Friday, December 26, 2025

CEMETERY CLEANING

 

เมื่อคืนฝันสนุกมาก พอตื่นมาแล้วเราเลยขอจดบันทึกความฝันไว้หน่อย

 

ในฝันคือเราเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนึง แล้วก็มีคนมาเล่าให้เราฟังว่า ในอดีตยุคของอ.ศิลป พีระศรี (1892-1962) นั้น ท่านเคยจ้างลูกมือที่เป็นศิลปินชาวอิตาเลียนจำนวนนึง เพื่อให้ช่วยท่านทำงานในไทย แต่ท่านไม่รู้ว่า ในบรรดาลูกมือชาวอิตาเลียนนั้น มีบางคนที่เป็น “พวกบูชาปีศาจ” ที่หนีการตามล่าของวาติกัน ด้วยการเดินทางมาทำงานในไทยในยุคนั้นด้วย (นึกถึงหนังของ Dario Argento, Mario Bava อะไรทำนองนี้)

 

ศิลปินลูกมือชาวอิตาเลียนกลุ่มนี้ ได้แอบนำของวิเศษสำหรับการบูชาปีศาจ, ปลุกปีศาจ, ขอพรจากปีศาจ ไปฝังไว้ในประติมากรรมบางชิ้น หรืองานศิลปะบางชิ้นในไทยด้วย แล้วคนที่เล่าเรื่องนี้ให้เราฟังก็ชวนเราไปเดินสำรวจในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพื่อหาว่า “ของวิเศษสำหรับปลุกปีศาจต่าง ๆ” ถูกฝังไว้ในจุดใดบ้างในพิพิธภัณฑ์ หรือถูกแอบซ่อนไว้ในงานศิลปะชิ้นใดบ้างในพิพิธภัณฑ์ เราก็เลยช่วยเขาค้นหา แต่ก็พบว่า เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นฝรั่งหนุ่มหล่อ 3 คน มีพิรุธแปลก ๆ เราก็เลยพยายามหนีเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์หนุ่มหล่อ 3 คนนี้ แล้วเราก็ตื่นขึ้นมา

 

ส่วนรูปประกอบนี้เป็นรูปของ “สัญลักษณ์ของปีศาจ 72 ตน”

 

+++

 

เก็บศพไร้ญาติ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2503 (1960, บุญเอก (ฮุย) วิวัฒนศร Boonake Wiwattanasorn, สร้างโดย สมาคมสว่างกตัญญูธรรมสถาน จ.จันทบุรี, documentary, 137min, A+30)

 

เป็นหนังที่น่าจะมีคุณค่าทั้งในทางประวัติศาสตร์และมานุษยวิทยา เพราะหนังเรื่องนี้ได้บันทึกพิธีกรรมที่น่าสนใจของชาวจีนในชนบทของไทยเมื่อราว 60 กว่าปีก่อนเอาไว้ ซึ่งก็คืองานล้างป่าช้าในจังหวัดจันทบุรี หนังเรื่องนี้จึงถือเป็นการบันทึกสิ่งที่หาดูยากหลายอย่างเอาไว้ในเวลาเดียวกัน เพราะ

 

1.หนังเรื่องนี้บันทึก “พิธีล้างป่าช้า” และขั้นตอนต่าง ๆ ในพิธีอย่างละเอียด ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเห็นมาก่อนในภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะในภาพยนตร์เชิงพาณิชย์

 

2. หนังเรื่องนี้บันทึก “ภาพชาวจีนในไทยเมื่อ 60 กว่าปีก่อน” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากเช่นกัน โดยเฉพาะในภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ของไทยที่สร้างขึ้นในทศวรรษ 1950-1960 เพราะภาพยนตร์ไทยในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีตัวละครเชื้อสายจีนมากนัก

 

3.ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้บันทึกสภาพบ้านเรือนและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในจันทบุรีเมื่อราว 60 กว่าปีก่อนเอาไว้ด้วย ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากอีกเช่นกัน

 

นอกจากนี้ สิ่งอื่น ๆ ที่น่าสนใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็รวมถึงการได้เห็นบทบาทของพระในศาสนาพุทธ ทั้งในนิยายเถรวาทและในนิกายมหายาน ในพิธีกรรมเดียวกัน

 

และอีกสิ่งที่น่าสนใจมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ gaze ของหนังที่มีต่อ “ศพมนุษย์” ซึ่งเป็น gaze ที่มองศพมนุษย์ราวกับว่าเป็น “สิ่งธรรมดาตามธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แตกต่างจาก gaze ที่มองศพมนุษย์ในภาพเคลื่อนไหวแบบอื่น ๆ ที่เรามักพบเห็นกันในยุคปัจจุบัน อย่างเช่น ใน “คลิปข่าว” ที่อาจนำเสนอภาพศพมนุษย์พร้อมด้วย “ความรู้สึกเศร้าใจ” หรือ “ความรู้สึกสะเทือนใจ” และใน “ภาพยนตร์สยองขวัญ” ที่อาจนำเสนอภาพศพมนุษย์ปลอมพร้อมด้วย “ความรู้สึกขยะแขยง”, “ความรู้สึกน่ารังเกียจ” หรือ “ความรู้สึกหวาดกลัว”

+++++

 

ตอนดูหนังเรื่องนี้เราจะนึกถึง “สติแตกสุดขั้วโลก” (1995, Poj Arnon, A+30) อย่างรุนแรง เหมือนพชร์ อานนท์ย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้นของตนเองอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปนาน 30 ปี เพราะหนังเรื่องนั้นก็เป็นการทะลุมิติข้ามกันไปมาระหว่าง “โลกละครจีนยุคโบราณ” กับ “โลกยุคปัจจุบัน” เหมือนกัน แต่เราอาจจะชอบ “สติแตกสุดขั้วโลก” มากกว่า เพราะว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนั้นคือความหล่อสุดขีดของจอห์น ดีแลน, อัษฎา พานิชกุล และแอนดริว เกรกสัน 55555

++++

 

เห็นหอภาพยนตร์จะฉายหนังเรื่อง “เสียงซึงที่สันทราย” (1980, ประวิทย์ ชุ่มฤทธิ์) เราก็สงสัยว่า เราเคยดูหนังเรื่องนี้แล้วหรือยัง เพราะชื่อหนังมันคุ้นๆ ยังไงชอบกล เราก็เลยลองเช็คข้อมูลดู แล้วก็พบว่า หนังที่เราเคยดูคือ “ดอกไม้ร่วงที่แม่ริม” (1979, ประวิทย์ ชุ่มฤทธิ์) ส่วน “เสียงซึงที่สันทราย” นั้น เราน่าจะยังไม่เคยดู

 

ส่วนละครโทรทัศน์เรื่อง “เดือนดับที่สบทา” นั้น เราก็ยังไม่เคยดูเหมือนกัน

Thursday, December 25, 2025

YOUR ASH & MY BONE

 

เหมือนปีนี้เราแทบไม่ได้ยินเพลง ALL I WANT FOR CHRISTMAS IS YOU ของ Mariah Carey เปิดตามห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพเลยนะ คือปีนี้เราได้ยินเพลงนี้แค่ครั้งเดียวตอนเราไปเดินห้าง CENTURY ตรงอนุสาวรีย์ชัยเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ ยังได้ยินเพลงนี้เปิดตามห้างในกรุงเทพอยู่หรือเปล่า

 

ส่วนรูปนี้มาจากมิวสิควิดีโอเพลง WEAK (1993) ของ SWV ที่เราได้ยินในห้างพารากอนเมื่อไม่กี่วันก่อน พอเราได้ยินเพลงนี้ในห้างสรรพสินค้า เราก็เลยต้องกลับมาฟังเพลงนี้อีกครั้งด้วยความคิดถึง อดีตเมื่อ 32 ปีก่อนมันช่างงดงามจริง ๆ

https://youtu.be/976b8TPPFJU?si=m8o9u95b7W4MUKvJ

++++

 

เห็นคนเขาเล่นพิมพ์ ๆ อะไรกันที่เครื่องนี้ในนิทรรศการ CAN’T WE RECANT? เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เราก็เลยไปลองพิมพ์เล่น ๆ ด้วย โดยไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันคือ Chat Bot ที่สร้างขึ้นมาจากบทความของคุณพ่อของศิลปิน (Sina Wittayawiroj)

 

พอเราได้รู้แบบนี้แล้ว เราก็เลยสงสัยว่า มันมี Chat Bot ที่สร้างจากงานเขียนของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วคนอื่น ๆ หรือเปล่านะ เพราะเราไม่ได้ตามข่าวคราวความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอะไรแบบนี้เลย อยากให้มีคนสร้าง Chat Bot จากงานเขียนของ

 

1. Karl Marx

 

2. ทมยันตี

 

3. ไม้หนึ่ง ก.กุนที

 

4. Susan Sontag

 

5. Marguerite Duras

 

อะไรทำนองนี้ เผื่อถ้าหากเรามีปัญหาอะไร เราจะได้ลองถามความเห็นของ Duras ดูเล่น ๆ ได้ หรือถ้าหากเราเกลียดใคร เราก็ไปด่า Chat Bot ของคนคนนั้นได้ เพื่อเป็นการระบายอารมณ์

 

++++++

 

พอเราได้อ่านที่ชามดองเขียน เราก็เลยจะบอกว่า วิดีโอคอมเมนต์นี่มันมีประโยชน์กับตัวเราเองอย่างรุนแรงมาก ๆ เลยนะ เมื่อเวลาผ่านไป เพราะอย่างล่าสุดนี้ ตอนที่เราเขียนถึงหนังเรื่อง ตาโขน THE CURSED MASK (2025, Puwadon Naosopa, A+30) เราก็ได้เขียนพาดพิงถึงผลงานเก่า ๆ ของคุณทศพร เหรียญทอง ผู้เขียนบทของ “ตาโขน” ด้วย ซึ่งรวมถึงหนังเรื่อง MY BEST FRIEND เพื่อน (2009, Tossaphon Riantong, 25min) 

 

แล้วพอเราเขียนถึงประเด็นนี้ เราก็เลยพบว่า เราจำ “รายละเอียดเนื้อเรื่อง” ของหนังเรื่อง “เพื่อน” ไม่ได้แล้ว เราก็เลย google หาว่า มีใครเขียนถึงหนังเรื่อง “เพื่อน” ของคุณทศพรเอาไว้บ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเขียนถึงเลย

 

คือจริง ๆ แล้วคงมีคนเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ใน exteen blogs อยู่บ้าง และอาจจะมีเขียนไว้ใน webboards ต่าง ๆ ด้วย เพราะว่า Thai cinephiles หลายคนใช้ exteen blog ในปี 2009 และพวกเราก็มักจะพูดคุยกันในเว็บบอร์ดต่าง ๆ แต่พอ exteen blog มันเจ๊งไป และ webboards ต่าง ๆ เจ๊งไป (โดยเฉพาะ BIOSCOPE WEBBOARD) ข้อมูลเหล่านี้เลยหายสาบสูญไปหมดเลย น่าเสียดายที่สุด

 

ส่วนเราก็จดไว้แค่เพียงว่า เราได้ดูหนังเรื่อง “เพื่อน” ในวันที่ 23 ก.ค. 2009 เราก็เลยลองเข้าไปดูใน VDO COMMENT ของงานหนังสั้นมาราธอนประจำวันที่ 23 ก.ค. 2009 แล้วก็ปรากฏว่ามีคุณวิชชา สุยะรา พูดถึงหนังเรื่อง “เพื่อน” ของคุณทศพรเอาไว้ด้วย

 

เราก็เลยพบว่า VDO COMMENT ของงานหนังสั้นมาราธอนนี่มันทรงคุณค่ามหาศาลสำหรับเราจริง ๆ เพราะว่าหนังเรื่อง “เพื่อน” ได้ฉายไปในปี 2009 และก็คงมีคนเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้ในปี 2009 แต่พอ exteen blog เจ๊ง, Bioscope Webboard เจ๊ง, webboards ต่าง ๆ เจ๊ง มันก็เลยเหลือแค่ VDO COMMENT นี่แหละ ที่ช่วยบันทึก “ความเห็น, อารมณ์, ความรู้สึกของผู้ชม” ที่มีต่อหนังไทยหลายเรื่องในปี 2009 เอาไว้ได้อย่างอยู่ยั้งยืนยงตลอดช่วง 16 ปีที่ผ่านมา กราบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

++++

 

TRIPLE BILL FILM WISH LIST

 

YOUR ASH & MY BONE ธุลีดาว (2025, Sina Wittayawiroj, documentary, 110min, A+30)

+ DIRECTOR’S DIARY (2025, Alexander Sokurov, Russia, documentary, 5hrs 5mins, A+30)

+ I A PIXEL, WE THE PEOPLE (2025, Chulayarnnon Siriphol, video installation, 24hrs, A+30)

 

1. เราได้ดู YOUR ASH & MY BONE เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พอดูแล้วก็เลยนึกถึง DIRECTOR’S DIARY กับ I A PIXEL, WE THE PEOPLE มาก ๆ เพราะหนังทั้ง 3 เรื่องทำหน้าที่เป็นทั้ง “ไดอารี่ของผู้กำกับภาพยนตร์ และบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศชาติ” ควบคู่ไปด้วยกันทั้ง 3 เรื่องเลย

 

โดย YOUR ASH & MY BONE นั้น พูดถึงประวัติชีวิตของตัวผู้กำกับ, ประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา, ผลกระทบโดยตรงที่ตัวผู้กำกับได้รับจาก “การเมืองไทย” และผลงานศิลปะต่าง ๆ ที่น่าสนใจและที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

 

ส่วน DIRECTOR’S DIARY นั้น จริง ๆ แล้วตัวโซคูรอฟแทบไม่ได้พูดถึงชีวิตส่วนตัวของตัวเองเลย หนังที่มีความยาว 5 ชั่วโมงเรื่องนี้เน้นนำเสนอข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1957-1991 โดยเน้นไปที่ข่าวการเมืองโลก, ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในโซเวียต ตั้งแต่ยุคของ Nikita Khrushchev, Leonid Brezhnev, Mikhail Gorbachev เรื่อยมาจนถึง Boris Yeltsin, ความเคลื่อนไหวทางภาพยนตร์ในโซเวียต, คลิปต่าง ๆ จากเมืองเลนินกราด และข่าวเครื่องบินตก + ยานอวกาศ

 

ส่วน I A PIXEL, WE THE PEOPLE นั้น พูดถึงทั้งประวัติชีวิตส่วนตัวของครอบครัวของผู้กำกับ ตั้งแต่ชีวิตของคุณตาของผู้กำกับ, ของคนรุ่นพ่อแม่, ของตัวเข้เอง และเรื่อยมาจนถึงรุ่นลูกของเข้ และวิดีโอนี้ก็พูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ยุค 2475 (1932) เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน และก็มีพูดถึงปัญหาด้านการเรียนการสอนวิชาภาพยนตร์ในไทย และความประสาทแดกต่าง ๆ ในวงการศิลปะไทยด้วย

 

เราก็เลยชอบมากที่หนังเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นทั้งบันทึกประวัติศาสตร์ส่วนตัว (ยกเว้น DIRECTOR’S DIARY) และประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศชาติไปด้วยในเวลาเดียวกัน

 

2. เราชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้ในจุดที่แตกต่างกันไป โดยในส่วนของ YOUR ASH & MY BONE นั้น เราชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ ทั้งในส่วนของประวัติชีวิตส่วนตัวของผู้กำกับ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ George Soros, ผลกระทบอย่างรุนแรงที่ตัวผู้กำกับได้รับจากการเมืองไทยหลังรัฐประหารในปี 2014 และข้อมูลเรื่องงานศิลปะต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วงราว 30 ปีที่ผ่านมา

 

ในส่วนของประวัติชีวิตส่วนตัวของตัวผู้กำกับนั้น เราชอบมาก ๆ ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วหนังไทยจำนวนมาก (โดยเฉพาะหนังสั้น) ก็มีการถ่ายทอด “ชีวิตของผู้กำกับและครอบครัว” ออกมาเหมือน ๆ กัน คือในแง่ “ประเด็นเรื่อง ชีวิตของผู้กำกับและครอบครัว” นั้น มันไม่ใช่ประเด็นที่แปลกใหม่ มันซ้ำกับหนังสั้นไทยจำนวนมาก แต่ “รายละเอียดของเนื้อหา” ของหนังเหล่านี้มันไม่ซ้ำกันเลย เพราะชีวิตมนุษย์แต่ละคนมันมีรายละเอียดแตกต่างกันมากมายในตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหากผู้กำกับคนไหนกล้าเปลือยชีวิตตนเองจริง ๆ ออกมา มันก็จะทำให้เนื้อหาของหนังเรื่องนั้นแตกต่างไปจากเรื่องอื่น ๆ โดยอัตโนมัติ อย่างเช่นในเรื่องนี้เราจะสะดุดตากับประเด็นเรื่อง George Soros มากเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยถูกพูดถึงในหนังไทยเรื่องอื่น ๆ

 

ประเด็นเรื่องผลกระทบที่ผู้กำกับได้รับจากรัฐประหารปี 2014 นั้นก็เจ็บปวดมาก ๆ เราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย และมันก็ทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาที่เราเคยคิดจะฆ่าตัวตายในช่วงกลางปี 2014 ด้วย

 

เราจำได้ด้วยว่า เราเคยชอบผลงาน animation เรื่อง FABLES (2012, Sina Wittayawiroj) มาก ๆ แต่หลังจากนั้นเราก็แทบไม่เคยได้ดูผลงานของคุณ Sina อีกเลย พอมาดูหนังเรื่องนี้เราก็เลยถึงได้เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่ค่อยได้เห็นชื่อของคุณ Sina อยู่ระยะนึงในช่วงหลังปี 2014

 

ส่วนประเด็นเรื่องผลงานศิลปะต่าง ๆ ที่น่าสนใจ (อย่างเช่นงาน WANTANEE RETROSPECTIVE) และผลงานศิลปะต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลใหญ่ในไทยในช่วงเวลาราว 30 ปีที่ผ่านมานั้น ถือเป็นประเด็นที่เราชอบสุดขีด เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะทั้งนำเสนอข้อมูลและตั้งคำถามที่น่าสนใจต่องานศิลปะเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เราว่าประเด็นนี้มัน unique มาก ๆ  ด้วย เพราะว่าเราไม่เคยเห็นประเด็นนี้ถูกพูดถึงมาก่อนเลยในหนังไทย ถึงแม้มีการผลิตหนังไทยออกมาราว 700 เรื่องต่อปีในงานหนังสั้นมาราธอน 

 

3. ส่วนประเด็นเรื่อง “ประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่ทศวรรษ 1980” เป็นต้นมา ใน YOUR ASH & MY BONE นั้น เราก็ชอบมาก ๆ เหมือนกัน แต่อาจจะเป็นส่วนที่เราชอบน้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ของหนังเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นประเด็นที่เราพอจะรู้อยู่บ้างแล้ว และมันก็เป็นประเด็นที่ไม่ได้แตกต่างมากนักจากหนังสั้นไทยบางเรื่อง

 

แต่ไม่ใช่ว่าส่วนนี้มันไม่สำคัญนะ มันสำคัญที่สุด สำคัญมาก ๆ ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าหากหนังเรื่องนี้ต้องการสื่อสารกับคนในวงกว้าง (ซึ่งรวมถึงสื่อสารกับเด็ก ๆ รุ่นใหม่ และคนที่ไม่ได้ตามดูหนังสั้นไทย)  เพียงแต่ว่าโดยส่วนตัวแล้ว เราชอบส่วนอื่น ๆ ของหนังเรื่องนี้มากกว่าเท่านั้นเองจ้ะ

 

ยกตัวอย่างเช่น เราเดาว่าผู้ชมหลายคนที่ดูหนังเรื่องนี้อาจจะเกิดไม่ทันยุคพฤษภาทมิฬปี 1992 ส่วนเรานั้นเกิดปี 1973 เพราะฉะนั้นเรื่องเหตุการณ์ในปี 1992 ก็เลยเป็นเรื่องที่เราพอรู้ ๆ อยู่บ้างแล้ว อะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้ใส่ประเด็นเรื่องปี 1992 เข้ามาในหนัง เพราะเราว่าส่วนนี้มันมีประโยชน์มาก ๆ ๆ ต่อผู้ชมคนอื่น ๆ และมันก็กระตุ้นให้เรารำลึกถึงอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา, ครอบครัวเรา และเพื่อน ๆ ของเราในปี 1992 ด้วย เพียงแต่ว่าส่วนนี้ของหนังอาจจะไม่ได้ “ให้ข้อมูลใหม่” กับเราเท่านั้นเองจ้ะ

 

4. พอเราเอา YOUR ASH & MY BONE ไปเทียบกับ DIRECTOR’S DIARY และ I A PIXEL, WE THE PEOPLE แล้ว เราก็รู้สึกว่า จุดแข็งของ YOUR ASH & MY BONE ก็คือ

 

4.1 หนังเรื่องนี้ “เป็นมิตรต่อผู้ชมในวงกว้าง” มากที่สุดเมื่อเทียบกับหนังอีก 2 เรื่องในกลุ่ม เพราะหนังเรื่องนี้มีความยาวเพียงแค่ 110 นาที, หนังเรื่องนี้มีการสื่อสารกับผู้ชมอย่าง “ตรงไปตรงมา” และหนังมีการให้ข้อมูลเรื่องการเมืองไทยในแบบที่ครบถ้วน เข้าใจง่าย คือเราว่าผู้ชมชาวต่างชาติที่ไม่มีความรู้มากนักเรื่องการเมืองไทย หรือเด็กไทยรุ่นใหม่ ๆ ที่อาจจะไม่มีความรู้เรื่องทศวรรษ 1980-1990 ก็สามารถติดตามทำความเข้าใจกับหนังเรื่องนี้ได้โดยง่าย

 

4.2 หนังเรื่องนี้น่าจะ “กระตุ้นผู้ชม” ในเรื่องจิตสำนึกทางการเมืองได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับหนังอีก 2 เรื่องในกลุ่ม ซึ่งนี่ก็น่าจะเป็นจุดประสงค์ของผู้กำกับอยู่แล้ว เพราะหนังมีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และเหมือนเป็นการระบายออก + จดบันทึกทางการเมือง

 

5. เราว่า YOUR ASH & MY BONE กับ I A PIXEL, WE THE PEOPLE นั้น สามารถเปรียบเทียบกันได้หลายแง่ อย่างเช่น

 

5.1 หนังทั้งสองเรื่องเอาชีวิตของผู้กำกับ+ครอบครัว กับประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาผสมเข้าด้วยกัน แต่ YOUR ASH & MY BONE ยาว 110 นาที, พูดถึงคนสองรุ่น และพูดเน้นช่วงทศวรรษ 1980-2020 ส่วน I A PIXEL, WE THE PEOPLE ยาว 1440 นาที, พูดถึงคน 4 รุ่น และพูดถึงปี 1932-2025

 

ด้วยเหตุนี้แหละ เราก็เลยรู้สึกว่า YOUR ASH & MY BONE เป็นหนังที่เหมาะสำหรับผู้ชมในวงกว้าง มันเหมือน  “คั้นมาแต่หัวกะทิ” ส่วน I A PIXEL, WE THE PEOPLE นั้นเหมือนให้เราเห็น “ต้นมะพร้าวทั้งสวน” 55555 ซึ่งเราก็ชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้ตรงที่มันแตกต่างกันมาก ๆ ในจุดนี้ด้วยนี่แหละ คือแต่ละเรื่องมันก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป

 

 

5.2 หนังทั้งสองเรื่องเป็น “ส่วนหนึ่งของนิทรรศการศิลปะ” เหมือน ๆ กัน

 

5.3 เรารู้สึกว่าหนังทั้งสองเรื่อง “สะท้อนความไม่พอใจต่อการเมืองไทย” เหมือน ๆ กัน แต่เรารู้สึกว่า YOUR ASH & MY BONE ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เห็น “ใบหน้าแห่งความโกรธ หรือความเจ็บปวด” ของตัวผู้กำกับ แต่ I A PIXEL, WE THE PEOPLE ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เห็น “ใบหน้าแสยะยิ้ม” ของตัวผู้กำกับ 555555

 

6. ในส่วนของ DIRECTOR’S DIARY ของ Sokurov นั้น เราชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลมากมายมหาศาลที่เราแทบไม่เคยรู้มาก่อนเลย โดยเฉพาะเรื่องของครุชเชฟและเบรซเนฟ, เรื่องของหนังทำเงินต่าง ๆ ในสหภาพโซเวียต, เรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่าง ๆ ในโซเวียต

 

คือเหมือนพอเราเป็นคนไทย เราก็เคยได้ยินแต่เรื่องของเลนิน, สตาลิน และกอร์บาชอฟเป็นหลักน่ะ ส่วนครุชเชฟและเบรซเนฟนี่ถูกพูดถึงในโลกภาพยนตร์น้อยมาก ๆ และหนังโซเวียตที่เรารู้จัก ก็มีแต่หนังของ Tarkovsky, Eisenstein, Dziga Vertov, Alexander Dovzhenko, Vsevolod Pudovkin หรือผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องในวงการหนัง arthouse แต่เราแทบไม่เคยรู้จัก “หนังทำเงิน” ของสหภาพโซเวียตมาก่อนเลย

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยสงสัยว่า บางทีถ้าหากผู้ชมหนังเรื่อง DIRECTOR’S DIARY เป็นชาวรัสเซียอายุ 70-80 ปี เขาก็อาจจะรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ “แทบไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ ๆ กับเขา” เลยก็ได้

 

แต่พอดีเราเป็นคนไทยอายุ 52 ปี เราก็เลยชอบสุดขีดที่หนังเรื่อง DIRECTOR’S DIARY อัดแน่นไปด้วยข้อมูลมหาศาลที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เกือบตลอด 5 ชั่วโมงเต็มของหนัง

 

สิ่งนึงที่เรารู้สึกฮาโดยไม่ได้ตั้งใจก็คือว่า DIRECTOR’S DIARY นั้น เหมือนจะพูดผ่าน ๆ ถึง “เหตุการณ์เชอร์โนบิล” ในช่วงท้าย ๆ ของหนัง ส่วน YOUR ASH & MY BONE นั้น พูดถึง “เหตุการณ์เชอร์โนบิล” ในช่วงต้นของหนัง เพราะฉะนั้นมันก็เลยเหมือนกับว่า YOUR ASH & MY BONE มารับไม้ต่อจาก DIRECTOR’S DIARY ได้อย่างพอดิบพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

6. สรุปว่าเราชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้อย่างสุดขีดทั้ง 3 เรื่อง แต่อาจจะชอบในแบบที่แตกต่างกันไป

 

6.1 เราชอบ DIRECTOR’S DIARY อย่างสุดขีด เพราะหนังเรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูลต่าง ๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับโซเวียต และเต็มไปด้วยคลิปข่าวที่เราไม่เคยดูมาก่อน เกือบตลอดเวลา 5 ชั่วโมงเต็มของหนัง

 

6.2 เราชอบหลาย ๆ ประเด็นใน YOUR ASH & MY BONE โดยเฉพาะเรื่องชีวิตของผู้กำกับและผลงานศิลปะที่ได้รับการยกย่องในไทย และเราชอบ “พลังผลักดันทางการเมืองอย่างรุนแรง” ที่ปะทุออกมาจากหนังเรื่องนี้

 

6.3 เราชอบ “ความรู้สึกอันมหาศาลที่ยากจะอธิบายได้” ที่ได้รับจากการดู I A PIXEL, WE THE PEOPLE โดยเฉพาะความรู้สึกที่ว่า “เราเป็นประชาชนคนหนึ่ง เราอาจจะมีเพียงแค่เสียงเดียว แต่เรารู้สึกว่าเรา “ได้ถูกนับรวม” ในหนังเรื่องนี้”

 

Wednesday, December 24, 2025

THE CURSE OF CINEPHILES

 

ASIAN MOVIE PULSE ประกาศ 25 BEST SOUTHEAST ASIAN FILMS OF 2025 ออกมาแล้ว

 

1. The Fox King by Woo Ming Jin (Malaysia, A+30)

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ SF CENTRAL WORLD

 

2. Ikatan Darah by Sidharta Tata (Indonesia)

 

3. Republic of Pipolipinas by Renei Dimla (Philippines)

 

4. Riverstone by Lalith Rathnayake (Sri Lanka)

 

5.On Your Lap by Reza Rahadian (Indonesia)

 

6. Cinemartyrs by Sari Dalena (Philippines)

 

เราเคยดู WHITE FUNERAL (1997, Sari Dalena, A+30) ของผู้กำกับคนนี้ ตอนที่หนังเรื่องนั้นมาฉายที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยสุขุมวิท 55

 

7. Macai by Sun-J Perumal (Malaysia)

 

8. A Useful Ghost by Ratchapoom Boonbunchachoke (Thailand, A+30)

 

9. Human Resource by Nawapol Thamrongrattanarit (Thailand)

 

10. Ky Nam Inn by Leon Le (Vietnam, A+30)

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ HOUSE SAMYAN

 

11. Amoeba by Siyou Tan (Singapore)

 

12. Spying Stars by Vimukthi Jayasundara (Sri Lanka, A+25)

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ SF CENTRAL WORLD

 

13. Lilim by Mikhail Red (Philippines)

 

เราเคยดู BIRDSHOT (2016, Mikhail Red, A+30) ของผู้กำกับคนนี้

 

14. Panor by Putipong Saisikaew (Thailand, A+30)

 

15. Flat Girls by Jirassaya Wongsutin (Thailand, A+30)

 

16. Magellan by Lav Diaz (Philippines, A+30)

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์ HOUSE SAMYAN

 

17. Raging by Ryan Machado (Philippines)

 

18. Hen by Sinung Winahyoko (Indonesia)

 

19. Slave Island by Jimmy Hendrickx and Jeremy Kewuan (Indonesia)

 

20. Dreamboi by Rodina Singh (Philippines)

 

21. Sore: A Wife from the Future by Yandy Laurens (Indonesia)

 

22. The Waves Will Carry Us by Lau Kek-Huat (Malaysia)

 

อยากดูอย่างรุนแรงที่สุด เพราะเราเป็นแฟนคลับของ Lau Kek-Huat

 

23. Dopamine by Teddy Soeria Atmadja (Indonesia)

 

ชอบผู้กำกับคนนี้อย่างรุนแรงมาก เราเคยดูหนัง 2 เรื่องของเขา ซึ่งก็คือ LOVELY MAN (2011) กับ ABOUT A WOMAN (2015)

 

24. The Sleeping Beauty by Mattie Do (Laos)

 

อยากดูอย่างรุนแรง เพราะเราเป็นแฟนคลับของ Mattie Do

 

25. The Red Envelope by Chayanop Boonprakob (Thailand, A+15)

 

สรุปว่าใน 25 เรื่องนี้ เราเคยดูแค่ 8 เรื่อง เหลือที่ยังไม่ได้ดูอีก 17 เรื่อง

 

https://asianmoviepulse.com/2025/12/the-25-best-se-asian-films-of-2025/?fbclid=IwY2xjawO3eglleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFOYUJwcmIwbjNFYVhya3Bic3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHt-rqtfQYr57MgkrmvWZ0G733nlJjOKhUdkwZrnmODNCPZg7KkUqmUEHD0ih_aem_yGVA3gh3ExLcGVGT75cepA

+++++++

คำสาปของ CINEPHILES

 

ฟิล์มซิคเหมือนเพิ่งจะโดนคำสาปนี้ในปีนี้ ส่วนเราโดนคำสาปนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว คำสาปที่ว่าก็คือ “ทางเดียวที่จะเรามีเวลาเขียนถึงหนังที่เราได้ดู นั่นก็คือเราต้องงดดูหนัง เพราะตราบใดที่เรายังคงดูหนัง เราก็จะไม่มีเวลาเขียนถึงหนัง” 55555

 

เพราะเรามีเวลาไม่มากพอ เราต้องการเวลาทำงานหาเงิน, พักผ่อน, ทำกิจธุระที่จำเป็น, ออกกำลังกาย, เลี้ยงลูกหมี, etc.

 

ในอดีตเมื่อราว 20 กว่าปีก่อนนั้น เราเคยมีเวลาว่างมากพอที่จะ

 

1. ดูหนัง

2. ดูละครเวที

3. ดูงานศิลปะตามแกลเลอรี่ต่าง ๆ

4. ฟังเพลง

5. เขียนถึงหนังเกือบทั้งหมดที่เราได้ดูลง webboards + blog โดยในส่วนของหนังสั้นนั้น อย่างน้อยเราก็ยังมีเวลาแปะชื่อหนัง+ชื่อผู้กำกับ+แปะระดับความชอบ (เกรด)

 

แต่ยิ่งเราแก่ตัวลง เราก็ยิ่งทำอะไรได้น้อยลงเรื่อย ๆ เราก็เลยลด ละ เลิก กิจกรรมที่เราทำไม่ไหวตั้งแต่เข้าสู่ทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา แกลเลอรี่เราก็แทบไม่ได้ไป ยกเว้นนิทรรศการที่มี video installations ส่วนละครเวทีเราก็เลิกดูตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา เพราะสังขารเราไม่เอื้ออำนวยอีกต่อไป

 

เหมือนปี 2011 น่าจะเป็นปีสุดท้ายที่เราแปะชื่อหนังสั้นที่เราได้ดูเกือบครบ ซึ่งก็เป็นเพราะว่าปีนั้นไทยเจอน้ำท่วมใหญ่ในช่วงปลายปี เราก็เลย “มีเวลาว่างเหลือเยอะ” ก็เลยมีเวลาเขียนถึงหนังสั้นเยอะหน่อยในปีนั้น แต่หลังจากปี 2011 เวลาว่างของเราก็ดูเหมือนจะน้อยลงเรื่อย ๆ ในขณะที่สังขารของเราก็โรยรามากขึ้นเรื่อย ๆ

 

และเราก็พบว่า ในที่สุดเราก็ต้องเลือก ว่าจะ “ดูหนัง” หรือ “เขียนถึงหนัง” เราไม่มีเวลาในชีวิตเหลือพอที่จะทำทั้งสองอย่างได้อีกต่อไป เพราะว่าถ้าหากเรายังคงเน้นดูหนังที่เราอยากดูตามโรงภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง เราก็จะมีเวลาเขียนถึงหนังเพียงแค่ 1-10% ของที่เราได้ดูเท่านั้น แต่ถ้าหากเราอยากจะเขียนถึงหนังที่เราได้ดู เราก็อาจจะต้องดูหนังเพียงแค่ 2 วันต่อสัปดาห์ แล้วอีก 5 วันที่เหลือเราถึงจะมีเวลาเขียนถึงหนัง อะไรทำนองนี้

 

อย่างในเทศกาลหนังสั้นมาราธอนปีนี้ เราก็ดูหนังไปได้ 169 เรื่อง แต่เพิ่งเขียนถึงไปแค่ 5 เรื่อง หรือ 3% เท่านั้น และก็อาจจะไม่มีเวลาเขียนถึงอีก 164 เรื่องที่เราได้ดู นอกจากว่าเราจะต้องงดดูหนังทุกเรื่องในช่วงเวลา 3 เดือนข้างหน้า 55555

 

ก็เลยรู้สึกว่าเราเหมือนมี “ชีวิตต้องสาป” เราต้องเลือกว่าจะดูหนัง หรือเขียนถึงหนัง และเราก็เลือกแล้วว่าเราขอดูหนังแล้วกัน ส่วนการเขียนถึงหนังนั้น เราคงจะมีเวลาเขียนถึงเพียงแค่ 1% ของหนังที่เราได้ดูเท่านั้นแหละ

 

เพราะฉะนั้นก็ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ cinephiles ทุกคนเขียนถึงหนังกันต่อไป เราขอเน้นอ่านสิ่งที่เพื่อน ๆ เขียนนะคะ ส่วนดิฉันต้องคำสาปนี้มาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว และทำใจยอมรับได้แล้วว่า ชีวิตเราก็เท่านี้แหละ แค่เราได้มีเวลาดูหนัง เราก็มีความสุขมากพอแล้ว

+++

 

เราชอบจำหนังเรื่องนี้สลับกับ MADAME ROSA (1977, Moshe Mizrahi, France) ที่นำแสดงโดย Simone Signoret แต่เรายังไม่เคยดูทั้งสองเรื่องนะ อยากให้มีคนจัดฉาย double bill MADAME ROSA + MADAME SOUSATZKA มาก ๆ คนดูจะได้งงเล่น 555

 

Sunday, December 21, 2025

LIST 2025 OF MICHAEL ATKINSON

 

Alex Davidson ซึ่งเป็น curator จากอังกฤษ เลือกให้ A USEFUL GHOST ติดอยู่ใน 10 อันดับหนังประจำปี 2025 ของเขาด้วย

 

ลิสท์ของเขาดีงามมาก ๆ เพราะว่าใน 10 อันดับหนังสุดโปรดของเขานั้น เราเคยดูไปเพียงแค่ 2 เรื่องเท่านั้นเอง เรายังไม่ได้ดูอีก 8 เรื่อง

 

อันดับหนังประจำปี 2025 ของเขา

 

1.    The Blue Trail (Gabriel Mascaro, Brazil, Mexico, Netherlands, Chile)

2.    It Was Just an Accident (Jafar Panahi, Iran, France, Luxembourg)

3.    Night Stage (Filipe Matzembacher, Marcio Reolon, Brazil)

4.    Eighty Plus (Restitucija, ili, San i java stare garde) (Želimir Žilnik, Serbia, Slovenia)

5.    Twinless (James Sweeney, USA)

6.    Short Summer (Nastia Korkia, Germany, France, Serbia)

7.    Maspalomas (Aitor Arregi, Jose Mari Goenaga, Spain)

8.    Retreat (Ted Evans, UK)

9.    She’s the He (Siobhan McCarthy, USA)

10.                    A Useful Ghost (Ratchapoom Boonbunchachoke, Thailand, Singapore, Germany, France)

 

A wild and wondrous hurricane of queer cinema descended in 2025, embracing hot and horny political noir (Night Stage), provocative comedy (Twinless), senior citizens behaving badly (Maspalomas), gender mischief (She’s the He) and jaw-dropping, anti-authoritarian satire (A Useful Ghost, featuring the most tender sex scene I saw all year, between a man and a possessed vacuum cleaner). 

 

A welcome focus on older characters rebelling against ageism was evident throughout some of the very best films – Maspalomas again, Eighty Plus, and my favourite movie of 2025, the empowering crowd-pleaser The Blue Trail. In a so-so year for British cinema, Ted Evans made a bold and risk-taking debut with Retreat, a film about a deaf commune told almost entirely through sign language.

+++

 

น้ำตาไหลปลาบปลื้มกับ 10 อันดับหนังประจำปี 2025 ของ Michael Atkinson เพราะว่าเราชอบหนังเรื่อง FAIRYTALE (2022, Alexander Sokurov, Russia, A+30) อย่างสุดขีดคลั่งมาก ๆ แต่แทบไม่เคยเห็นหนังเรื่องนี้ติด 10 อันดับประจำปีของคนอื่น ๆ มาก่อน

 

ใน 10 อันดับหนังของเขานั้น เราเคยดูไป 6 เรื่อง ซึ่งได้แก่ FAIRTYTALE, APRIL, GRAND TOUR, SORRY BABY, DRACULA และ WEAPONS และเราก็ชอบทั้ง 6 เรื่องนี้อย่างสุดขีด


Michael Atkinson

Critic, US

1.    Fairytale (Skazka) (Alexander Sokurov, Russia, Belgium)

2.    April (Dea Kulumbegashvili, Georgia, Italy, France)

3.    My Undesirable Friends, Part 1: Last Air in Moscow (Julia Loktev, USA)

4.    It Was Just an Accident (Jafar Panahi, Iran, France, Luxembourg)

5.    Grand Tour (Miguel Gomes, Portugal, Italy, France)

6.    Caught by the Tides (Jia Zhang-ke, China)

7.    Sanatorium Under the Sign of the Hourglass (Stephen and Timothy Quay, UK, Poland, Germany)

8.    Sorry, Baby (Eva Victor, USA, Spain, France)

9.    Dracula (Radu Jude, Romania, Austria, Luxembourg, Brazil, UK, Switzerland)

10.                    Weapons (Zach Cregger, USA)

https://www.bfi.org.uk/sight-and-sound/polls/best-films-2025-all-votes?fbclid=IwY2xjawOyqURleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFFT1JjelN5QXZxOHNGNjRKc3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHvpOs7d-d0QRDKZyJrNDaULvSVhl0gUHT6luPDf4ou9BOzoGqePatNX_MmQx_aem_AnUxD2b8MtL1_cnTVFfztg

+++

20 ธ.ค.ในปีก่อน ๆ เป็นวันที่ได้ดู HALE COUNTY THIS MORNING, THIS EVENING (2018, RaMell Ross, documentary, A+30)

+++

ใครไปดูนิทรรศการที่ DIB แล้วบ้างคะ เราอยากรู้ว่ามันมีงานวิดีโอของใครบ้าง และเป็นงานวิดีโอเรื่องอะไร เราเดาว่าน่าจะมีงานวิดีโอของ Apichatpong และ Navin Rawanchaikul และอาจจะเป็นงานวิดีโอที่เราเคยดูไปแล้ว

 

สิ่งที่เราอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือว่า งานศิลปะของ Rebecca Horn ที่อยู่ในนิทรรศการนี้คืองานอะไร เพราะว่าถ้าหากเป็นงานวิดีโอของ Rebecca Horn ที่เรายังไม่เคยดูมาก่อน เราก็อยากไปดูค่ะ ก่อนหน้านี้เราเคยดูงานวิดีโอบางชิ้นของ Rebecca Horn มาแล้ว กราบตีนมาก ๆ

 

เห็นค่าตั๋วมัน 550 บาท ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คงจะคุ้มค่าแหละ สำหรับการดูงานศิลปะแขนงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วิดีโอ เพียงแต่ว่า เราก็อยาก “ทำใจล่วงหน้า” ก่อนไปนิทรรศการนี้  ว่าเราจะได้ดูงานวิดีโออะไรต่าง ๆ ที่เรายังไม่เคยดูมาก่อนหรือเปล่า 55555 คือถ้าหากเรารู้ล่วงหน้าว่าจะได้ดูอะไรบ้าง เราจะได้ไม่ผิดหวังค่ะ

++++

 

THE FOUNTAIN OF YOUTH at Thai Film Archive, Salaya

 

ในที่สุดเราก็ได้กินกาแฟเต่าบินเป็นครั้งแรกในชีวิตการแสดง โดยมากินที่หอภาพยนตร์นี่แหละ 55555 คือเราเคยเห็นตู้เต่าบินมาแล้วหลายครั้งตามจุดต่าง ๆ เป็นร้อยจุดทั่วกรุงเทพ แต่เราไม่เคยกินเลย เพราะ “มันมีทางเลือกอื่น ๆ” ให้เลือก

 

แต่พอตู้เต่าบินมาตั้งอยู่ที่หอภาพยนตร์ และตอนนั้นเป็นเวลา 18.30 น. ที่ร้านกาแฟอื่น ๆ ในหอภาพยนตร์ปิดหมดแล้ว และเราก็ต้องการแดกกาแฟก่อนชมภาพยนตร์รอบ 19.00 น. การมี “ตู้กาแฟเต่าบิน” มาคอยให้บริการผู้ชมในยามหลังพระอาทิตย์ตกดินแบบนี้ ก็เลยถือเป็นอะไรที่ดีงามมาก ๆ สำหรับเรา นึกว่าบ่อน้ำอมฤต 555555

Saturday, December 20, 2025

FILMS WITH MANY SHORT STORIES IN 2025

 

ปี 2025 เป็นปีที่เราได้ดูหนังหลายเรื่องที่เราชอบสุดขีด และหนังเหล่านี้มีคุณสมบัติตรงกันประการหนึ่ง นั่นก็คือเป็นหนังที่ “ประกอบด้วยเรื่องย่อย ๆ หลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่ 3 เรื่องขึ้นไป” มารวมกัน

 

หนังกลุ่มนี้ที่เราชอบสุดขีดหรือชอบมาก ๆ ที่เราได้ดูในปี 2025 ประกอบด้วยเรื่อง

 

1. AGON (2025, Giulio Bertelli, Italy)

 

2. RESURRECTION (2025, Bi Gan, China)

 

3. DRACULA (2025, Radu Jude, Romania)

 

4. SOUND OF FALLING (2025, Mascha Schilinsky, Germany)

 

5. CURIOUS TALES OF A TEMPLE (2025, Cui Yuemei, Huang Heyu, Liu Yilin, Liu Yuan, Xie Junwei, Zou Jing, China, animation, A+30)

 

6. HISTORIAS LAMENTABLES (2020, Javier Fesser, Spain)

 

7. DREAMS (1990, Akira Kurosawa, Japan)

 

8. LOVE ACTUALLY...SUCKS (2011, Scud, Hong Kong)

 

9. TIMELESS REACTIONS: A COMPOSITION OF WRITING, CHEMISTRY, AND SILENCE เรื่องในข้อแม้ของเวลา: การเขียน, เคมี และความเงียบ (2025, Jirat Sompakdee)

 

ส่วน THE HUMAN SURGE 3 (2023, Eduardo Williams, Argentina/Sri Lanka/Taiwan/Peru, A+30) นี่เราไม่แน่ใจว่าสามารถจัดให้อยู่ในหนังกลุ่มนี้ด้วยได้ไหม 55555 เพราะเนื้อเรื่องมันเหมือนแยกกันและก็หลอมรวมกันในเวลาเดียวกัน มันเหมือนมี “เนื้อเรื่องย่อย ๆ” แต่ก็ยากที่จะแยกออกเป็น “เนื้อเรื่องเดี่ยว ๆ” ได้

 

สิ่งที่ฮามากก็คือว่า ทั้ง RESURRECTION และ DRACULA นั้น มี “เนื้อเรื่องย่อยเกี่ยวกับ “การถอนฟัน”” เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวโครงสร้างหลักของหนังทั้ง 2 เรื่องนี้ ไม่น่าจะโยงไปถึงการถอนฟันได้ เพราะ RESURRECTION พูดถึงสไตล์ภาพยนตร์ในแต่ละยุคสมัย ส่วน DRACULA พูดถึง “ผีดูดเลือด” แต่หนังทั้งสองเรื่องก็มี “เรื่องย่อย ๆ เกี่ยวกับตัวละครถอนฟัน” ใส่เข้ามาเหมือนกัน

 

ถ้าหากเป็นหนังที่เราได้ดูในช่วงทศวรรษ 2020 ลิสท์นี้ก็จะรวมถึงหนังเหล่านี้ด้วย

 

 10. WHEEL OF FORTUNE AND FANTASY (2021, Ryusuke Hamaguchi, Japan)

 

11. ABOUT ENDLESSNESS (2019, Roy Andersson, Sweden)

 

12. THE BLACK PHARAOH, THE SAVAGE AND THE PRINCESS (2022, Michel Ocelot, France, animation)

 

เราเคยทำรายชื่อหนังกลุ่มนี้ที่เราชอบสุดขีดไว้ในปี 2008 ด้วยนะ
https://celinejulie.blogspot.com/2008/05/twentieth-poll-barely-connected-stories.html

 

Edit เพิ่ม: จริง ๆ แล้ว YOUNG MOTHERS (2025, Jean-Pierre Dardenne, Luc Dardenne, Belgium, A+30) กับ THE UNSTABLE OBJECT II (2022, Daniel Eisenberg, documentary, 204 min, A+30) ก็อาจจะถูกจัดให้อยู่ในหนังกลุ่มนี้ได้เหมือนกัน

Friday, December 19, 2025

CHINESE ANIMATIONS 2025

 

เราก็ชอบหนังกลุ่ม “เรื่องย่อย ๆ หลาย ๆ เรื่องมารวมกัน” เหมือนกัน เหมือนที่เราเจอในยุคนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องย่อย ๆ แค่ 3 เรื่องมารวมกัน ไม่ได้เยอะเป็น 6-10 เรื่องมารวมกันเหมือนในอดีต

 

ถ้าเป็นในปีนี้ที่เราชอบมาก ๆ ก็มี

 

1. DRACULA (2025, Radu Jude)

อันนี้เยอะเป็น 10 เรื่อง

 

2. TIMELESS REACTIONS: A COMPOSITION OF WRITING, CHEMISTRY, AND SILENCE เรื่องในข้อแม้ของเวลา: การเขียน, เคมี และความเงียบ (2025, Jirat Sompakdee)

อันนี้เป็น 3 เรื่องมารวมกัน

 

3. AGON (2025, Giulio Bertelli, Italy)

อันนี้เป็น 3 เรื่องมารวมกัน

 

4. RESURRECTION (2025, Bi Gan, China)

 

5. CURIOUS TALES OF A TEMPLE (2025, Cui Yuemei, Huang Heyu, Liu Yilin, Liu Yuan, Xie Junwei, Zou Jing, China, animation, A+30)

 

ถ้าปีก่อน ๆ ก็คงเป็น WHEEL OF FORTUNE AND FANTASY (2021, Ryusuke Hamaguchi) และ ABOUT ENDLESSNESS (2019, Roy Andersson, Sweden)

 

เราเคยทำรายชื่อหนังกลุ่มนี้ที่เราชอบสุดขีดไว้ในปี 2008 ด้วยนะ
https://celinejulie.blogspot.com/2008/05/twentieth-poll-barely-connected-stories.html

 

++++

 

ปีนี้เป็นปีของ animation จีนจริง ๆ ปีนี้เราได้ดู Chinese animation features ในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพไป 5 เรื่องได้มั้ง เรียงตามลำดับความชอบได้ดังนี้

 

1. CURIOUS TALES OF A TEMPLE (2025, Cui Yuemei, Huang Heyu, Liu Yilin, Liu Yuan, Xie Junwei, Zou Jing, China, animation, A+30)

 

2. I AM WHAT I AM 2 (2024, Sun Haipeng)

 

3. NOBODY (2025, Yu Shui)

 

4. THE LEGEND OF HEI 2 (2025, Gu Jie, Mtjj)

 

5. NE ZHA 2 (2025, Yu Yang)

 

เราชอบสุดขีดทั้ง 5 เรื่องนะ และลำดับความชอบอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต

 

EDIT เพิ่ม: จริง ๆ เราได้ดู THE FLOWER PRINCESS (PART 1) (2025, Cheung Kawah, Cui Weiquan, Foo Sing-choong, China, animation, A+30) ในเทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกงด้วย เราก็เลยนึกว่ามันเป็น “หนังฮ่องกง” แต่ใน IMDB บอกว่า มันเป็น “หนังจีน” ถึงแม้หนังพูดภาษากวางตุ้ง

 

ถ้าหากรวม THE FLOWER PRINCESS (PART 1) เข้าไปในลิสท์ด้วย เราก็อาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากเป็นอันดับ 2

++++

นึกถึงยุคของเรากับเพื่อน ๆ ที่คลั่งไคล้ "ละครโทรทัศน์ของสุนันทา นาคสมภพ" ในปี 1990 ที่นักแสดงเล่นแข็งมาก ๆ ทุกอย่างเห่ยมาก ๆ ถ้าหากเอา "มาตรฐานทางศิลปะ" ไปวัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าการที่ "ละคร" เหล่านี้มัน "แหกทุกกฎทางสุนทรียศาสตร์" หรือเปล่า มันถึงสามารถ "ตอบสนอง" บางอย่างในจิตใต้สำนึกของพวกเราได้

  

Thursday, December 18, 2025

RIP ROSA VON PRAUNHEIM

 

KIS KISKO PYAAR KAROON 2 (WHOM SHOULD I LOVE 2)  (2025, Anukalp Goswami, India, 142min) เข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพแล้ววันนี้ แต่รอบฉายดึกจังเลย ฮือ ๆ

+++

 

SHORTLIST OSCAR หนังต่างประเทศออกมาแล้ว เราได้ดูไปเพียงแค่ 5 จาก 15 เรื่องนี้

 

Argentina, “Belén” 
Brazil, “The Secret Agent” 
France, “It Was Just an Accident” 
Germany, “Sound of Falling” 
India, “Homebound” 
Iraq, “The President’s Cake” 
Japan, “Kokuho” 
Jordan, “All That’s Left of You”
Norway, “Sentimental Value”
Palestine, “Palestine 36” 
South Korea, “No Other Choice”
Spain, “Sirât” 
Switzerland, “Late Shift”
Taiwan, “Left-Handed Girl”
Tunisia, “The Voice of Hind Rajab”

 

หนัง 5 เรื่องที่เราได้ดู เรียงตามลำดับความชอบ

 

1. SOUND OF FALLING (2025, Mascha Schilinsky, Germany)

 

2. HOMEBOUND (2025, Neeraj Ghaywan, India)

 

3. SIRAT (2025, Oliver Laxe, Spain)

 

4. THE PRESIDENT’S CAKE (2025, Hasan Hadi, Iraq)

 

5. NO OTHER CHOICE (2025, Park Chan-wook, South Korea)

 

เหมือนเราอินกับ SOUND OF FALLING มากที่สุด และเราชอบที่หนังเหมือนมี gap เยอะมาก ๆ ซึ่งสิ่งนี้มักจะเป็นสิ่งที่ทำให้หนังหลาย ๆ เรื่องติดอยู่ในความทรงจำและอารมณ์ความรู้สึกของเราเป็นเวลานาน ๆ มันเหมือน gap ในหนังมันคือพื้นที่ว่างบางอย่างที่เปิดโอกาสให้เราเข้าไปขดตัวอยู่ในนั้น หรือไปสร้างเสริมจินตนาการของตนเองอยู่ในนั้นได้

 

HOMEBOUND ก็ซึ้งมาก ๆ

 

ส่วน SIRAT, THE PRESIDENT’S CAKE กับ NO OTHER CHOICE นั้น ก็เป็นหนังที่เราชอบสุดขีดทั้ง 3 เรื่อง แต่เป็นหนังที่เรา “ไม่อินกับตัวละครเอก” เราก็เลยชอบหนังทั้ง 3 เรื่องนี้อย่างสุดขีดเพราะ “ความงดงามทางภาพยนตร์” ของมัน แต่ไม่มีปัจจัยด้าน “ความอินเป็นการส่วนตัว” เข้าไปผสมด้วย ระดับความชอบของหนัง 3 เรื่องนี้มันก็เลยน้อยกว่า SOUND OF FALLING + HOMEBOUND ไปโดยปริยาย

 

คืออย่างใน SIRAT นั้น เราก็เคยเขียนไปแล้วหลายครั้งว่า มันเป็นดินแดน Western Sahara ทางตอนใต้ของ Morocco ที่มีสงครามกลางเมืองมานานหลายสิบปี เพราะฉะนั้นถ้าหากเป็นเรา เราจะไม่มีวันเข้าไปในดินแดนนั้นเป็นอันขาด

 

THE PRESIDENT’S CAKE นั้น เราก็ไม่อินกับตัวนางเอก แต่ก็ยังดีที่หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า “การที่นางเอกเอาแต่ใจตัวเอง” มันสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงมากเพียงใด

 

ส่วน NO OTHER CHOICE นั้น เราไม่อินกับตัวละครพระเอกเลยแม้แต่นิดเดียว (ถึงแม้จะรู้สึกว่านักแสดงหล่อมากในสายตาของเรา 555) ตัวละครที่เราอินที่สุดและรักที่สุดในหนังเรื่องนี้ ก็คือตัวละคร “พนักงานขายรองเท้า” Sijo (Cha Seung-won) ที่จริง ๆ แล้วเป็นผู้ชายที่มีความสามารถสูงมาก แต่เขาก็ยอมมาทำงานขายรองเท้า ยอมทนให้ลูกค้ารวย ๆ ด่ากราด ดูถูกเหยียดหยามต่าง ๆ นานา เราก็เลยอินกับตัวละครประกอบตัวนี้มากที่สุดในหนัง เพราะมันทำให้เรานึกถึงชีวิตจริงของตัวเราเองด้วย

++++

 

Donald Trump ให้เกรดเศรษฐกิจสหรัฐ A+++++

 

สงสัยว่าเขาอาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากเราและฟิล์มซิค 55555

https://www.politico.com/news/2025/12/09/donald-trump-full-interview-transcript-00681693?campaign_id=93&emc=edit_fb_20251215&instance_id=167942&nl=frank-bruni&regi_id=177604949&segment_id=212282&user_id=91beddaf82bcdca34f16c287102440eb

++++

 

RIP ROSA VON PRAUNHEIM (1942-2025)

 

เราขอยกให้เขาเป็น “หนึ่งใน 3 ปรมาจารย์หนังเกย์แห่งเยอรมนี” เลย โดยปรมาจารย์อีก 2 คนก็คือ Rainer Werner Fassbinder และ Werner Schroeter ที่ต่างก็ล่วงลับไปแล้ว ทั้ง 3 คนเริ่มกำกับหนังเกย์ที่สุดยอดมาก ๆ ตั้งแต่ช่วงราว ๆ ปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 เหมือน ๆ กัน โดย Werner Schroeter จะเน้นหนักไปทางหนังทดลอง, หนังไม่เล่าเรื่อง, หนังพิสดาร ส่วน Fassbinder จะเน้นหนักไปทางหนัง narrative, drama, เสียดสีสังคม, ดูง่ายสำหรับผู้ชมกระแสหลัก ส่วน von Praunheim นั้นมีความเป็น activist สูงสุดในบรรดา 3 คนนี้ เรารู้สึกว่าหนังของเขาเน้นเรียกร้องสิทธิเกย์ และเขาก็ดูเหมือนจะกำกับหนังสารคดีจำนวนมากด้วย

 

จำได้ว่า เมื่อราว ๆ 25 ปีก่อน เรากับเพื่อนเคยให้คำจำกัดความหนังของ Rosa von Prauheim และ Monika Treut ว่าเป็น “หนังที่ตัวละครแปลงเพศกันจนวุ่นวายเต็มไปหมด” 55555 ซึ่งถ้าหากเป็นในยุคนี้ หนังเหล่านี้ก็คงเป็น “เรื่องธรรมดา” แต่ในยุคทศวรรษ 1990 นั้น การที่มีหนังที่ “ตัวละครแปลงเพศกันจนวุ่นวายเต็มไปหมด” ออกมาในยุคนั้น ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ล้ำยุคล้ำสมัย กล้าหาญชาญชัยมาก ๆ สำหรับยุคนั้น

 

หรือถ้าหากจะให้คำจำกัดความเป็นภาษาอังกฤษ ตามที่มีคนเคยเขียนเอาไว้ ก็คงต้องบอกว่า หนังของ Rosa von Praunheim เป็นหนังเกี่ยวกับ EVERY KIND OF SEXUAL “DISORIENTATION”

 

Rosa von Praunheim เคยกำกับภาพยนตร์ไปแล้ว 160 เรื่อง แต่เราเคยดูหนังของเขาแค่ 3 เรื่องเท่านั้นเอง ซึ่งเราก็ชอบทั้ง 3 เรื่องนี้มาก ๆ หนัง 3 เรื่องของเขาที่เราเคยดู ก็คือ

 

1. A VIRUS KNOWS NO MORALS (1986, Rosa von Praunheim, West Germany, 84min)

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ห้องสมุดมหาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดฉายโดย Filmvirus หนังเรื่องนี้ติดอันดับ 14 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2003

 

2. EINSTEIN OF SEX (1999) 

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่เอ็มโพเรียมใน Bangkok Film Festival

 

3. QUEENS DON’T CRY (2002, documentary) 

 

เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่สถาบันเกอเธ่

 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

 

ทั้ง Fassbinder, Schroeter, von Praunheim ต่างก็เคยสมัครเข้าเรียนใน Berlin Film School แต่ถูกทางมหาวิทยาลัยปฏิเสธหมดทั้ง 3 คน ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ทั้ง 3 คนนี้ไม่ได้ศึกษาด้านภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัย ทั้งสามต่างก็สามารถสร้างภาพยนตร์ที่สุดยอดมาก ๆ ได้

 

อยากให้มีคนจัดงาน RETROSPECTIVE ของ Rosa von Praunheim อย่างรุนแรงมาก ๆ โดยหนังของเขาที่เราอยากดูอย่างสุดขีดคลั่งก็รวมถึง

(เรื่องย่อมาจาก IMDB และอินเทอร์เน็ต อ่านเรื่องย่อแต่ละเรื่องก็รู้แล้วว่า ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป)

 

1. IT IS NOT THE HOMOSEXUAL WHO IS PERVERSE, BUT THE SOCIETY IN WHICH HE LIVES (1971, 67min)

 

A harsh but deeply sympathetic sociological essay film about gay life in Berlin in a time of secrecy and oppression, with no diegetic sound and constant narration, following Daniel's unsatisfying immersion into gay society.

 

2. ARMY OF LOVERS OR REVOLT OF THE PERVERTS (1979, documentary)

 

Personal diary-style documentary of German Gay rights activist Von Praunheim's sojourn in the U. S. Grace Jones is seen writhing her way through "I Need A Man" at a rally and is sharply criticized for doing so by a Lesbian feminist.

 

3. OUR CORPSES STILL LIVE (1981)

 

A staged documentary by Berlin’s Rosa von Praunheim, who gathers five women who came of age in the 1930s—ranging from a lesbian-feminist journalist to a pro-Hitler housewife—for a week in a small apartment to see what will happen.

 

4. RED LOVE (1982)

 

In this self-proclaimed attack on good taste, Rosa von Praunheim smashes a lavishly produced adaptation of Soviet diplomat Alexandra Kollontai’s A Great Love together with a crudely shot-on-video interview with radical sex activist Helga Goetz, the ex-housewife mother of seven who’d claimed to have had sex with over 200 partners after discovering the free love movement in the 60s. Borne out of Praunheim’s disappointment with the original, more traditional cut of his adaptation of Kollontai’s novella, RED LOVE becomes something more than the sum of its two parts: a singular, punk tribute to two revolutionary women.

 

5. CITY OF LOST SOULS (1983)

A film about the teeming flip side of life in Berlin centered on eccentric characters of almost every imaginable sexual orientation, or disorientation.

 

Onetime 82 Club performer and trans pioneer Angie Stardust becomes den mother to a group of weirdo queer American émigrés at her Berlin burger restaurant slash boarding house in this absurdist glam musical. Largely drawn from the real-life backgrounds of its stars—including punk icon Jayne County, performance artist Juaquin la Habana, and porn star Tron von Hollywood—and with a number of new wave earworms taken from County and Hollywood’s live U-Bahn to Memory Lane revue, CITY OF LOST SOULS is inclusive, incisive, and one of the greatest trans films ever made.

 

6. HORROR VACUI: THE FEAR OF EMPTINESS (1984)

 

A young gay couple is torn apart when one of the lovers is drawn into the mysterious Madame C’s cult of ‘Optimal Optimism’ in this takedown of religion and the self-help industry. With a gorgeously handmade aesthetic that could easily be described as ‘Red Grooms meets THE CABINET OF DR. CALIGARI,’ appearances from Praunheim regulars Joaquin la Habana and Günter Thews, and an especially committed performance by the great Lotti Huber, HORROR VACUI: THE FEAR OF EMPTINESS is a biting satire that’s as unsettling as it is funny.

 

7. ANITA: DANCES OF VICE (1987)

In modern-day Berlin (1987), Frau Kutowski goes insane, believing herself to be the (real-life) notorious Anita Berber, a nude art dancer/drug addict/scandalous figure of post-WWI Berlin. (Berber died of tuberculosis in 1928, having achieved significant success and recognition throughout the dance world.) Frau Kutowski is placed in a mental hospital, where in her own mind she acts out Berber's final days, including in her fantasies the hospital's staff and patients, to represent Anita's friends and associates. She relives the adventures, scandals, triumphs, trials and tribulations of Anita Berber, and finally merges her own real existence with that of her imagination, until fantasy actually becomes reality. The film makes use of both color (Expressionist style) and black & white (documentary style) to draw the line between fantasy and reality, respectively. Watch how this line is crossed over!

 

8. LIFE IS LIKE A CUCUMBER (1990)

 

9. I AM MY OWN WOMAN (1992)

 

The life story of Charlotte von Mahlsdorf, born Lothar Berflede. Miss Charlotte survived the Nazi reign and the repression of the Communists as a transvestite and helped start the German gay liberation movement. Documentary with some dramatized scenes. Two actors play the young and middle aged Charlotte and she plays herself in the later years.

 

10. NEUROSIA: FIFTY YEARS OF PERVERSION (1995)

Neurosia is the autobiography of the director Rosa von Praunheim. The movie begins with Rosa presenting his autobiography in a movie theater. Before the film begins, he is shot. But - his body gets lost. A female journalist from a TV station begins researching the life of Rosa. In the course of the movie she speaks to lots of acquaintances, shows short clips from Rosas old movies. Her main aim is to provide sensational and shocking details from Rosas life. It turns out that nearly everybody had some reason to kill Rosa. At the end of the movie, she discovers Rosa at a boat where he is kept prisoner by some of his old enemies. She frees him, and the movie ends.

 

11. THE TRANSEXUAL MENACE (1996)

 

12. CAN I BE YOUR BRATWURST, PLEASE? (1999)

 

A handsome Midwest man (Stryker) moves into a Hollywood motel and immediately becomes the obsession of the quirky manager and the assorted guests.

 

13. HEROES AND GAY NAZIS (2005)

 

It's no secret that the most active homophobes are usually hidden homosexuals. And what environment could be more homophobic than the neo-Nazi environment? It is the phenomenon of homosexuality in the German Nazi community that Rosa von Praunheim's film is dedicated to.

 

14. YOUR HEART IN MY HEAD (2005)

A retelling of the events that led to the death of Bernd Juergen Brandes. Brandes responded to Armin Meiwes' Internet ad in 2001, where Meiwes indicated that he was looking for a man willing to be killed and eaten.

 

15. TWO MOTHERS (2007, documentary)

 

ตอนที่เพราน์ไฮม์มีอายุราว 58 ปีในปี 2000 แม่ของเขาซึ่งมีอายุ 94 ปีก็เพิ่งสารภาพความจริงว่า ที่แท้แม่คือแม่บุญธรรม เพราน์ไฮม์คือลูกบุญธรรม ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ พอเพราน์ไฮม์ได้รับรู้ความจริงเรื่องนี้ เขาก็เลยเริ่มต้นสืบหา “แม่ที่แท้จริงของเขา” พร้อมกับทำหนังสารคดีเรื่องนี้ไปด้วย การสืบหาความจริงนี้ทำให้เขาต้องเดินทางดั้นด้นออกจากเยอรมนีจนไปถึงเรือนจำในประเทศ Latvia

 

16. RENT BOYS (2011)

 

Berlin stories behind sex for money. Despised, stigmatised and suppressed to the fringe of society - this is the reality young, male prostitutes face in Berlin. Most of the hustlers are immigrants, a lot of them act out of necessity. Rosa von Praunheim accompanies the young adults at their work in bars, porn movie theatres and on the street. He shows their reasons, their stories and above all, their strong will to survive.

 

17. HITLER AND JESUS – A LOVE STORY (2014)

"Comparing Hitler and Jesus seems like sacrilege. But in my research, I found that there were indeed certain similarities between Hitler and Jesus. Both were leaders, gifted orators, and both addressed the poor and the underprivileged, promising them a better life. All we know about Jesus are legends, fairy tales, and embellishments from centuries past. We know everything about Hitler—right down to his lobster fork. Hitler and Jesus seduced people. Hitler had millions killed, and the Church also murdered in Jesus' name." 

 

18. DARK ROOM (2019)

Lars, a male nurse from Saarbrücken, moves with his lover Roland to Berlin. They renovate an apartment with the intention of finally living together. Their happiness seems almost complete. What Roland doesn't know: while secretly checking out Berlin's night life, Lars is experimenting with a deadly poison.

 

19. THIRTY YEARS WITH THE WHIP (2024)


20. SATANIC SOW (2025)

A flamboyant performer embodies Rosa von Praunheim in a wild journey through fame, faith, and family, facing eager admirers, divine encounters, romantic escapades, and a shocked maternal figure.

 

เราเคยเขียนถึงเรื่องที่ Rosa von Prauheim ตบตีกับ Fassbinder and Schroeter ไว้ที่นี่
https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid032GR6cQmBduH2ghgWcBcogdeVL3s4qdFssyyq6HreocjPYALZaG8heE5P3LM7bY5cl

 

เราเคยเขียนถึง A VIRUS KNOWS NO MORALS ไว้ที่นี่
https://celinejulie.blogspot.com/2021/06/12-virus-knows-no-morals-1986-rosa-von.html

 

Tuesday, December 16, 2025

ROB REINER AND FILM DIRECTORS IN THE AGE OF MY NAIVETE

 

ROB REINER AND FILM DIRECTORS IN THE AGE OF MY NAIVETE

ร็อบ ไรเนอร์ และผู้กำกับภาพยนตร์คนอื่น ๆ ในยุคที่เรายังคงมองโลกแบบใส ๆ

 

RIP ROB REINER

 

หนังของเขาที่เราเคยดู เรียงตามลำดับความชอบ

 

1. A FEW GOOD MEN (1992)

ดูในโรงหนัง จำได้ว่า James Marshall หล่อสุดขีดในหนังเรื่องนี้

 

2. STAND BY ME (1986)

ดูทางวิดีโอ

 

3. WHEN HARRY MET SALLY (1989)

ดูที่โรงหนังในห้าง Siam Center

 

4. THE AMERICAN PRESIDENT (1995)

ดูในโรงหนัง

 

5. MISERY (1990)

ดูในโปรแกรม Big Cinema ของช่อง 7

 

6.THE PRINCESS BRIDE (1987)

ดูทางวิดีโอ จำได้ว่า Cary Elwes หล่อสุดขีดในหนังเรื่องนี้

 

และเราก็อาจจะได้ดูหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เขากำกับอีกด้วยนะ แต่เราจำไม่ได้แน่นอน ก็เลยไม่ได้ลงในลิสท์นี้ด้วย

 

สำหรับเราแล้ว เขาเหมือนเป็นตัวแทนของ “ช่วงวัยแห่งความ innocence และความ naive ของเรา” เพราะเราได้ดูหนังของเขาในช่วงที่เรายังเป็นวัยรุ่น ในช่วงราวปี 1985-1995 หรือช่วงที่เรามีอายุราว ๆ 12-22 ปี ช่วงที่เราเรียนมัธยมและมหาลัย ช่วงที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต และเป็นช่วงที่เราไร้เดียงสามาก ๆ ในทางการเมือง ทั้งการเมืองในประเทศและการเมืองต่างประเทศ

 

จำได้ว่า เราชอบ THE AMERICAN PRESIDENT มาก ๆ ตอนที่เราได้ดู มันเป็นยุคของ Bill Clinton และเป็นยุคที่เรายังคงมองสหรัฐอเมริกาในทางบวกอย่างมาก (เราเติบโตมาในยุคสงครามเย็น เติบโตมากับการถูกปลูกฝังให้หวาดกลัวสหภาพโซเวียตและเวียดนามอย่างรุนแรง) คือเหมือนตอนที่เราได้ดู THE AMERICAN PRESIDENT ในปี 1995 เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ 95/100 แต่ถ้าหากเราได้ดูหนังเรื่องนี้ในปัจจุบันนี้ เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้แค่ในระดับ 65-75/100 ก็ได้ มันเหมือนกับว่าหนังของเขาหลายเรื่องที่เราได้ดูในยุคนั้นมันนำเสนอภาพของสหรัฐและโลกในแบบที่ “ใสสะอาด” มาก ๆ มันเหมือนกับมี “ความเชื่อเรื่องความดีงาม” อยู่ในหนังของเขา และตอนนั้นในปี 1995 เราก็ยังไม่ได้เป็น cinephile เราเคยดูแต่หนังใส ๆ ของฮอลลีวู้ดแบบ DAVE (1993, Ivan Reitman) และตอนนั้นเราก็ยังไม่เคยดูหนังของ Ken Loach แบบ CARLA’S SONG (1996) มาก่อน (ซึ่งเป็นหนังที่เปลี่ยนทัศนคติที่เรามีต่อสหรัฐอเมริกาอย่างรุนแรง) เราก็เลยรู้สึกว่า การที่เราเคยชอบหนังแบบ THE AMERICAN PRESIDENT มาก ๆ ในยุคนั้น เป็นเพราะว่ามันเป็นหนัง naive ที่เราได้ดูในช่วงที่เรา naive พอดี 55555

 

เราชอบ A FEW GOOD MEN มากที่สุดในบรรดาหนังของเขาที่เราได้ดู เพราะมันเป็นหนังด่าระบอบทหาร และเป็นหนังขึ้นโรงขึ้นศาลที่สนุกสุดขีด ส่วน STAND BY ME นั้นก็ซึ้งดี

 

WHEN HARRY MET SALLY นั้นก็เป็นหนังที่สนุกดี แต่เราไม่ค่อยอินกับหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ คือเหมือนเป็นหนังที่เราชอบ “เพราะความสนุก” แต่เราไม่ได้รู้สึกโรแมนติกไปกับมัน เพราะโดยปกติเราไม่อินกับหนังโรแมนติกอยู่แล้ว 55555 เหมือนเราไม่อินกับตัวละครของ Meg Ryan ในเรื่องนี้ และ Billy Crystal ก็ไม่ใช่ผู้ชายในฝันของเรา หนังโรแมนติกในดวงใจของเราในยุคนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ ก็เลยเป็น ALWAYS (1989, Steven Spielberg) เพราะเราอินกับ Holly Hunter อย่างรุนแรง

 

พอพูดถึงยุคแห่งความ naive ของเรา เราก็เลยคิดว่า เราควรทำรายชื่อผู้กำกับหนังในยุคนั้นดีกว่า

 

FILM DIRECTORS IN THE AGE OF MY NAIVETE

ผู้กำกับภาพยนตร์ในยุคที่เรายังคงมองโลกแบบใส ๆ

 

1. Rob Reiner

 

2. Steven Spielberg

 

3. Barry Levinson (THE NATURAL, RAIN MAN, GOOD MORNING VIETNAM, TOYS, DISCLOSURE, BUGSY)

 

4. Garry Marshall (PRETTY WOMAN, OVERBOARD, FRANKIE & JOHNNY, BEACHES, EXIT TO EDEN, VALENTINE’S DAY)

 

5. Penny Marshall (AWAKENINGS, A LEAGUE OF THEIR OWN, BIG, RIDING IN CARS WITH BOYS)

 

6. Ivan Reitman (GHOSTBUSTERS, KINDERGARTEN COP, JUNIOR, DAVE, LEGAL EAGLES)

 

7. Chris Columbus (HOME ALONE, HOME ALONE 2, MRS. DOUBTFIRE, ADVENTURES IN BABYSITTING, ONLY THE LONELY)

 

คือเหมือนหนังของผู้กำกับเหล่านี้ที่เราได้ดูในช่วงก่อนปี 1995 (หรือก่อนที่เราจะเริ่มเป็น cinephile) มันเป็นหนังที่ให้ความสุขความบันเทิงแก่เรา, ทำให้เรามองโลกในแง่ดี, ทำให้เราเชื่อว่ามีอนาคตที่สดใสรอเราอยู่ข้างหน้า อะไรแบบนั้นน่ะ คือพอเรานึกถึงหนังของผู้กำกับเหล่านี้ เราก็เลยมักจะนึกถึงช่วงเวลาตอนที่เรายังเป็นเด็ก, ยังเป็นวัยรุ่น, ยังเป็นนักเรียนนักศึกษา ช่วงที่เรายังคงเชื่อมั่นอย่างผิด ๆ ว่า “ชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จในอนาคต” ช่วงที่เรายังไม่รู้หรือสำเหนียกว่า “ชีวิตมนุษย์มันโหดร้ายและเลวร้ายเกินพรรณนาอย่างมาก ๆ ชีวิตมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างมาก ๆ”

 

แต่ในตอนเด็กเราก็ได้ดูหนังสยองขวัญของสหรัฐ และดูหนังของ Brian De Palma, Costa-Gavras, Oliver Stone, Martin Scorsese, John Waters, Norman Jewison, Mike Nichols, Jonathan Demme, etc. นะ แต่เราไม่ถือว่าหนังของผู้กำกับเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความ innocence และความ naive ของเราในวัยเด็ก 55555

++++

 

หนักที่สุด รัฐบาลอินเดียสั่งแบนหนัง 19 เรื่องในเทศกาลภาพยนตร์เคราลา หนังที่ถูกสั่งแบนรวมถึง

 

1. BATTLESHIP POTEMKIN (1925, Sergei Eisenstein, Soviet Union, A+30)

 

2. SANTOSH (2024, Sandhya Suri, A+30)

 

3. TIMBUKTU (2014, Abderrahmane Sissako, Mauritania, A+30)

 

4. BAMAKO (2006, Abderrahmane Sissako, Mali, A+30)

 

5. YES (2025, Nadav Lapid, A+30)

 

6. THE HOUR OF THE FURNACES (1968, Fernando Solanas, Octavio Getino,  Argentina, 4hrs 20mins)

 

7. PALESTINE 36 (2025, Annemarie Jacir, Palestine)

 

8. ONCE UPON A TIME IN GAZA (2025, Arab Nasser, Tarzan Nasser, Palestine)

 

9. ALL THAT’S LEFT OF YOU (2025, Cherien Dabis, Jordan)

 

10. WAJIB (2017, Annemarie Jacir, Palestine)

 

11. CLASH (2016, Mohamed Dieb, Egypt)

 

12. EAGLES OF THE REPUBLIC (2025, Tarik Saleh, Sweden)

 

13. RED RAIN (2025, Dang Thai Huyen, Vietnam)

 

14. RIVERSTONE (2025, Lalith Rathnayake, Sri Lanka)

 

15. TUNNELS: SUN IN THE DARK (2025, Bui Thac Chuyen, Vietnam)

 

16. FLAMES (2025, Ravi Shankar Kaushik, India)

 

ในบรรดาหนัง 16 เรื่องนี้เราเคยดูไปแค่ 5 เรื่อง มีอีก 11 เรื่องที่เรายังไม่ได้ดู ซึ่งทั้ง 11 เรื่องนี้ก็เลยถูกจัดให้เข้ามาอยู่ใน film wish list ของเราในทันที เพราะอย่างที่ใครบางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า “การที่หนังเรื่องใดก็ตามถูกรัฐบาลสั่งแบน มันเท่ากับว่าหนังเรื่องนั้น “ได้รับตรารับประกันคุณภาพ” ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย”

 

https://www.thehindu.com/news/national/kerala/crisis-at-iffk-as-ib-ministry-denies-censor-exemption-to-19-films-including-100-year-old-battleship-potemkin/article70399327.ece?fbclid=IwY2xjawOtxtFleHRuA2FlbQIxMQBzcnRjBmFwcF9pZBAyMjIwMzkxNzg4MjAwODkyAAEeBRcYcxv4YjbeO7AZFlKqtNXGZkHRNbgC_ey_-9Z8Vg6A80oTmj-jGPB3r7o_aem_p1-P4V-4k_PsPxPMAr_Ceg

 

+++

 

QUINTUPLET FILM WISH LIST

 

1. KEEPER (2025, Osgood Perkins, A+30)

2. NIRANAM (2014, Araya Rasdjarmrearnsook, video installation, 60min, A+30)

3. SOUND OF FALLING (2025, Mascha Schilinsky, Germany, A+30)

4. A PALE VIEW OF HILLS (2025, Kei Ishikawa, Japan, A+30)

5. WITCHES CAN’T BE BURNED เจ้าดอกกระดังงา (2025, Naphat Thanarotchudet, A+30)

 

พอเราได้ดู KEEPER แล้วก็เลยรู้สึกว่า มันเหมาะฉายควบกับวิดีโอของอารยา ราษฎร์จำเริญสุข และหนังอีก 3 เรื่องในลิสท์นี้มาก ๆ

 

SPOILERS ALERT FOR “KEEPER”

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

1. สิ่งหนึ่งที่หนังเรื่อง KEEPER อาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำให้เรานึกถึงโดยบังเอิญก็คือว่า หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่า สิ่งที่ตัวละครผู้ร้ายทำ ซึ่งก็คือ “การนำผู้หญิงมาสังเวยให้ปีศาจเป็นระยะ ๆ เพื่อที่ตัวผู้ชายจะได้ยืดอายุตัวเองออกไป” ในแง่หนึ่งมันคล้าย ๆ กับความเชื่อเรื่องการ “พยายามสืบสกุลต่อไป โดยที่ลูกผู้ชายในตระกูลต้องหาลูกสะใภ้เข้ามา จะได้มีทายาทสืบต่อ และนามสกุลนี้จะได้ดำรงอยู่ต่อไป”

 

คือเรารู้สึกว่า ตัวละครผู้ร้ายในหนังเรื่องนี้ มันพูดย้ำ “นามสกุล” ของตัวเองจนบ่อยผิดสังเกตน่ะ เราก็เลยนึกถึงประเด็นนี้ โดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ คือในความเป็นจริงนั้น คงไม่มีคนที่ยืดอายุตัวเองออกไปเรื่อย ๆ เป็น 200-300 ปีได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น มันมีคนหลายคนบนโลกนี้ ที่เชื่อว่า “นามสกุลของตัวเองควรดำรงอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้นเราจะต้องแต่งงานกับผู้หญิง เพื่อจะได้มีลูกชาย และนามสกุลของตัวเองจะได้ดำรงอยู่ต่อไป” เพราะฉะนั้นการที่ตัวละครผู้ร้ายใน KEEPER พยายามหาผู้หญิงมาสังเวยเป็นระยะ ๆ เพื่อจะได้ยืดอายุของตัวเองต่อ ก็เลยเหมือนทำให้เรานึกถึงความเชื่อของคนบางกลุ่มในสังคมโดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจ

 

ปัจจัยอื่น ๆ ใน KEEPER ที่เราว่าน่าสนใจดีก็คือ เรารู้สึกว่าหนังมันพูดถึงเรื่อง Patriarchy, Property Law, การที่เพศหญิงผูกพันกับ Mother Earth + Nature + Memory และการที่ “เหยื่อยอมทำตามความต้องการของผู้กดขี่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วตนเองสามารถพลิกกระดาน ลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายฆ่าผู้กดขี่ได้” (สิ่งนี้ถูกถ่ายทอดผ่านทางเรื่องเล่าเรื่อง “ปลาที่ให้พรได้”, ตอนจบของหนัง และทำให้เรานึกถึงการที่มนุษย์เราแต่ละคนสามารถเลือกที่จะปฏิเสธขนบธรรมเนียมประเพณีที่เราไม่เห็นด้วยได้)

 

2. พอเรามองหนังเรื่อง KEEPER ตามแบบข้างต้น โดยที่ผู้สร้างหนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจ เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันพูดถึง Patriarchy, พลังอำนาจของผู้หญิง และตัวละครนางเอกของหนังก็เหมือน “สามารถรับรู้ได้ถึงความทุกข์ทรมานของผู้หญิงรุ่นก่อน ๆ หน้าเธอ” (ลูกสะใภ้รุ่นก่อน ๆ?)

 

การที่ KEEPER เหมือนสะท้อนความทุกข์ของผู้หญิงหลายรุ่นในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา ที่เผชิญความทุกข์ยาก “ในบ้านหลังเดียวกัน” มันก็เลยทำให้เรานึกถึง SOUND OF FALLING โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เพราะ SOUND OF FALLING นี่เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า มันพูดถึงชีวิตของผู้หญิงหลายรุ่นในบ้านหลังเดียวกัน ตั้งแต่รุ่นของ Alma + Trudi ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ทรูดี้ถูกบังคับให้มีเซ็กส์กับคนงานชายจำนวนมาก, รุ่นของ Erika ที่พยายามหนีกองทัพโซเวียตที่ข่มขืนผู้หญิงเยอรมันจำนวนมากในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง (ดูรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้ในหนังสารคดีเรื่อง LIBERATORS TAKE LIBERTIES (1992, Helke Sander, Germany, 3hrs 12min, A+30)), รุ่นของแองเจลิกาในเยอรมันตะวันออก และรุ่นของ Lenka + Kaya + Nelly ในยุคปัจจุบัน

 

ก็เลยรู้สึกว่า มันน่าสนใจดีที่ SOUND OF FALLING กับ KEEPER พูดถึง “ความทุกข์ของผู้หญิงหลายรุ่นในบ้านหลังเดียวกัน ท่ามกลางระบอบปิตาธิปไตยที่ดำรงอยู่มานานหลายปี” เหมือนกัน และเป็นหนังที่ “หลอนมาก ๆ” ทั้งสองเรื่อง โดยที่ SOUND OF FALLING อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังในกลุ่ม “haunting poetic หรือ haunting arthouse film” ส่วน KEEPER อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังในกลุ่ม “poetic horror” หรือ “ambient horror”

 

คือเหมือนถ้าหากเราลากเส้นที่ปลายสุดข้างหนึ่งเป็นหนัง arthouse/poetic film แบบวิดีโอของ Araya Rasdjarmrearnsook และปลายสุดอีกข้างหนึ่งเป็นหนัง horror มันก็อาจจะมีหนังอยู่ 2-3 กลุ่มที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ขั้วนี้

 

หนังกลุ่ม haunting poetic films ก็อาจจะเป็นหนังกลุ่ม arthouse ที่มีความ “หลอน” แบบหนัง horror ผสมอยู่ด้วย ตัวอย่างหนังในกลุ่มนี้ก็มีเช่น SOUND OF FALLING, MAE NAK (1992, Pimpaka Towira), SECRET OF A MOUNTAIN SERPENT (2025, Nidhi Saxena, India), GOD WILL NOT HELP (2025, Hana Jusic, Croatia, 137min), THE NIGHT WILL PAY (2003, Nestor Mazzini, Argentina), LIKE THE RELENTLESS FURY OF THE POUNDING WAVES (1996, Apichatpong Weerasethakul), หนังของ Maya Deren, หนังของ David Lynch, หนังของ Taiki Sakpisit, หนังของ Jakrawal Nilthamrong, etc.

 

และถ้าขยับออกมาอีกหน่อย เราก็จะเจอหนังกลุ่ม horror ที่ไม่พยายามทำตามขนบหนัง horror ทั่วไป แต่ใส่ความ poetic หรือเน้นบรรยากาศ หรือเน้นการกระตุ้นความคิดมากเป็นพิเศษ เราก็เลยเรียกหนังกลุ่มนี้เล่น ๆ ว่า หนังกลุ่ม POETIC HORROR หรือ AMBIENT HORROR หนังในกลุ่มนี้ก็อาจจะรวมถึง KEEPER, FEBRUARY (2015, Osgood Perkins), WENT UP THE HILL (2024, Samuel Van Grinsven, Australia/New Zealand), SHE DIES TOMORROW (2020, Amy Seimetz), THE VANISHING (1988, George Sluizer, Netherlands), THE WITCH (2015, Robert Eggers), FREVEL (1983, Peter Fleischmann, West Germany), HOTEL (2004, Jessica Hausner, Austria), etc.

 

ส่วนปลายสุดอีกข้าง ก็คือหนัง horror ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี อย่างเช่น DEADLY BLESSING (1981, Wes Craven)

 

3. KEEPER + SOUND OF FALLING ทำให้เรานึกถึง NIRANAM (2014, Araya Rasdjarmrearnsook) โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เพราะ NIRANAM พูดถึงชีวิตของอารยาและชีวิตของคุณแม่ของอารยาในบ้านหลังเดียวกัน โดย NIRANAM อาจจะไม่ได้พูดถึงระบอบปิตาธิปไตย แต่การที่ NIRANAM เน้นพูดถึง “ชีวิตของผู้หญิงหลายรุ่นในบ้านหลังเดียวกัน” มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า มันเหมาะจะฉายควบกับ KEEPER และ SOUND OF FALLING อย่างมาก ๆ

 

4. น่าสนใจดีที่ปีนี้เราได้ดูหนังหลายเรื่องที่พูดถึง “ความทุกข์ของผู้หญิงหลายรุ่น” หรือ “ความทุกข์ของผู้หญิงรุ่นแม่และรุ่นลูก” โดยหนังที่พูดถึงประเด็นนี้ นอกจาก SOUND OF FALLING และ NIRANAM แล้ว ก็มีเรื่อง A PALE VIEW OF HILLS และ WITCHES CAN’T BE BURNED เจ้าดอกกระดังงา ด้วย เพราะหนังญี่ปุ่นและหนังไทยเรื่องนี้ พูดถึง “ความทุกข์ในยุคของแม่/ยาย และความทุกข์ในยุคของลูกสาว” เหมือน ๆ กันเลย เพียงแต่ว่า SOUND OF FALLING + NIRANAM นั้น พูดถึง “ชีวิตของผู้หญิงหลายรุ่นในบ้านหลังเดียวกัน” ส่วน A PALE VIEW OF HILLS + WITCHES CAN’T BE BURNED นั้น พูดถึง “ความทุกข์ของผู้หญิงหลายรุ่น ในครอบครัวเดียวกัน แต่ผู้หญิงในแต่ละรุ่น อาศัยกันอยู่คนละเมือง หรือคนละประเทศ”

 

โดยในส่วนของ WITCHES CAN’T BE BURNED นั้น จัดให้อยู่ในหนังกลุ่ม HAUNTING POETIC ได้เลย เพราะเหมือนมันเป็นหนัง arthouse ที่เน้นความหลอกหลอนมากเป็นพิเศษ

 

ส่วน A PALE VIEW OF HILLS นั้น ถือเป็นหนัง narrative, drama ที่มีบรรยากาศความหลอนเจือปนอยู่เล็กน้อย

 

5. เราก็เลยรู้สึกว่า หนัง 5 เรื่องนี้เหมาะฉายควบกันมาก ๆ มันเป็นหนัง 5 เรื่องที่เราได้ดูในเวลาไล่เลี่ยกันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พูดถึงชีวิตของผู้หญิงหลายรุ่นเหมือนกัน โดยเน้นไปที่ความทุกข์ของผู้หญิงในแต่ละรุ่น และหนังแต่ละเรื่องก็มีระดับความหลอนแตกต่างกันไป โดย KEEPER หลอนมากสุด, WITCHES CAN’T BE BURNED หลอนเป็นอันดับสอง, SOUND OF FALLING หลอนเป็นอันดับสาม, A PALE VIEW OF HILLS หลอนเป็นอันดับสี่ และ NIRANAM หลอนเป็นอันดับห้า

 

ใครอยากแสดงความเห็นเพิ่มเติมอะไร ว่ามีหนังเรื่องไหนบ้างที่น่าจะจัดให้อยู่ในกลุ่ม HAUNTING POETIC และกลุ่ม POETIC HORROR ก็ comment มาได้นะคะ

 

Edit เพิ่ม: คิดว่าผู้กำกับ auteur คนสำคัญในกลุ่ม POETIC HORROR ก็คือ Kiyoshi Kurosawa

+++

 

เพิ่งรู้ว่ามีการฟ้องร้องคดีว่า ยาลดความอ้วนอาจจะส่งผลให้คุณตาบอดได้

DEC 15 (Reuters) - A federal judicial panel said Monday it would centralize a growing number of lawsuits against Novo Nordisk and Eli Lilly alleging patients lost some or all of their eyesight while taking the companies' blockbuster weight loss drugs before a judge in Pennsylvania.

 

https://www.reuters.com/legal/government/lawsuits-claiming-ozempic-other-glp-1s-led-blindness-become-second-mass-2025-12-15/?utm_source=Sailthru&utm_medium=Newsletter&utm_campaign=Morning-Bid-US&utm_term=121625&lctg=67db8337373eb351c40c1db4