Monday, January 08, 2007

A BATTLE OF WITS (JACOB CHEUNG, A+)

วันนี้ได้ดู

1.A BATTLE OF WITS (2006, JACOB CHEUNG, A+)

JACOB CHEUNG เคยกำกับ MIDNIGHT FLY (2001, A) ที่นำแสดงโดยเหมยเยี่ยนฟางกับเยิ่นต๊ะหัว

2.GHOST TRAIN (2006, TAKESHI FURUSAWA, B+)
http://www.imdb.com/title/tt0819839/



--ข้อความข้างล่างนี้ก็อปปี้มาจากบล็อก LIVE FROM CALARTS
http://livefromcalarts.blogspot.com/2007/01/tag.html


พูดถึงหนังที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตเรามากๆแล้ว เราก็มักจะนึกถึง

1. THE COLOR OF MONEY (1986, MARTIN SCORSESE, A+)
http://www.imdb.com/title/tt0090863/

เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตที่ออกไปดูในโรงคนเดียว ตอนนั้นอายุประมาณ 14ปี สาเหตุที่ออกไปดูเป็นเพราะตอนนั้นอยากเป็นภรรยาของทอม ครุยส์อย่างมากๆ ผลจากการออกไปดูหนังในโรงคนเดียวครั้งนั้นทำให้รู้สึกติดใจมาก และก็เลยมักจะดูหนังคนเดียวมาโดยตลอดตั้งแต่อายุ 14 ปีเป็นต้นมา


2. THE MISSION (1986, ROLAND JOFFE, A+++++++++++)

เป็นหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดในชีวิต และเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงครั้งแรกที่ร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง ผลจากการได้ดูหนังเรื่องนี้ทำให้ตระหนักว่าหนังมันสามารถส่งผลกระทบต่อตัวเราได้อย่างรุนแรงมากเพียงใด เพราะหลังจากดูหนังเรื่องนี้ไปแล้วประมาณ 10ปี ทุกครั้งที่คิดถึงหนังเรื่องนี้หรือเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ก็จะรู้สึกอยากร้องไห้แทบทุกครั้ง


3. MIDNIGHT OFFERINGS (1981, ROD HOLCOMB, A++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0082745/

ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ช่อง 3 ตอนเด็กๆ ดูแล้วทำให้ตัวเองเปลี่ยนศาสนา เลิกนับถือศาสนาพุทธ แล้วหันมานับถือเจ้าแม่ HECATE แทน (ฮ่าๆๆๆๆ) ช่วงนั้นทุกคืนวันเพ็ญเราจะออกมาประกอบพิธีกรรมของเราที่ลานหน้าบ้านตอนดึกๆหลังเที่ยงคืน ตอนนั้นคนในบ้านเราหลับหมดแล้ว แต่จำได้ว่าเพื่อนบ้านของเรายังไม่หลับ พอเขาเห็นเราทำพิธีกรรมอยู่หน้าบ้าน เขาก็มายืนจ้องดู แต่เราก็ไม่สนใจสายตาของเพื่อนบ้าน เรายังคงประกอบพิธีกรรมของเราต่อไป (พิธีกรรมของเราไม่มีอะไรมาก แค่นั่งท่าสวยๆในกองอิฐที่เรียงเป็นรูปดาว และจ้องพระจันทร์วันเพ็ญไปเรื่อยๆ)

คิดว่าหนังเรื่อง MIDNIGHT OFFERINGS ตอบสนองความต้องการของตัวเองตอนเป็นวัยรุ่นได้ดีมาก เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าเราอาจจะไม่ใช่วัยรุ่นธรรมดาๆที่ดาษดื่นเกลื่อนกลาดพบได้ตามท้องถนนทั่วไป แต่เราอาจจะเพิ่มความเป็นคนพิเศษให้ตัวเองได้ด้วยการพยายามศึกษาหาความรู้ด้านไสยาศาสตร์ ซึ่งนั่นจะช่วยให้เราออกห่างจากความเป็นคนธรรมดามากยิ่งขึ้น เราไปซื้อตำราไสยาศาสตร์ภาษาอังกฤษมา แต่อ่านไม่ค่อยออก ในที่สุดเราก็เลยเลิกอ่าน

ประเด็นเรื่อง “ความไม่ต้องการเป็นคนธรรมดาๆ” นี้ เราคิดว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจดี และมันเป็นแรงผลักดันให้คนเราทำในสิ่งที่ดีมากๆหรือชั่วช้าเลวทรามมากๆก็ได้

เพิ่งอ่านบทวิจารณ์ภาพยนตร์ของ NICOLE ARMOUR ใน FILM COMMENT เขาก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะประเด็นนี้พบได้ในหนังเรื่อง REQUIEM (2006, HANS-CHRISTIAN SCHMID) และ DAY NIGHT DAY NIGHT (2006, JULIA LOKTEV) หนังทั้งสองเรื่องนี้พูดถึงหญิงสาววัยรุ่นที่เพิ่มความเป็นคนพิเศษหรือความเป็นคนสำคัญให้แก่ตัวเอง โดยนางเอกของ REQUIEM ปฏิเสธว่าตัวเองอาจจะป่วยเป็นโรคจิต เธอคิดว่าตัวเองมีอะไรบางอย่างคล้ายนักบุญแคทเธอรีน และคิดว่าตัวเองมีความสำคัญมากจนถึงขั้นที่ปีศาจจะพยายามครอบครองวิญญาณของเธอ ส่วนนางเอกของ DAY NIGHT DAY NIGHT นั้นต้องการจะเพิ่มความพิเศษหรือเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตตัวเองด้วยการทำงานเป็นมือระเบิดพลีชีพ

NICOLE ARMOUR พูดถึง REQUIEM และ DAY NIGHT DAY NIGHT ว่า “Both narratives ultimately express a human need to append mystery and significance to otherwise average lives.”

ประเด็นเรื่อง “ความไม่ต้องการเป็นคนธรรมดาๆ” นี้ อาจจะพบได้ในหนังเรื่อง PERFUME: THE STORY OF A MURDERER (2006, TOM TYKWER, A+) ด้วยเหมือนกัน

อ่านบทวิจารณ์ PERFUME ได้ที่
http://www.onopen.com/2007/02/1379


4. CLASS ENEMY (1983, PETER STEIN, A++++++++++++++)
http://www.imdb.com/title/tt0085800/

เป็นหนึ่งในหนังเรื่องแรกๆในชีวิตที่ได้ดูทางสถาบัน ไม่ได้ดูตามโรงทั่วไป ก่อนหน้านั้นเคยไปดูหนัง 2-3 เรื่องที่สมาคมฝรั่งเศส ถ.สาทรใต้ แต่ไม่ได้ประทับใจกับหนังที่ฉายที่นั่นในระดับ A+ จนกระทั่งได้มาดูหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่สถาบันเกอเธ่ ในปี 1995 ขณะที่ได้ดูหนังเรื่องนี้รู้สึกตกตะลึงจังงังมาก เพราะรู้สึกว่าหนังมันทรงพลัง และมันโดนใจเราสุดๆในแบบที่ยากจะหาได้ตามหนังโรงทั่วไป พลังอันเปี่ยมล้นจากหนังเรื่องนี้ทำให้เรากลายเป็นสาวกของหนังสถาบันเกอเธ่ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ถ้าหากไม่มีหนังเรื่องนี้ ป่านนี้ชีวิตเราอาจจะแตกต่างไปจากนี้อย่างสิ้นเชิงแล้วก็ได้


5. INDIA SONG (1975, MARGUERITE DURAS, A++++++++++++)

นี่คือหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดในชีวิต ขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราแทบไม่กล้าขยับตัวเลย ไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้วก้อย ไม่กล้าแม้แต่หายใจแรงๆ เพราะหนังมันมีพลังตรึงเราอย่างรุนแรงจริงๆ

นี่เป็นหนังที่เราดูมากรอบที่สุดในชีวิต เราได้ดูหนังเรื่องนี้ไปแล้ว 6 รอบ และได้ดูทางโรงหนังทุกรอบ เพราะหนังเรื่องนี้หาซื้อไม่ได้ในแบบวิดีโอหรือในรูปแบบอื่นๆ

ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่หลังจากเราดูหนังเรื่อง INDIA SONG รอบที่สี่จบในช่วงปลายปี 2000 เราก็ไม่รู้สึกอยากไปเที่ยวกลางคืนอีก บางทีสองเหตุการณ์นี้มันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย หรือบางที INDIA SONG ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอาจจะมีอิทธิพลบางอย่างต่อจิตใต้สำนึกของเราโดยที่เราไม่เข้าใจ แต่ที่แน่ๆก็คือมันส่งผลดีกับเรา เพราะเรารู้สึกอยู่ในใจว่าเรามีความสุขมากพอแล้วโดยไม่จำเป็นต้องออกไปเที่ยวกลางคืนอีก


ตอบคุณตี๋หล่อมีเสน่ห์

--แหะ แหะ เสียใจด้วยค่ะที่ดิฉันเป็นผู้ชาย

--ชอบพระเอกของ PERFUME เหมือนกันค่ะ เขาเล่นได้ถูกใจมากๆ ดิฉันชอบผู้หญิงหลายๆคนในหนังเรื่องนี้ด้วย

--BLOOD DIAMOND (A+/A) เป็นหนังเซอร์ไพรส์เรื่องนึงของดิฉัน เพราะดิฉันไม่ค่อยชอบ THE LAST SAMURAI (EDWARD ZWICK, B-) เท่าไหร่ ก่อนจะเข้าไปดู BLOOD DIAMOND ดิฉันก็เลยเผื่อใจไว้แล้วว่าหนังเรื่องนี้อาจจะได้แค่ B- เท่านั้น แต่ปรากฏว่า BLOOD DIAMOND ไม่ทำให้ดิฉันรู้สึก “ต่อต้าน” หรือหมั่นไส้เหมือนอย่างตอนที่ดู THE LAST SAMURAI ดิฉันก็เลยพบว่าบางทีความรู้สึกไม่ดีที่ดิฉันมีต่อ THE LAST SAMURAI อาจจะไม่ได้มีต้นเหตุมาจาก EDWARD ZWICK แต่อาจจะเป็นความผิดของ TOM CRUISE

มีหลายฉากใน BLOOD DIAMOND เหมือนกันที่ดิฉันรู้สึกว่ามันจงใจเร้าอารมณ์มากไปหน่อย แต่ก็พอทนได้เพราะเข้าใจว่ามันเป็นหนังฮอลลีวู้ด และสิ่งที่ดีสิ่งนึงก็คือตอนจบของหนังเรื่องนี้ที่ไม่มี SPEECH นี่ถ้าหากหนังยาวกว่านี้อีกสัก 5นาที และปล่อยให้ตัวละครได้กล่าวสุนทรพจน์แล้วล่ะก็ ดิฉันคงจะชอบหนังเรื่องนี้น้อยลงกว่านี้เยอะ

--ชอบ BYE BYE BLACKBIRD อย่างสุดๆเลยค่ะ โดยเฉพาะตอนจบของหนังที่ให้ความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก มันไม่ใช่ความรู้สึกสะใจ, เศร้าใจ, ดีใจ, หรือเสียใจ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ฝังใจในแบบแปลกๆ

--WOMAN IN THE MIRROR หลอนจริงๆด้วยค่ะ และหนังก็ใช้ประโยชน์จากประตูบ้านแบบญี่ปุ่นได้อย่างทรงพลังจริงๆด้วย

--สำหรับดิฉันแล้ว THE BLACK DAHLIA จัดเป็นหนังที่สนุกสุดขีดเรื่องนึงค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้แต่ละคนรู้สึกสนุกคงแตกต่างกันไป เพราะหลายคนก็บอกว่า THE BLACK DAHLIA น่าเบื่อมากเหมือนกัน ในขณะที่ดิฉันเองกลับรู้สึกว่าหนังอย่าง “องค์บาก” เป็นหนังที่น่าเบื่อที่สุดในชีวิตเรื่องนึง

ปัจจัยนึงที่ทำให้ตัวเองรู้สึกสนุกมากๆกับ THE BLACK DAHLIA ก็คือการที่ตัวละครเอกต้องรับมือกับฆาตกรหรืออาชญากรที่อาจแปลงสภาพเป็นฆาตกรหลายๆคดีในเวลาเดียวกัน เขาต้องรับมือกับหลายๆปัญหาในเวลาเดียว อย่างเช่น

1.ตามหาฆาตกรที่ฆ่า ELIZABETH SHORT

2.จัดการกับอาชญากรที่ชอบข่มขืนผู้หญิงผิวดำและทำร้ายคนแก่

3.รับมือกับอาชญากรอีกคนที่เพิ่งพ้นโทษจากคุกและเคยทรมานนางเอกอย่างรุนแรง

4.คลี่คลายปริศนาประวัติชีวิตของ SCARLETT JOHANSSON + AARON ECKHART

5.ตัวพระเอกเองก็มีชนักติดหลังเพราะเคยล้มมวยและมีพ่อที่เป็นโรคจิต

ปกติแล้ว เวลาดิฉันดูหนังแนวทริลเลอร์ พระเอกในเรื่องมักจะต้องรับมือกับฆาตกรเพียงแค่คดีเดียว และต้องทุ่มเทความสนใจไปที่คดีเพียงคดีเดียวเท่านั้น แต่ใน THE BLACK DAHLIA นี้ พระเอกอาจจะต้องรับมือกับศัตรูถึง 4 ทิศทางในเวลาเดียวกัน ทั้งฆาตกรลึกลับ, อาชญากรนักปล้น, อาชญากรที่เพิ่งพ้น
โทษและต้องการจะแก้แค้น และเพื่อนร่วมงานกับภรรยาของเพื่อนร่วมงานก็ดูเหมือนไม่ใช่คนดี ดิฉันก็เลยรู้สึกว่าการดู THE BLACK DAHLIA นี้ ให้ความสนุกแก่ดิฉันมากกว่าการดูหนังทริลเลอร์ทั่วๆไปหลายเท่า แต่ความสนุกนี้ไม่ใช่ความสนุกแบบลุ้นระทึก แต่เป็นความสนุกในแบบที่มันทำให้นึกถึงชีวิตจริงของตัวเองที่ว่า “เราต้องรับมือกับหลายปัญหาในเวลาเดียวกันในชีวิตจริงๆของเรา” เราต้องรับมือกับทั้งมิส เอ, มิส บี, มิส ซีในที่ทำงาน, เราต้องรับมือกับมิส อีที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์เดียวกับเราและทำตัวน่าตบ, เราต้องรับมือกับมิส เอฟ ที่เป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกับเราที่ทำตัวน่าตบ, เราต้องรับมือกับมิส จี ที่เคยเป็นเพื่อนเราแต่ตอนนี้กลับมาทำตัวเป็นศัตรูของเรา แถมเรายังต้องระวังตัวจากระเบิดในกรุงเทพอีกด้วย

การที่ THE BLACK DAHLIA ไม่ได้มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่คดีของอลิซาเบธ ชอร์ต แต่ให้ความสำคัญกับปัญหาชีวิตอีกมากมายหลายรอบด้านของตัวเอก นอกเหนือไปจากคดีอลิซาเบธ คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆค่ะ และก็รู้สึกชอบมากๆที่หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่ตัวเอกให้ความสำคัญกับคดีของอลิซาเบธ ชอร์ตมากเกินไป ปัญหาในด้านอื่นๆของชีวิตก็จะทวีความรุนแรงขึ้นจนส่งผลร้ายต่อชีวิตของเขาและส่งผลให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายไป (คำว่าผู้บริสุทธิ์ในที่นี้ดิฉันหมายถึงคนจีนกับลูกสาวหรือหลานสาวที่ถูกยิงตายในการปล้น)

สิ่งที่โดนใจดิฉันมากที่สุดใน THE BLACK DAHLIA ไม่ใช่ประเด็นที่ว่าใครฆ่าอลิซาเบธ ชอร์ต แต่เป็นประเด็นเรื่อง “ความหมกมุ่น” ของตัวละครที่มีต่อคดีนี้ เพราะความหมกมุ่นที่มากเกินไปจนทำให้ชีวิตเสียสมดุลอาจจะสร้างความชิบหายต่อชีวิตของตัวเองและคนบริสุทธิ์คนอื่นๆได้ จุดนี้มันทำให้นึกถึงชีวิตของดิฉันเองที่มักมีปัญหากับการ “จัดแบ่งเวลา” ในการทำงานต่างๆค่ะ ถ้าหากดิฉันจัดแบ่งเวลาในการทำงานเพื่อเอาใจมิสเตอร์เอมากเกินไป ดิฉันก็จะมีเวลาในการทำงานเพื่อมิสเตอร์บีน้อยเกินไป และมันก็จะสร้างปัญหาให้กับทั้งดิฉันและมิสเตอร์บี อย่างนี้เป็นต้น

อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ THE BLACK DAHLIA ไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นที่ดิฉันชอบนี้มากนัก และดิฉันก็รู้สึกว่าหนังมันดูเฟคๆยังไงไม่รู้ รู้สึกนักวิจารณ์บางคนจะเรียกหนังของ BRIAN DE PALMA ว่า JUNK ART ส่วนในความเห็นของดิฉันนั้น ดิฉันรู้สึกว่าหนังของไบรอัน เดอ พัลมาอาจจะเป็นจังค์ฟู๊ด แต่มันก็เป็นจังค์ฟู๊ดที่อร่อยถูกปากดิฉันดีค่ะ



ตอบคุณ FILMSICK

เคยดู MARNIE ทางช่อง7 ชอบฉากเปิดของหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ ที่เป็นนางเอกเดินถือกระเป๋า

อย่าจำหนังเรื่องนี้สลับกับ MARTY (1955, DELBERT MANN)
http://www.imdb.com/title/tt0048356/

ตอนเด็กๆจำได้ว่าเคยมีคนบอกว่า ดาราหญิงผมบลอนด์มักจะไม่ค่อยได้รับบทเป็นคนฉลาดๆเท่าไหร่นัก แต่มีดาราหญิงคนนึงที่ทำได้สำเร็จ นั่นก็คือ LONI ANDERSON ที่ได้รับบทเป็นสาวผมบลอนด์ฉลาดๆในละครทีวีเรื่อง WKRP IN CINCINNATI (1978-1982) ที่เคยมาฉายทางช่อง3
http://www.imdb.com/title/tt0077097/

ความเห็นของผู้ชมที่มีต่อ WKRP IN CINCINNATI
http://www.rateitall.com/showitem.aspx?itemid=14851&show=all

I like the fact that WKRP didn't condescend by making Loni Anderson (Jennifer) into a dumb blonde (like we see in other shows), but made her into the smartest person at the station (along with Jan Smithers (Bailey). The show thus demonstrated respect for women

2 comments:

the aesthetics of loneliness said...

ผมไปดู Perfume รอบสื่อมวลชน สังเกตเห็นว่าคนดูส่วนใหญ่ค่อนข้างจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ และไม่เก็ต หรือรับไม่ได้อย่างแรงกับตอนจบ มีหลายคนที่หัวเราะคิกคักๆ กับความเว่อร์ของน้ำหอมวิเศษ ผมรู้สึกว่ามันน่าแปลกใจที่สื่อมวลชนสายบันเทิงส่วนใหญ่ของเมืองไทย ไม่เก็ตหนังแนว surrealist เลย

Anonymous said...

สวัสดี คุณ Mds

พอดีเพิ่งได้ดูหนังญี่ปุ่นเรื่อง Blue ดูจบแล้ว มันเป็นหนังที่ให้ความรู้สึกเศร้ามากๆ แต่ไม่เข้าใจว่า ภาพทะเล ในตอนจบ หมายถึงอะไร?

ถ้าคุณ Mds ว่างช่วยตอบด้วยนะ