Friday, December 05, 2025

NATIONAL BOARD OF REVIEW AND INDIEWIRE

 

ดีใจสุดขีดกับหนังหลาย ๆ เรื่องที่ชนะรางวัลของ National Board of Review นะคะ โดยเฉพาะ

 

THE LOVE THAT REMAINS (2025, Hlynur Pálmason, Iceland)

SORRY, BABY (2025, Eva Victor)

SIRAT (2025, Oliver Laxe, Spain)

THE MASTERMIND (2025, Kelly Reichardt)

URCHIN (2025, Harris Dickinson)

SINNERS (2025, Ryan Coogler)

ARCO (2025, Ugo Bienvenu, France, animation)

BRING HER BACK (2025, Danny Philippou, Michael Philippou, Australia)

F1: THE MOVIE (2025, Joseph Kosinski)

ORWELL: 2+2=5 (2025, Raoul Peck, France/USA)

GOOD BOY (2025, Ben Leonberg)

 

กราบขอบพระคุณผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ในไทยและ programmer ของ Bangkok International Film Festival 2025 ที่นำหนังเหล่านี้มาฉายในโรงภาพยนตร์ในไทยในปีนี้ค่ะ ดีใจสุดขีดที่ได้ดู THE LOVE THAT REMAINS, URCHIN, ARCO, THE MASTERMIND และ ORWELL: 2+2=5 ในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพใน BKKIFF 2025

 

+++

 

INDIEWIRE ประกาศ TOP 25 FILMS OF 2025 ออกมาแล้ว ปรากฏว่าเราได้ดูไปเพียงแค่ 11 จาก 25 เรื่อง ซึ่งในบรรดา 11 เรื่องนี้ ถ้าหากจัดอันดับตามความชอบของเราเองในตอนนี้อาจจะได้ดังนี้

 

1.  APRIL (2024, Dea Kulumbegashvili, Georgia)

2. RESURRECTION (2025, Bi Gan, China)

3. MISERICORDIA (2024, Alain Guiraudie, France)

4. SORRY, BABY (2025, Eva Victor)

5. ONE BATTLE AFTER ANOTHER (2025, Paul Thomas Anderson)

 6. MY FATHER’S SHADOW (2024, Akinola Davies Jr.)

7. SIRAT (2025, Oliver Laxe, Spain)

8. URCHIN (2025, Harris Dickinson, UK)

9. SINNERS (2025, Ryan Coogler, A+30)

10. 28 YEARS LATER (2025, Danny Boyle, UK, A+25)

11.THE NAKED GUN (2025, Akiva Schaffer, A+)

 

https://www.indiewire.com/gallery/best-movies-2025/

 

Thursday, December 04, 2025

A USEFUL GHOST AND M.C. ESCHER

 

RIND (1955, M.C. Escher)

BOND OF UNION (1956, M.C. Escher)

A USEFUL GHOST (2025) promotional poster in USA

 

เราชอบ M.C. Escher มาก ๆ และเราก็เลยเดาว่าโปสเตอร์นี้น่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปินสุดโปรดของเรา

https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid02tkzCffqjS9gb82MFDyxjZXA6jicJQK6uYZwK84xFTvTSbKWre3ysEfUfZWe3GJgBl

 

พอเมื่อวานเราเขียนเปรียบเทียบโปสเตอร์ในสหรัฐของ A USEFUL GHOST (2025, Ratchapoom Boonbunchachoke) กับงานศิลปะของ M.C. Escher วันนี้เราก็เลยมาแปะเล่น ๆ ว่า เราชอบ “ใบหน้า” ในงานศิลปะของศิลปินเหล่านี้มาก ๆ ตัดสินไม่ได้ว่าใครแรงกว่าใคร

 

M.C. Escher

Rene Magritte

Salvador Dali

H.R. Giger

Junji Ito

 

อยากให้มีหนังที่นำเสนอตัวละครแบบในรูปทั้ง 5 รูปนี้มาปะทะกัน

 

รูปนี้คือ BOND OF UNION (1956, M.C. Escher)

RAPE (1934, Rene Magritte)

GALATEA OF THE SPHERES (1952, Salvador Dali)

KOOKOO (1981), an album of Debbie Harry, the cover is designed by H.R. Giger

https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid02qz7wo97hwq3RoEE1JYu2M281sp1fRZMb2WETUbFeKPdWx3xBUB7YEDhSbbdVfU6rl

+++

ตอนช่วงสัปดาห์ที่แล้วเรากะว่าจะซื้อโลชั่นทาแก้ผิวแห้งคัน เพราะโลชั่นขวดที่มีอยู่กำลังจะหมด แต่วันนี้อากาศร้อน เราก็เลยล้มเลิกแผนนี้ แล้ววันนี้เราก็เลยเปิดแอร์ทั้งวันแทน เดี๋ยวรอดูว่ากลางเดือนนี้มึงจะหนาวจริงไหม แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องซื้อโลชั่น

+++

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดด ดีใจอย่างสุดขีดคลั่งที่ PETER HUJAR’S DAY (2025, Ira Sachs, A+30) ได้เข้าชิงรางวัล Independent Spirit Awards ถึง 5 สาขา ซี่งได้แก่สาขา Best Film, Best Director, Best Lead Performance (Ben Whishaw), Best Supporting Performance (Rebecca Hall) และ Best Cinematography (Alex Ashe) ดิฉันขอเชียร์หนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงค่ะ ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ เราได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนมันมาฉายที่ห้าง ICON SIAM ในวันที่ 4 ก.ย. ในเทศกาลหนัง QUEER กราบขอบพระคุณ programmer ของเทศกาลที่เลือกหนังเรื่องนี้มาฉายในกรุงเทพมาก ๆ ค่ะ โอ๊ย ดีใจที่สุดของที่สุด

 

และก็ดีใจกับหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เราเคยดูที่ได้เข้าชิงรางวัล INDEPENDENT SPIRIT ประจำปีนี้ด้วย ทั้ง “SORRY, BABY” (2025, Eva Victor), TWINLESS (2025, James Sweeney), BLUE SUN PALACE (2024, Constance Tsang), WARFARE (2025, Alex Garland, Ray Mendoza), THE LONG WALK (2025, Francis Lawrence), SIRAT (2025, Oliver Laxe, Spain), HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan)

 

SORRY, BABY ได้เข้าชิง 4 สาขา และ BLUE SUN PALACE ได้เข้าชิง 4 สาขาเหมือนกัน BLUE SUN PALACE เคยเข้ามาฉายในเทศกาล World Film Festival of Bangkok ที่ Central World ในเดือนพ.ย.ปี 2024



++++

 

TV-SERIES WISH LIST

 

CALL ME A BAD GIRL (1984, Japanese TV series, 24 episodes) เป็นละครทีวีที่เคยมาฉายทางช่อง 5 ตอนที่เราเด็ก ๆ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้ตามดูเพราะเราไม่มีเวลา อย่างไรก็ดี เราอยากดูละครทีวีเรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก เพราะมันเป็นละครทีวีเกี่ยวกับกลุ่มสาว ๆ ที่ตบกันแหลกในโรงเรียนดัดสันดาน และนางเอกต้องตบกับ “เจ้าแม่แห่งโรงเรียนดัดสันดาน” ที่มีสมญานามว่า “โมนา ลิซ่า”  ถ้าหากเราจำไม่ผิด ละครทีวีเรื่องนี้นำแสดงโดย ไมโกะ อีโต้ ที่โด่งดังมาก ๆ ในยุคนั้น

 

อยากดู CALL ME A BAD GIRL อย่างรุนแรงที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้จะหาละครทีวีเรื่องนี้ดูได้อีกที่ไหน

 

คือเห็น “การทำหน้าทำตา” ของตัวละครหญิงแต่ละตัวในคลิปละครทีวีนี้ในยูทูบก็รู้ว่า ถ้าหากเราได้ดูละครเรื่องนี้กับเพื่อน ๆ มันต้องมีการ role play กันไม่หยุดอย่างแน่นอน 55555 (ลิงค์อยู่ในคอมเมนท์)

 

https://youtu.be/YnGkNb7jpvA?si=xQVhib40hYLTP_wq

 

Tuesday, December 02, 2025

HOW A TEDDY BEAR SAVED MY LIFE

 

เป็นกำลังใจให้นะครับ น้องกีวี่ พี่ก็สะสมของไว้มากเหมือนกัน ทั้งเทปเพลง, วิดีโอเทป, หนังสือ และสมุดจดต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา เหมือนสิ่งของเหล่านี้มันบรรจุ “ความทรงจำอันแสนสุขถึงชีวิตในอดีต” เอาไว้ด้วย มันคือส่วนหนึ่งของความทรงจำของเรา ความสุขของเรา อดีตของเรา ตัวตนของเรา ถึงแม้ตายไปเราจะเอาสิ่งของเหล่านี้ติดตัวเราไปไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ตอนนี้เรายังไม่ตาย เราก็อยากที่จะเก็บรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุด

 

ชีวิตมนุษย์มันไม่แน่ไม่นอนจริง ๆ ยังไงพี่ก็ขอเป็นกำลังใจให้น้องกีวี่นะครับ

 

มีเรื่องนึงอยากจะเล่าให้ฟัง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน คือในปี 2016 พี่เคยประสบอุบัติเหตุ (น้องน่าจะจำได้) และอุบัติเหตุครั้งนั้นส่งผลให้พี่สูญเสียเงินเก็บไปจนเกือบหมด เรียกได้ว่าแทบหมดตัวเลย เงินเก็บที่สะสมมาตลอดชีวิต 43 ปีหายไปราว 90% ตอนนั้นเหลือเงินติดตัวอยู่เพียงแค่ไม่กี่บาท ตอนนั้นพี่ก็คิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่ทุกวัน เพราะรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิต และก็คิดไม่ออกถึง “อนาคต” ของตัวเอง ว่าจะอยู่รอดไปจนแก่ได้อย่างไร แต่พี่ก็ใช้พลังทางจินตนาการของตัวเอง ในการคุยกับ “ลูกหมี” หรือตุ๊กตาหมีของตัวเองไปเรื่อย ๆ พี่จินตนาการว่า “ลูกหมี” คุยกับพี่ว่า “แม่หมีไม่ต้องคิดไปถึงอนาคตในอีกหลายปีข้างหน้า แค่มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 1 วันก็พอแล้ว ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ สามทุ่มวันพรุ่งนี้แม่หมีค่อยตัดสินใจฆ่าตัวตายนะครับ” แล้วพี่ก็เลยทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ในช่วงนั้น คือเลิกคิดวางแผนถึงอนาคตหลายปีข้างหน้า แค่อยู่ต่อไปก่อนอีก 1 วัน แล้วพอสามทุ่มของแต่ละวันค่อยตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวตายดีมั้ย แล้วพอพี่ใช้วิธีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็เลยเหมือนเลื่อนเวลาฆ่าตัวตายออกไปเรื่อย ๆ ทีละวัน ทีละวัน และก็เลยมีชีวิตรอดจากปี 2016 จนมาถึงปี 2025 ได้ในที่สุด ซึ่งพี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีหรือเปล่า เพราะพี่ก็อาจจะยังฆ่าตัวตายในอนาคตได้ทุกเมื่อ แต่ยังไงวันนี้ก็ขอกอดลูกหมีต่อไปอีก 1 วันก่อนก็แล้วกันนะ

 

เป็นกำลังใจให้น้องกีวี่นะครับ ชีวิตคนเรามันเต็มไปด้วยความทุกข์จริง ๆ แต่ยังไงวันนี้เราก็ขอมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดีที่สุดเท่าที่จะพอทำได้ก่อนก็แล้วกัน

+++

 

รวมประสบการณ์ในโรงหนัง

 

1. คู่ตัวเหี้ยแห่งเอสพลานาด รัชดา

 

ที่โรงหนังเอสพลานาด รัชดา เรามักจะเจอผู้ชายวัยกลางคนคู่หนึ่ง ที่มักจะมานั่งตรงที่นั่งแถวที่ยืดขาได้ยาว ๆ ซึ่งที่นั่งแถวนั้นมักจะอยู่ค่อนไปทางด้านหน้าของโรง ประมาณแถวที่ 5 ถัดจากจอ แล้วผู้ชายคู่นี้มักจะคุยกันเสียงดังตลอดทั้งเรื่อง

 

ซึ่งสิ่งนี้มันสร้างปัญหาให้กับเรา เพราะถึงแม้ว่าเราจะหนีไปนั่งด้านหน้า ๆ ของโรง เสียงของพวกเขาก็ดังตามมารบกวนเราได้อยู่ดี เพราะพวกเขาก็นั่งในแถวที่ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่

 

เพราะฉะนั้นเวลาเราเจอคนจองที่นั่งแบบที่เราติ๊กถูกในรูปนี้ที่เอสพลานาด รัชดา เราก็จะหนีพวกเขาโดยการจองมาที่นั่งแถวบน ๆ แทน จะได้ห่างจากที่นั่งของคู่ตัวเหี้ยคู่นี้

 

2. หนังฟรี = แหล่งแพร่โรคระบาด

 

เราป่วยเป็นคออักเสบตั้งแต่วันศุกร์ 28 พ.ย. ทรมานมาก ต้องขากเสมหะทุกชั่วโมง แต่ตรวจแล้วไม่ได้เป็นโควิด

 

เราไม่รู้แน่ชัดว่าเราติดโรคคออักเสบมาจากใคร แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งก็คือผู้ชายที่นั่งติดเราในวันศุกร์ที่ 21 พ.ย. ตอนที่เราดูหนังฟรีเรื่อง PARTHENOPE (2024, Paolo Sorrentino, Italy, A+30) ที่โรงหนัง HOUSE SAMYAN เพราะผู้ชายคนนี้ไออย่างรุนแรงหนักมากตลอดเวลา จนเราสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นวัณโรค แล้วพอหนังผ่านไปครึ่งเรื่อง เราก็ทนไม่ไหว เราก็เลยลุกหนีจากที่นั่งของเราที่อยู่ตรงกลางแถว เพื่อหนีไปนั่งแถวหน้า ๆ ติดจอภาพยนตร์แทน เพราะแถวหน้า ๆ มีที่นั่งว่างอยู่

 

คือเราใส่ mask ตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้นะ แต่ก็คิดว่า MASK ของเราอาจจะกันโรคไม่ได้ 100% และเราก็นั่งติดเขาไปนานราว 50 นาทีในช่วงแรกของหนัง เพราะฉะนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ที่เราอาจจะติดเชื้อโรคมาจากเขา

 

คือเวลาที่เราดู “หนังฟรีในเทศกาลหนัง” ต่าง ๆ เราเลือกที่นั่งเองไม่ได้น่ะ คือถ้าหากเราเลือกที่นั่งเอง เราก็มักจะเลือกที่นั่งที่ “ห่างไกลจากมนุษย์คนอื่น ๆ ให้มากที่สุด” อยู่แล้ว ตามที่เพื่อน ๆ ของเราคงคุ้นเคยกันดี แต่พอมันเป็นเทศกาลหนังที่แจกตั๋วฟรี เราเลือกที่นั่งเองไม่ได้ เขาแจกตั๋วที่นั่งใบไหนมาให้เรา เราก็มักจะต้องนั่งตามที่นั่งนั้น โดยเฉพาะในกรณีที่ตั๋วมันเต็ม มีคนนั่งกันเต็มโรง เราจะแอบหนีไปนั่งแถวหน้า ๆ ติดจอได้ก็ต่อเมื่อเรามั่นใจว่าที่นั่งแถวหน้า ๆ มันไม่มีคนจริง ๆ

 

เพราะฉะนั้นการไปดูหนังในเทศกาลหนังฟรีมันก็เลยเสี่ยงดวงอย่างรุนแรงมาก เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้ที่นั่งติดกับใคร คนที่นั่งติดเราเขาอาจจะเป็นหนุ่มหล่อจากสวีเดน หรือว่าอาจจะเป็นผู้ป่วยโรคไข้กาฬหลังแอ่น ไข้อีดำอีแดง เราก็มิอาจจะรู้ล่วงหน้าได้

 

ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็เคยหีแตกมาแล้วกับเทศกาลหนังอิตาลีที่แจกตั๋วฟรีในเดือนพ.ค.ปีนี้ เพราะพอหลังจบเทศกาลหนังอิตาลีในช่วงต้นเดือนพ.ค. เราก็ป่วยเป็นโควิดเลย ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเราติดโรคโควิดมาจากผู้ชมในเทศกาลนั้นหรือเปล่า แต่มันก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน

 

เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ถ้าหากเจอเทศกาลหนังฟรีอีก เราก็คงต้องคิดหนักมากยิ่งขึ้นว่าจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงดูหนังในเทศกาลเหล่านี้ดีไหม

Monday, December 01, 2025

THE CURSED MASK (2025, Puwadon Naosopa, A+30)

 

ตาโขน THE CURSED MASK (2025, Puwadon Naosopa, A+30)

 

แน่นอนว่าเราไม่เน้นเขียนอะไรที่มีสาระทั้งสิ้น เราแค่อยากจดบันทึกว่า “ตาโขน” ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่องอื่น ๆ เรื่องใดโดยไม่ได้ตั้งใจบ้าง 55555

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

1. เป็นหนังที่สนุกดี ชอบการสร้างบรรยากาศของหนังมาก ๆ เพราะเราว่าบรรยากาศของหนังเรื่องนี้มันมีความหลอน ๆ บางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกถึง “อันตราย” หรือความไม่น่าไว้วางใจที่อัดแน่นอยู่ในชั้นบรรยากาศรอบตัวละคร

 

2. เราว่าความรู้สึกสนุกที่เราได้รับจากหนังเรื่องนี้ ทำให้เรานึกถึงหนัง giallo โดยไม่ได้ตั้งใจ คือในความเป็นจริงนั้น “ตาโขน” ห่างไกลจากความเป็นหนัง giallo มาก ๆ เพราะงานด้าน visual และงานด้าน style ของหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนหนังผีไทยหลาย ๆ เรื่อง และไม่ได้มีความจัดจ้านฉูดฉาดทางสีสันแบบหนัง giallo ของอิตาลี

 

แต่การที่หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงหนัง giallo อาจจะเป็นเพราะว่า ตาโขนมันเป็นหนังเกี่ยวกับ “ฆาตกรลึกลับ” ที่เน้นการสร้างบรรยากาศหลอน ๆ และผูกโยงกับ supernatual elements ด้วยน่ะ ซึ่งถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด ความหลอน ๆทางบรรยากาศนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้หนัง giallo แตกต่างจากหนัง “ฆาตกรลึกลับ” ของชาติอื่น ๆ และแตกต่างจากหนังของ Alfred Hitchcock และหนัง slasher ของฮอลลีวู้ดด้วย เพราะว่าบรรยากาศในหนังฮอลลีวู้ดมันไม่ได้หลอนแบบหนัง giallo

 

สิ่งต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้ที่ทำให้เรานึกถึงหนัง giallo และหนังอิตาลีโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

2.1 คือเหมือนตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ เรารู้สึกถึง “อันตรายในบรรยากาศ” น่ะ ซึ่งอันตรายนี้อาจจะมาได้จากทั้งฆาตกรและสิ่งเหนือธรรมชาติ และมันก็เลยทำให้เรานึกถึงหนังอิตาลีอย่าง DEEP RED (1975, Dario Argento) และ THE RED QUEEN KILLS SEVEN TIMES (1972, Emilio Miraglia)

 

อย่าง DEEP RED มันเป็นหนังเกี่ยวกับฆาตกรลึกลับ แต่มันก็มีสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่ในหนังด้วย ซึ่งได้แก่ตัวละคร “สาวพลังจิต” เพราะฉะนั้นตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ มันก็เลยรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่หลอนมากเป็นพิเศษ

 

ส่วน THE RED QUEEN KILLS SEVEN TIMES ก็เป็นหนังเกี่ยวกับฆาตกรลึกลับ ที่ผูกโยงกับ “คำสาปอาถรรพณ์” และจุดนี้ก็เลยทำให้นึกถึง ตาโขน ที่มีทั้งฆาตกรลึกลับ และความเชื่อเรื่องคำสาปอาถรรพณ์อยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน

 

2.2 ตัวละคร จ่อย (มอสหลง ภาณุวัฒน์ โสประดิษฐ) เคยเห็นพ่อตัวเองตายตอนที่จ่อยยังเป็นเด็ก และเขาเชื่อว่าเขาเห็น “ผีตาโขน” เป็นคนฆ่าพ่อ แต่ต่อมาเขาก็ต้องสำรวจตรวจสอบสิ่งที่เขาเห็นและสิ่งที่เขาเคยเชื่อในวัยเด็ก ว่าจริง ๆ แล้วเขาเห็นอะไรกันแน่ในตอนนั้น

 

เราชอบปมของพระเอกตรงจุดนี้มาก ๆ มันทำให้เรานึกถึงหนัง 2 เรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็คือ

 

2.2.1 DEEP RED ที่พระเอกเคยเห็น “ภาพวาด” ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆาตกรรมในช่วงต้นเรื่อง แต่ในช่วงต่อมาพระเอกก็ต้องทบทวนความทรงจำ ทบทวนสิ่งที่ตัวเองเห็น เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่า จริง ๆ แล้วภาพวาดที่ตัวเองเห็นนั้น มันมีเงื่อนงำลึกลับอะไรกันแน่ และสิ่งที่เขาเคยเชื่อว่าตัวเองเห็นในช่วงต้นเรื่อง จริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างที่เขาเชื่อหรือเปล่า

 

2.2.2 TRAUMA (1993, Dario Argento)

 

นางเอกเห็นพ่อกับแม่ของตัวเองถูกฆาตกรฆ่าตัดหัวตายในช่วงต้นเรื่อง แต่ต่อมานางเอกก็ต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า สิ่งที่ตัวเองเห็นนั้น มันเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน

 

2.3 ตัวละครพระเอกของตาโขน เจอ “ห้องลับ” และในห้องลับนั้น มี “ศพของคนที่เคยถูกฆ่าตายเมื่อหลายปีก่อนซุกซ่อนไว้”

 

จุดนี้ก็ทำให้นึกถึง DEEP RED และ TRAUMA โดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน 55555

 

สรุปว่า ชอบ “บรรยากาศของอันตราย และความไม่น่าไว้วางใจ” ใน “ตาโขน” มาก ๆ เราว่าจุดนี้มันทรงพลังสำหรับเรามากพอ ๆ กับหนัง giallo ของอิตาลี ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้ว ตาโขนไม่ได้มีงานด้าน visual และ style ที่คล้ายคลึงกับหนัง giallo เลยแม้แต่นิดเดียว

 

3. ตอนแรกที่เราดูหนังเรื่องนี้จบ เราจะตั้งคำถามว่า การที่หนังให้สิ่งเหนือธรรมชาติมาช่วยแก้ไขปัญหาในช่วงท้ายของหนัง มันเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ง่ายเกินไปหรือเปล่า แต่พอเรานึกย้อนไป เราก็พบว่า หนังมันก็บอกอยู่แล้วว่ามันมีสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นตัวละครอยู่ในหนังด้วย เพราะเราว่าสิ่งที่ช่วยนำทางพระเอกไปจนเจอจั่นในห้องลับในช่วงกลางเรื่อง ก็น่าจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติเช่นกัน คือเหมือนสิ่งเหนือธรรมชาติปรากฏตัวชัด ๆ ในหนังเรื่องนี้อย่างน้อยก็ตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องแล้ว ไม่ได้โผล่มาเพื่อแก้ไขปัญหาในช่วงท้ายเรื่องเพียงอย่างเดียว (ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด)

 

4. แต่เราว่าความสนุกในช่วง climax ของหนังมันน้อยไปหน่อย เหมือนมัน “ลุ้น” น้อยเกินไปหน่อยสำหรับเรา 55555 เราก็เลยอาจจะชอบ ท่าแร่ THA RAE: THE EXORCIST (2025, Taweewat Wantha) มากกว่าหนังเรื่องนี้นิดนึงตรงจุดนี้

 

5. แฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์ ซำทองไหล น่ารักมาก ๆ ฉันรักเขา

 

6. แอบขำที่หนังเรื่องนี้มีจุดพ้องกับหนังไทยอีก 2 เรื่องที่ออกฉายในปีเดียวกัน โดยไม่ได้ตั้งใจ 55555 ซึ่งได้แก่

 

6.1 THE LEGEND OF PHI TAKHON MASK ตำนานหน้ากากผีตาโขน (2025, Tang Stuntman แต่ง สตั้นแมน, 104min, C )

 

แต่ยังดีที่ “ตำนานหน้ากากผีตาโขน” เป็น “หนังบู๊อภินิหาร” หนังสองเรื่องนี้ก็เลยพ้องกันแค่ในส่วนของการพูดถึง “หน้ากากผีตาโขน” แต่ genre ของหนังสองเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกันแต่อย่างใด

 

6.2 ลบหลู่ DISPARAGE (2025,  Chomlaman SrikumAsadaporn Pakdeenarong, C- )

 

ตัวละคร “ย่าถิน” (นกน้อย อุไรพร) ในตาโขน ทำให้เรานึกถึงพระเอกของ DISPARAGE โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะตัวละครทั้งสองตัวนี้ต้องการท้าทายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพยายามทำลายศาลเจ้าอะไรต่าง ๆ เหมือนกัน

 

7. ขำที่ปีนี้ไทยมี “หนังสยองขวัญ 2 พยางค์” ออกมาหลายเรื่องมาก ซึ่งในบรรดาหนังกลุ่มนี้ เราอาจจะชอบ

 

7.1 + 7.2 “ท่าแร่” กับ “ตาโขน” มากเป็นอันดับหนึ่งเท่า ๆ กันในตอนนี้ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าชอบหนังเรื่องไหนมากกว่ากัน

 

7.3 พนอ ART OF THE DEVIL: BEGINNING (2025, Putthipong Saisrikaeo, A+30) มากเป็นอันดับสาม

 

7.4 ห่าก้อม THE DARKNESS OF THE SOUL (2025, Pongpat Wachirabunjong, A+25) มากเป็นอันดับ 4

 

7.5 คายอ้อ KAYAOR DISRECPECTING FAITH AND SUPERNATURAL (2025, Phawat Panangkasiri, A+15) เป็นอันดับ 5

 

7.6 ลบหลู่ เป็นอันดับ 6

 

7.7 ผีเบล BRYAN BELL (2025, Stephan Yip Tin-Hang, F) เป็นอันดับ 7

 

8. ในแง่หนี่ง เราก็รู้สึกว่า ตาโขน เหมือนเป็นการสานต่อสิ่งที่คุณภูวดลเคยทำไว้ในหนังเรื่อง เนา-โสภา THE LOCAL CURE (2019, Puwadon Naosopa, 30min, A+30) เพราะว่าหนังเรื่อง THE LOCAL CURE ก็เริ่มต้นด้วยการทำท่าว่ามันอาจจะเป็นหนัง folk horror ที่พูดถึงความสยองขวัญจากสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ ก่อนที่จะคลี่คลายตัวเองไปเป็นหนังแนวอื่นในเวลาต่อมา ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดที่น่าสนใจมาก ๆ ทั้งสำหรับ THE LOCAL CURE และ THE CURSED MASK

 

THE LOCAL CURE เนาโสภา มีให้ดูในยูทูบนะ

 

เราชอบหนังเรื่อง ปฏิกุน PA-TI-KOON (2020, Puwadon Naosopa, short film, A+30) มาก ๆ ด้วยเช่นกัน แต่เรายังไม่เคยดูละครที่กำกับโดยคุณ Puwadon นะ เราก็เลยบอกไม่ได้ว่า เขามีลายเซ็นอะไรหรือไม่ แต่ก็ชอบหนังทั้งสามเรื่องของคุณ Puwadon ที่เราได้ดู ทั้ง เนาโสภา, ปฏิกุน และตาโขน

 

9. พอเราเห็นว่ามีคุณ Tossaphon Riantong ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “ตาโขน” ด้วย มันก็เลยทำให้เรานึกถึงหนังสั้นของคุณ Tossaphon อย่างรุนแรงมาก เพราะว่า ตาโขน เป็นหนังแนว “ปริศนาฆาตกรรม” “ฆาตกรลึกลับ” และมันก็เลยทำให้เรานึกถึงภาพยนตร์แนว thriller ที่คุณ Tossaphon Riantong เคยกำกับตอนที่เขาเรียนชั้นมัธยม อย่างเช่นเรื่อง REMEMBER จำ (2008, 28min), MY BEST FRIEND เพื่อน (2009, 25min) และ เมื่อฝนทิ้งช่วง WHEN FON DUMPS CHUANG (2009, 27min)

 

ถ้าหากเราจำไม่ผิด เราจำได้ว่าช่วงนั้นเรากับเพื่อน ๆ ตื่นเต้นมากพอสมควรที่เห็นเด็กมัธยมสามารถกำกับ+เขียนบทหนังแนว thriller ที่มีความซับซ้อนรุนแรงขนาดนี้ แต่เสียดายที่เราไม่ได้ดูหนังเรื่อง DARKSIDE อารมณ์ (2008, Tossaphon Riantong, 28min) นะ เราก็เลยไม่รู้ว่าหนังเรื่อง DARKSIDE เป็น thriller ซับซ้อนเหมือนกันหรือเปล่า แต่เราเดาเอาเองว่าน่าจะเป็น thriller เหมือนกัน

 

เพราะฉะนั้นพอเราได้เห็นบทภาพยนตร์ที่มีความซับซ้อน มีลูกล่อลูกชน และสร้างความสนุกแบบ thriller + horror ได้อย่างน่าพึงพอใจมาก ๆ ใน “ตาโขน” เราก็เลยนึกถึงหนังเรื่อง จำ, เพื่อน และ เมื่อฝนทิ้งช่วงที่คุณ Tossaphon เคยกำกับในปี 2008-2009 มาก ๆ เหมือนเขามีแววทางนี้มาตั้งแต่ปี 2008 แล้ว 55555

 

Edit เพิ่ม: เราเพิ่งเติม พนอ กับ ผีเบล เข้าไปทีหลังนะ เพราะเพิ่งนึกได้ทีหลังว่ามันเป็น “หนังสยองขวัญไทย 2 พยางค์” ในปีนี้ด้วย


SUMMER AND MY TEDDY BEAR

 

SUMMER AND MY TEDDY BEAR (2025, Jattarin Meedach, queer film, 27min, A+30)

ฤดูร้อนปีนี้ผมพาตุ๊กตาหมีกลับบ้าน (2025, เจตริน มีเดช)

 

1. หนังเกย์รัก 3 เส้าระหว่างหนุ่มหล่อ 3 คน และ “ตุ๊กตาหมี” ชื่อ “เต้าหู้” คือพอตัวละครพูดชื่อตุ๊กตาหมีขึ้นมา เรากับลูกหมีก็อดหัวเราะพร้อมกันไม่ได้ เพราะ reference มันชัดมากว่า หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากใคร 55555

 

2. เข้าใจว่าหนังน่าจะถ่ายที่จังหวัด สุพรรณบุรี จริง ๆ และหนังก็ดูเหมือนจะใช้ประโยชน์จาก location ของตัวเองได้ดีพอสมควร

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

 

3. ถือเป็นหนัง guilty pleasure อีกเรื่องนึงของปีนี้ เพราะในทางเนื้อเรื่องแล้ว เรารู้สึกว่าพล็อตเรื่องมันดูมีช่องโหว่ยังไงไม่รู้ เพราะเราไม่รู้ว่าตัวละครสำคัญตัวนึงเสียชีวิตยังไง แล้วพอเราไม่รู้ว่าเขาฆ่าตัวตาย หรือประสบอุบัติเหตุตายในสภาพยังไง เราก็เลยจะไม่ค่อยแน่ใจว่า ความรู้สึก guilty ของตัวละครอีกตัวนึงมันสมเหตุสมผลหรือมีความหนักแน่นมากพอหรือเปล่า

 

มันก็เลยดูเหมือนกับว่า ความระหองระแหงระหว่างตัวละครเอกสองตัว และการตายของหนึ่งในตัวละคร มันดูเป็นเหมือน “เครื่องมือ” อะไรบางอย่างเพื่อให้หนังก้าวไปสู่ “การสร้างอารมณ์เศร้า+ซาบซึ้ง” แต่มันยังขาดความหนักแน่นมากพอที่จะทำให้คนดูมีอารมณ์คล้อยตามไปด้วยได้น่ะ คือคนดูรับรู้ถึงความระหองระแหงระหว่างตัวละคร และรับรู้ว่าตัวละครตัวนึงตาย แต่พอหนังไม่ได้นำเสนออารมณ์และเนื้อเรื่องในส่วนนี้อย่างละเอียดพอ และหนังกลับใช้วิธีบอกเล่าแบบข้ามๆ ในส่วนนี้ คนดูอย่างเราก็เลยไม่มีอารมณ์ร่วมในส่วนนี้ และก็เลยรู้สึกมีระยะห่างจากความเศร้าของตัวละครในหนังตามไปด้วย

 

4. แต่นักแสดงเล่นดีใช้ได้นะ ทั้งแม่ของผู้ตายและตัวละครหมิง คือเรารู้สึกว่าตัวละครเศร้าจริง เศร้ามาก เพราะการแสดงที่น่าเชื่อถือมาก ๆ ของทั้งคู่น่ะ แต่เราอาจจะไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับความเศร้าของตัวละครด้วย เพราะเหตุผลในข้อสาม

 

5. ถึงแม้หนังจะมีจุดที่เราไม่ชอบในข้อสาม แต่เราชอบหนังเกย์, ชอบหนุ่มหล่อ ๆ และชอบตุ๊กตาหมีอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นยังไง ๆ เราก็ถือว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ อยู่ดี 55555 (ลูกหมีก็บอกว่าเธอชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ)

+++

 

เห็นเพื่อน ๆ หลายคนซึ่งรวมถึงตัวเราเองที่มีอายุ 52 ปี กำลังจะย่างเข้าสู่วัยชรา และเพื่อน ๆ หลายคนก็กำลังดูแลพ่อแม่ที่อยู่ในวัยชรา เราก็เลยสงสัยว่า ตอนนี้ในไทยมีการเปิดธุรกิจ BODYBUILDER CAREGIVER แล้วยัง เพราะเราเห็นธุรกิจแบบนี้มีแล้วในญี่ปุ่น เพราะว่าญี่ปุ่นมีคนชราจำนวนมาก เขาเลยเอา “นักกล้าม” มาทำหน้าที่ดูแลคนชรา เพราะว่านักกล้าม “มีแรงมากพอที่จะอุ้มตัวผู้ป่วย” ได้

 

เราขอสนับสนุนให้มีการเปิดธุรกิจแบบนี้ในไทยด้วยนะ อยากให้มีธุรกิจแบบนี้ในไทยมาก ๆ เพราะเราเองก็มีอายุย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว ต้องการการดูแลแบบนี้มาก ๆ และเราเองก็มีน้ำหนักค่อนข้างเยอะด้วย เพราะฉะนั้นเราก็เลยคิดว่าถ้าหากจะจ้างคนมาดูแลเรา เราก็ต้องอาศัยคนดูแลที่เป็นนักกล้ามแบบนี้นี่แหละ เขาจะได้มีแรงพยุงตัวเราไหว

 

รีบ ๆ เปิดธุรกิจแบบนี้ในไทยกันนะคะ

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่

https://essential-japan.com/news/japans-muscle-carers-inspire-new-generation-of-caregivers-as-job-applications-rise/

 

ดูคลิปเพิ่มเติมได้ที่

https://x.com/asahicom/status/1536632031634812928?t=aA_3yET91qPYC0bjW0iVAg&s=07&fbclid=IwY2xjawOZ75dleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFPdGg1Nm9hN2o4U1NsRHJPc3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHkjDQAyoj8-l2Ik7Q1dCSKX1qma1UgcHvAacT8vBLdH_LyQPC_HejuM8SCym_aem_bPB22hP97ELadCk1ojmXgw