Monday, April 10, 2023

THE CHARM OF FICTION

 

เห็นกระแสในฟีดช่วงนี้ ก็เลยขอเสริมบ้าง ในเรื่องเกี่ยวกับรสนิยมของตัวเองที่มีต่อความสมจริงในภาพยนตร์ แต่ดิฉันไม่มีความเห็นต่อ HUNGER นะ เพราะดิฉันยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ และดิฉันก็ไม่ได้เป็นสมาชิก NETFLIX ด้วย และดิฉันก็ไม่มีความเห็นต่อ “ความเห็นของคนอื่น ๆ ด้วย” เช่นกัน เพราะดิฉันคิดว่าผู้ชมคนอื่น ๆ ก็ล้วนมีเหตุผลของตนเอง และหลาย ๆ คนก็มักจะมีรสนิยมตรงข้ามหรือแตกต่างจากดิฉันอยู่แล้ว และนั่นก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุด เพราะฉะนั้นใครจะชอบหรือไม่ชอบอะไรที่ตรงข้ามกับดิฉัน ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ๆ ค่ะ 555 ดิฉันแค่จะแสดงความเห็นของตนเองว่าโดยส่วนตัวแล้วดิฉันชอบอะไรแบบไหน

 

เมื่อเร็วๆ นี้ได้เห็นมิตรสหายท่านหนึ่งโพสท์ในทำนองที่ว่า ในทวิตเตอร์มีคนด่าซีรีส์วายไทยว่าแย่ เพราะซีรีส์เหล่านี้ไม่ได้นำเสนอความสมจริงว่าเกย์ฝ่ายรับต้องลำบากยุ่งยากแค่ไหนในการตระเตรียมทำความสะอาดทวารหนักก่อนการร่วมรัก!?!?!?!?!

 

พออ่านตรงจุดนี้แล้ว ก็เลยนึกถึงบทความ “มิติแห่งนัยยะ” ของ Jean-Claude Carriere (คนเขียนบทภาพยนตร์คู่บุญของ Luis Bunuel) ที่เคยได้รับการแปลไว้ในหนังสือ “ฟิล์มไวรัส 2” ของคุณสนธยา ทรัพย์เย็น เนื้อหาส่วนหนึ่งของบทความนี้พูดถึงลักษณะของภาพยนตร์ตั้งแต่ยุค 100 ปีก่อนแล้ว โดยพูดถึงหนังเงียบเรื่อง A WOMAN OF AFFAIRS (1929, Clarence Brown)  โดย Carriere เขียนว่า ในหนังเรื่องนี้มีฉากอีโรติกระหว่างจอห์น กิลเบิร์ตกับเกรตา การ์โบ ซึ่งเป็น “ฉากที่ไม่สมจริงแม้แต่น้อย แต่เป็นฉากที่ทรงพลังอย่างแท้จริง”  โดยในฉากนั้น “กิลเบิร์ตไม่ได้ถอดเน็คไทและรองเท้า ความรักในที่นี้ดำเนินไปในโลกของมันเอง โลกที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดในชีวิตประจำวัน โลกที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงอันน่าขันที่ว่า ตัวละครจำเป็นต้องปลดกางเกงออก

 

เขาเดินไปที่โซฟาและนั่งลงข้างผู้หญิงคนนั้น ทั้งสองชำเลืองมองกันไปมาและมีซับไตเติ้ลขึ้นมาอีก 2 ครั้ง ความรู้สึกของทั้งคู่ปรากฏออกมาอย่างชัดแจ้ง อีกไม่นานทั้งคู่ก็อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน การ์โบเอนกายลงบนโซฟาและดึงชายหนุ่มให้โน้มกายลงมาด้วย กล้องเบนไปจากพวกเขาอย่างรวดเร็วและจับไปที่มือของการ์โบซึ่งเลื่อนจากโซฟามาที่พื้น แหวนค่อย ๆ หลุดจากนิ้วเธอและร่วงลงบนพรมอย่างเงียบกริบ ความเงียบเป็นสิ่งที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนแม้แต่ในภาพยนตร์เงียบ

 

ฉากจากภาพยนตร์เมโลดราม่าที่ถ่อมตัวเรื่องนี้เป็นฉากที่มีรูปลักษณ์ภายนอกธรรมดามาก แต่ชัยชนะที่แท้จริงคือการสื่อถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏและสิ่งที่ไม่ได้พูดถึงในฉาก และกองเซ็นเซอร์ก็ไม่สามารถหาเรื่องเอาผิดอะไรจากฉากนี้ได้เลย ฉากนี้เสนอแนะ, ปลุกเร้า และผลักเปิดประตูความคิดที่ถูกต้องภายในตัวเรา ทุกสิ่งในฉากนี้เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้กระจ่าง...

 

แต่ความเป็นจริงในชีวิตประจำวันได้ถูกขจัดออกไป ไม่มีใครจะมัวถามว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน ไม่มีใครมาสนใจว่าเลขาจะโผล่พรวดเข้ามาหรือไม่ คำถามที่มีเหตุผลเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือสไตล์ของฉาก ความหมายของแหวน และทุกอย่างที่ได้มีการบอกแนะเอาไว้ ผู้เขียนฉากนี้หวังว่าไอเดียดังกล่าวจะแข็งแกร่งพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ชมไว้ไม่ให้หันไปสงสัยในเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าข้อสงสัยนั้นจะถูกต้องตามหลักความเป็นจริงแค่ไหนก็ตาม

 

ในฉากนี้ความรัก หรืออาจเรียกได้ว่ารูปแบบของความรักได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมา และในที่สุดฉากนี้ได้นำไปสู่ต้นกำเนิดของเทคนิคซ้ำซาก ตั้งแต่การแพนกล้องในช่วงสำคัญไปจับภาพฟืนที่ปะทุอยู่ในกองไฟ หรือไปจับภาพรองเท้าที่ร่วงลง, ภาพเสื้อผ้าที่ถูกเหวี่ยงลงบนพรม หรือเสียงดนตรีจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง แต่ในยุคปี 1929 นั้น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของตัวละครถือเป็นสิ่งที่สดใหม่มาก และถือเป็นการสร้างสรรค์ได้อย่างน่าภาคภูมิใจที่สุด”

 

ก็เลยรู้สึกว่า ดิฉันเองไม่เคยมีปัญหาแต่อย่างใดกับซีรีส์วายหรือหนังเกย์เรื่องใด ๆ ก็ตามที่ไม่ได้นำเสนอ “ความสมจริงในการทำความสะอาดทวารหนัก” ค่ะ แต่ถ้าหากจะมีหนังเกย์เรื่องใดที่นำเสนอสิ่งนี้ ดิฉันก็สนับสนุนค่ะ คือหนังเรื่องใดจะสมจริงหรือไม่สมจริงตรงจุดนี้ ดิฉันก็คงชอบทั้งสองแบบค่ะ 555

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ดิฉันก็เพิ่งเขียนไปเองว่า ดิฉันไม่ค่อยอินกับ “หนังแอคชั่นของอินเดีย” เพราะมันมีความเกินจริงบางอย่างในหนังแอคชั่นอินเดียที่มันดู “ตลก” สำหรับดิฉัน แต่ดิฉันกลับไม่มีปัญหาแต่อย่างใดกับความเกินจริงในละครทีวีญี่ปุ่นแนว SUKEBAN DEKA, ยอดหญิงชิงโอลิมปิก, หนังจีนกำลังภายใน หรือหนังแนว superheroes แต่อย่างใด ดิฉันกลับ “หลงรัก” ความเกินจริงในหนัง/ละครทีวีกลุ่มนี้อย่างมาก ๆ ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจดีที่ความเกินจริงบางอย่างมันเหมือนเป็น “โลกจินตนาการที่ดิฉันอยากเข้าไปอาศัยอยู่” แต่ความเกินจริงบางอย่างมันกลับเป็น “โลกจินตนาการที่ยังไม่มีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดสำหรับดิฉัน” 555 ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม แต่ดิฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องของ “รสนิยมส่วนตัว” ค่ะ เพราะโลกจินตนาการที่มีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดสำหรับผู้ชมชาวอินเดียกับของดิฉันก็คงแตกต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา เพื่อนๆ บางคนของดิฉันก็ไม่อินกับ “หนังจีนกำลังภายใน” เช่นกัน

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10230994846077967&set=a.10230383642238253

 

แต่โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันมักจะชอบภาพยนตร์ที่มี “ความแตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริง” ค่ะ แบบตัวละครคุยกันเป็นบทกวี เป็นร้อยกรอง หรือพูด+ทำอะไรที่แตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริง แต่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนบางอย่างต่ออารมณ์ความรู้สึกของดิฉันได้

 

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือหนังของ Alain Robbe-Grillet ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ดิฉันชื่นชอบมากที่สุด และเขาก็เป็นนักแต่งนิยายด้วย ดิฉันชื่นชอบหลักการสร้างสรรค์ผลงานของ Alain Robbe-Grillet (ARG) ที่เขาจะไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเลย อย่างเช่นตอนที่เขาจะเขียนถึง “นกนางนวล” ในนิยายของเขา เขาก็จะต้องหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ “ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า นกนางนวลจริง ๆ มันเป็นยังไง” เพราะนกนางนวลในนิยายของเขา ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเหมือนกับนกนางนวลในโลกแห่งความเป็นจริงแต่อย่างใดทั้งสิ้น

 

ดิฉันก็เลยรู้สึกว่า หลักการสร้างสรรค์ fiction แบบของ Alain Robbe-Grillet นี่แหละ ตรงจริตดิฉันมากที่สุด ARG ก็เลยเป็น one of my most favorite filmmakers of all time แต่ถ้าหากใครจะไม่ชอบผลงานของเขา เพราะนกนางนวลในนิยายของเขาไม่ตรงกับนกนางนวลในโลกแห่งความเป็นจริง นั่นก็เป็นเรื่องรสนิยมของแต่ละคนค่ะ

 

ดิฉันเคยเขียนถึง ARG ไว้บ้างใน blog ของดิฉัน ก็เลยขอถือโอกาสนี้เอามาแปะไว้ในนี้ด้วยค่ะ

https://celinejulie.blogspot.com/2007/02/eden-and-after-part-3.html

 

ข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆเกี่ยวกับ ARG

--ARG และ BUTOR มีความเห็นตรงกันว่า “reality” ที่นักแต่งนิยายสร้างขึ้นมา ต้องแตกต่างเป็นอย่างมากจาก REALITY ที่เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็น
จริง โลกแห่งความเป็นจริงเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆมากมายที่เราสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโลกแห่งจินตนาการของเราได้ แต่โลกแห่งความเป็นจริงไม่มีสิทธิมากำหนดหรือบีบบังคับได้ว่า เราต้องนำ “วัตถุ เอ” ในโลกแห่งความเป็นจริง ไปดัดแปลงเป็น “วัตถุ เอเอ” เท่านั้นในโลกจินตนาการ สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับวัตถุเอในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องติดตามวัตถุเอมาด้วยเมื่อมันอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ

เสรีภาพในการสร้างงานที่นักเขียนกลุ่ม NEW NOVEL นำมาใช้นี้ เหมือนกับสิ่งที่จิตรกรและนักดนตรีเคยทำมาแล้วก่อนหน้านักเขียนกลุ่มนี้ราว 50 ปี

สิ่งที่ ARG ทำก็คือการแสดงให้เห็นว่านักเขียนสามารถ CREATE โลกจินตนาการขึ้นมาได้ โดยไม่ใช่ทำเพียงแค่ REPRODUCE โลกจินตนาการให้ตรงกับโลกแห่งความเป็นจริงเท่านั้น เพราะในหลายครั้ง คนเรามักจะตัดสินนิยายบางเรื่องว่ามันสะท้อนโลกแห่งความเป็นจริงได้ดีเพียงใด หรือมันสะท้อนสภาพจิตใจของคนในโลกแห่งความเป็นจริงได้ดีเพียงใด ทั้งๆที่เราเองก็ไม่ได้เข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงหรือเข้าใจสภาพจิตใจของคนในโลกแห่งความเป็นจริงเท่าใดนัก ในหลายๆครั้ง เราตัดสินนักแต่งนิยายในฐานะ PSYCHOLOGIST หรือ SOCIOLOGIST แต่ไม่ได้ตัดสินเขาในฐานะ CREATOR แต่ ARG ทำงานแต่งนิยายในฐานะ CREATOR และเขาเปิดโอกาสให้จิตใจของผู้อ่านได้เป็นอิสระขณะที่อ่านหนังสือองเขา โดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆในโลกแห่งความเป็นจริงขณะที่อ่านหนังสือของเขา (หรือดูหนังของเขา)

อย่างไรก็ดี นิยายของ ARG ไม่ได้หนีจากโลกแห่งความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง โดยนักวิจารณ์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า นิยายของ ARG แสดงให้เราเห็นว่า ในที่สุดแล้ว เราก็ไม่อาจจะหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงได้ (บางทีนี่อาจจะตรงกับตอนจบของ EDEN AND AFTER ที่ตัวละครเกือบทุกคนเหมือนจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่ออีกครั้ง) และ ARG มักจะใช้ “โลกแห่งความเป็นจริง” เป็นเครื่องมือในการทำลายความต่อเนื่องในเนื้อหาในนิยายของเขา และทำให้ผู้ชมตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่อ่านอยู่เป็นเพียงเรื่องแต่งเท่านั้น นิยายของเขามักจะตอกย้ำความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างสิ่งจริงกับสิ่งไม่จริง หรือความขัดแย้งกันระหว่าง “สิ่งที่มองเห็น” กับ “สิ่งที่ตัวละครคิดหรือจินตนาการ”

ARG เคยเขียนเรียงความเกี่ยวกับ JOE BOUSQUET ซึ่งเป็นกวีแนวเซอร์เรียลที่กระดูกสันหลังของเขาได้รับบาดเจ็บจากลูกกระสุนในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกกว่า 30 ปี โดยที่เป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว และต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องนอนใน CARCASSONNE โดย ARG บอกว่าสภาพการใช้ชีวิตของ BOUSQUET เป็นสภาพของนักเขียนที่แท้จริง เพราะเขาเขียนโดยที่ไม่ต้องยืนยันว่าฉากหรือตัวละครที่เขากำลังบรรยายอยู่มีลักษณะตรงตามโลกแห่งความเป็นจริง โดย ARG เองเคยบอกอีกด้วยว่า ตอนที่เขาแต่งนิยายเรื่อง LE VOYEUR นั้น เขาต้องบรรยายถึงนกนางนวล และเขาก็รู้สึก “อยาก” เป็นอย่างมากที่จะไปตรวจสอบว่านกนางนวลจริงๆเป็นอย่างไร เพื่อที่เขาจะได้บรรยายนกนางนวลให้ถูกต้องตามโลกแห่งความเป็นจริง แต่ในที่สุดเขาก็เอาชนะความอยากนั้นได้ และสามารถบรรยายนกนางนวลตามจินตนาการ โดยไม่ยอมศิโรราบให้กับโลกแห่งความเป็นจริง และไม่ยอมทำให้นกนางนวลในนิยายของเขา “เหมือนกับมีชีวิตจริง”

--นักวิจารณ์บอกว่า จุดนึงที่น่าสนใจในนิยายของ ARG คือการนำสถานที่ที่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมาใช้ในนิยาย แต่ไม่มีการถ่ายทอดความเป็นจริงของสถานที่ดังกล่าวลงมาในนิยายจนทำให้นิยายดูเหมือนเป็นสารคดี โดยจุดนี้อาจจะเห็นได้จากการใช้ฮ่องกงเป็นฉากหลังในนิยายเรื่อง THE HOUSE OF RENDEZ-VOUS (โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันคิดว่าการใช้เกาะเจอร์บาใน EDEN AND AFTER ก็มีลักษณะคล้ายกัน เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นถ่ายทอดความเป็นจริงของเกาะเจอร์บาในตูนิเซียแต่อย่างใด)

นักวิจารณ์บอกว่า ลักษณะนี้ของ ARG มาจาก RAYMOND ROUSSEL ซึ่งเป็นคนที่รวยมากและเป็นนักเดินทางทั่วโลก แต่เป็นที่เชื่อกันว่าเขาเดินทางไปรอบโลกโดยไม่เคยลงจากเรือของเขาเลย เพราะเขาเชื่อว่าภูมิประเทศที่อยู่ในจินตนาการของเขาควรได้รับความสำคัญเหนือกว่าความเป็นจริง

นักวิจารณ์บอกว่า เมืองอีสตันบูลของตุรกีที่อยู่ในหนังเรื่อง L’IMMORTELLE (1963) ของ ARG ก็มีลักษณะแบบเดียวกัน เพราะเมืองอีสตันบูลในหนังเรื่องนี้มีลักษณะเหมือนภาพโปสการ์ด (ภาพโปสการ์ดก็มีบทบาทสำคัญมากใน EDEN AND AFTER ด้วย) และ ARG ก็จงใจทำลายความเหมือนจริงของอีสตันบูลในหนังของเขา เพราะเขาต้องการแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของจินตนาการ เขาทำให้เหตุการณ์และฉากใน L’IMMORTELLE ดู EXOTIC ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเตือนผู้ชมว่าสิ่งที่พวกเขากำลังดูอยู่ไม่ใช่ความเป็นจริง

นักวิจารณ์บอกว่า ภาพยนตร์ของ ARG เปรียบเหมือนกับความฝันขณะตื่นอยู่ แต่ถึงแม้ภาพยนตร์ของเขาเปรียบเหมือนกับความฝัน มันก็ไม่ได้เป็นภาพยนตร์ที่ตามเรื่องได้ยากเหมือนกับงานแนวเซอร์เรียลเรื่องอื่นๆ เพราะมันมักจะมีจุดที่ช่วยให้ผู้ชมตามเรื่องหรือเข้าถึงอารมณ์ของเรื่องได้ โดยในความเห็นส่วนตัวของดิฉันนั้น ดิฉันคิดว่าจุดนี้น่าจะจริง เพราะเรื่องราวของ EDEN AND AFTER นั้นพูดถึงการแย่งชิงภาพวาดราคาแพง ซึ่งไม่ใช่จุดที่เข้าใจยาก (จุดที่ยากก็คือว่าการแย่งชิงนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นจินตนาการ หรือเป็นการแสดงละครตามจินตนาการ) ในขณะที่หนังอย่าง UN CHIEN ANDALOU นั้น แทบปะติดปะต่ออะไรไม่ได้เลย และเหมือนกับความฝันขณะนอนหลับ

--นักวิจารณ์ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อใดก็ตามที่ ARG บรรยายถึงถนน,ทางเดิน, เฉลียง, บันได หรืออะไรทำนองนี้ เขาจะบรรยายทางเดินเหล่านี้ในแบบที่เป็นเศษเสี้ยว และสร้างความงุนงงให้แก่ผู้อ่าน (ดิฉันเคยเจออะไรแบบนี้มาแล้วตอนอ่านนิยายเรื่อง RECOLLECTIONS OF THE GOLDEN TRIANGLE ของ ARG)

--นักวิจารณ์บอกว่า ผู้เริ่มอ่านนิยายของ ARG บางคนไม่ชอบที่นิยายของเขาไม่ให้ความรู้สึกของความจบบริบูรณ์ในตอนจบ ผู้อ่านกลุ่มนี้รู้สึกว่าในการอ่านนิยายของ ARG พวกเขาไม่ได้รู้สึกเหมือนตัวเองได้นั่งอยู่บนยานพาหนะที่มั่นคงที่ขับเคลื่อนจากจุด เอ ไปยังจุด บี เหมือนนิยายของนักเขียนคนอื่นๆ (ลักษณะนี้ก็น่าจะเหมือนกับหนังเรื่อง EDEN AND AFTER) โดยนิยายหรือหนังของ ARG นั้นมีลักษณะเหมือนประกอบด้วยเรื่องสั้นหลายๆเรื่อง และแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่สงบที่พยายามจะสร้างตำนานขึ้นมา โดยความพยายามเหล่านี้มีเส้นกราฟทางอารมณ์ที่คล้ายๆกับพาราโบล่า นั่นกึคือมีช่วงที่อารมณ์พุ่งสูงหรือมีการใช้ความรุนแรง ก่อนที่อารมณ์จะแผ่วลง

จุดนี้ก็ทำให้ดิฉันนึกถึง EDEN AND AFTER ด้วยเหมือนกัน เพราะบางทีเราอาจจะมองได้ว่าเรื่องราวส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้เกิดจากจิตใจที่ไม่สงบของไวโอเลต ที่พยายามจะสร้างตำนานหรือเรื่องเล่าที่ตัวเองเป็นนางเอก ที่ถูกกลุ่มเพื่อนๆหลอกลวงและวางแผนฆ่าเพื่อแย่งชิงภาพเขียนราคาแพง โดยที่พาราโบลาลูกแรกอาจจะเป็นฉากการวางยาพิษในร้านคาเฟ่อีเดน, พาราโบลาลูกที่สองอาจจะเป็นตอนที่ไวโอเลตถูกเพื่อนๆตามล่าในโรงงาน และพาราโบลาลูกที่สามคือเหตุการณ์ที่ตูนิเซีย

ARG เคยเขียนเรียงความเกี่ยวกับ RAYMOND ROUSSEL ในปี 1963 โดยบอกว่า ROUSSEL มองว่านิยายของเขาเป็นการเดินทางจากจุด A ไปยังจุด A1 ซึ่งแตกต่างจากจุด A เล็กน้อย และนักวิจารณ์บอกว่าสิ่งนี้อาจจะนำมาเปรียบเทียบกับนิยายหรือหนังของ ARG ได้เช่นกัน เพราะบางคนอาจเข้าใจผิดว่านิยายหรือหนังของ ARG เล่าเรื่องเป็นวงกลม และเข้าใจผิดว่าฉากตอนจบของเรื่องคือการวกกลับมายังฉากเริ่มแรก โดยที่การเดินทางของตัวละครเอกในเรื่องไม่ได้ช่วยให้ตัวละครเอกได้ค้นพบตัวเองแต่อย่างใด

นักวิจารณ์ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งสำคัญในนิยายหรือหนังของ ARG ไม่ได้อยู่ที่จุดนี้ เพราะตัวละครเอกในนิยายหรือหนังของเขาคือภาพสะท้อนของตัว ARG เอง และ ARG ก็ได้เปิดเผยให้เห็นกระบวนการสร้างสรรค์เรื่องแต่งในนิยายหรือหนังแต่ละเรื่องของเขา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อ่านหรือผู้ชมภาพยนตร์ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองจากนิยายหรือหนังของเขา

จุดนี้ทำให้นึกถึง EDEN AND AFTER ด้วยเหมือนกัน เพราะไวโอเล็ต ซึ่งเป็นตัวละครเอกของ EDEN AND AFTER ก็มีลักษณะเหมือนกับเป็นนักแต่งนิยาย ถ้าหากเรามองว่าเหตุการณ์ในเรื่องเป็นจินตนาการของเธอเอง และตอนจบของเรื่องนี้ ก็ดูเผินๆเหมือนกับการวกกลับมายังจุดเริ่มต้นด้วยเหมือนกัน

John Sturrock สรุปว่า ผลงานของ ARG คือการสอนให้ผู้อ่านหรือผู้ชมภาพยนตร์ตระหนักว่า มี “ช่องว่าง” ระหว่างความคิดของเรากับสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา และเราต้องคอยตระหนักและรู้ตัวถึงช่องว่างเหล่านี้อยู่เสมอ โดยที่เราสามารถใช้ความคิดคำนึงของเราในการคาดการณ์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา แต่เราต้องตระหนักว่าสมมุติฐานของเราเป็นเพียง “สิ่งชั่วคราว” และ “ใช้ได้เฉพาะบางเหตุการณ์” เท่านั้น เราต้องไม่เผลอทึกทักเอาเป็นอันขาดว่าสมมุติฐานที่อยู่ในหัวของเราเป็นความจริงขั้นสุดท้าย, เป็นความจริงสัมบูรณ์, ใช้ได้ตลอดไป หรือใช้ได้ในทุกกรณี


 

No comments: