครูบางคนก็ชอบเอาตัวเองไปเทียบกับครูห้องอื่น ๆ แล้วพอครูห้องอื่น ๆ ได้ของขวัญจากนักเรียนเยอะ ๆ แต่ตัวเธอเองได้ของขวัญน้อย เธอก็มาพาลใส่นักเรียนในห้องของตัวเอง

 

12.3.3 ครูบางคนก็ชอบออกกฎเกณฑ์ที่ไม่มีประโยชน์

 

12.3.4 ครูบางคนก็เฉลยคำตอบผิด แล้วพอเราแย้งไป เธอก็ไม่ยอมรับผิด

 

คือเหมือนถึงเวลาผ่านมานาน 30-40 ปีแล้ว กูก็ยังคงจำพฤติกรรมของครูบางคนได้อย่างไม่ลืมเลือนค่ะ แต่เหมือนพอครูเหล่านี้ไม่สามารถมาทำอะไรเราได้อีก พอเราพ้นจากรั้วโรงเรียนไปแล้ว เราก็เลยเหมือนไม่ได้รู้สึกว่าต้องทำอะไรเพื่อเป็นการตอบโต้ 55555

 

และเราก็พบว่าเพื่อนๆ ของเราก็ยังคงจำเรื่องเหล่านี้ได้ไม่ลืมเลือนนะ เหมือนพอเราเจอกลุ่มเพื่อนเก่า ๆ หนึ่งในประเด็นที่พวกเราเมาท์กันทุกครั้งที่เจอกันก็คือเรื่องการตบตีกับครูบางคนในปี 1984 คือถึงเวลาจะผ่านมานาน 38 ปีแล้ว มันก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของพวกเราทุกคน 55555

 

12.4 หนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงประสบการณ์ของเพื่อน ๆ บางคนที่หนักมาก ๆ ด้วย แต่พอมันเป็น “เรื่องจริง” ที่มันหนักมาก มันก็เลยเขียนเล่าในที่สาธารณะไม่ได้ 55555 สรุปได้ว่าหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงทั้งประสบการณ์เบา ๆ และหนัก ๆ ในโรงเรียน แต่เราสามารถเขียนเล่าได้เฉพาะประสบการณ์เบา ๆ เท่านั้น

 

12.5 แต่ก็ยอมรับว่า เรื่องประสบการณ์ในโรงเรียนแบบนี้ บางทีมันก็เป็นเรื่องของ “โชค” ด้วยแหละ คือเหมือนตัวเราเองโชคดี เราก็เลยเหมือนไม่ได้รับความลำบากอะไรมากนักจากระบบโครงสร้างที่เลวร้ายในการศึกษาของไทย แต่เด็กคนอื่น ๆ ที่เขาไม่ได้โชคดีเหมือนเรา เขาก็จะต้องตกเป็นเหยื่อของระบบนี้ ตราบใดที่ไม่มีการปฏิรูประบบให้ดีขึ้น หรือตราบใดที่สังคมไทยยังคงมีปัญหามากมายแบบนี้

 

No comments: