Wednesday, January 31, 2007

REPETITION BY ALAIN ROBBE-GRILLET

http://filmsick.exteen.com/20070130/eden-and-after?page=1#

พอดีเจอข้อมูลเก่าๆเกี่ยวกับนิยายเรื่อง REPETITION ของ ALAIN ROBBE-GRILLET กับข้อมูลเกี่ยวกับ CLAUDE SIMON ซึ่งเป็นนักประพันธ์ในกลุ่มเดียวกับ ROBBE-GRILLET ก็เลยก้อปปี้มาให้อ่านค่ะ

REPETITION
http://www.amazon.com/Repetition-Novel-Alain-Robbe-Grillet/dp/customer-reviews/0802117368

http://ec1.images-amazon.com/images/P/0802117368.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056491818_.jpg

นิยายเรื่อง Repetition ประพันธ์โดยอแลง ร็อบบ์-กริเยท์ นักเขียน/ผู้กำกับภาพยนตร์แนว nouveau-roman ชื่อดังของฝรั่งเศส โดยนักเขียนในกลุ่มนี้รวมถึงมาร์เกอริต ดูราส์, มิเชล บูตอร์, คล็อด ซิมอง และนาธาลี ซาโรเต

Repetition เป็นนิยายเล่มแรกที่ร็อบบ์-กรีเยท์เขียนหลังจากหยุดเขียนไปนานถึง 20 ปี โดยนิยายเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง, สายลับ และการลวงตา โดยฉากของเรื่องนี้คือกรุงเบอร์ลินในปี 1949 ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพทรุดโทรมหลังถูกระเบิดถล่มอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะที่นักวิจารณ์ให้ความเห็นว่าบรรยากาศในเรื่องนี้คล้ายคลึงกับภาพยนตร์เรื่อง The Third Man ที่กำกับโดยแคโรล รีด และนำแสดงโดยออร์สัน เวลส์ และนิยายเล่มนี้ยังมีการใช้ตัวละครประเภท doppelganger หรือบุคคลที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันเหมือนกับนิยายของโจเซฟ คอนราดด้วย

ตัวละครเอกของเรื่องนี้คืออองรี โรแบง สายลับของฝรั่งเศสที่ถูกส่งมาปฏิบัติภารกิจลับในเบอร์ลิน ซึ่งเป็นภารกิจที่ลับมากจนแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของภารกิจนี้คืออะไรกันแน่ และเมื่อเขาขึ้นรถไฟ เขาก็ได้พบกับนักเดินทางคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเขาทุกอย่าง ซึ่งเขาเคยเผชิญปัญหาที่คล้ายๆกันนี้มาแล้วตั้งแต่เด็ก

อองรีปลอมแปลงโฉมตัวเองในการเดินทางครั้งนี้ด้วยการสวมหนวดปลอม และเขาก็ตกใจมากเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าขณะนี้นักเดินทางอีกคนมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเขามากกว่าตัวเขาเอง เขาเริ่มวิตกว่าปิแอร์ การ์แรง เจ้านายของเขาที่รอรับเขาที่เบอร์ลินอาจเข้าใจผิดว่านักเดินทางคนนี้คือตัวเขา และการ์แรงอาจเปิดเผยความลับที่ไม่ควรเปิดเผยให้คนอื่นรู้

เมื่อเขามาถึงเบอร์ลิน เขาก็เริ่มรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเขาเคยมาที่เมืองนี้มาก่อนแล้ว และในที่สุดเขาก็ค่อยๆนึกออกว่าเขาเคยมาที่เมืองนี้ตอนที่ยังเป็นเด็กพร้อมกับแม่ของเขา นอกจากนี้ อองรียังได้เผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆมากมาย เขาได้เห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม และถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร และหลังจากนั้นเขาก็พบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในร้านขายตุ๊กตา ซึ่งที่จริงแล้วเป็นหน้าฉากสำหรับสถานโสเภณีที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการกับผู้ที่ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กในแบบซาดิสม์-มาโซคิสม์

วิลเลียม พาวด์สโตน นักวิจารณ์ของวิลเลจ วอยซ์ตั้งข้อสังเกตว่า Repetition มีการดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว และมีลักษณะบางอย่างคล้ายภาพยนตร์เรื่อง Memento เนื่องจากอองรีจะตื่นขึ้นทุกเช้าโดยแทบไม่สามารถจดจำสิ่งใดในอดีตได้ นอกจากนี้ เขายังถูกมอมยาและมีปัญหาในการแยกแยะระหว่างความฝัน,ความจริง และความทรงจำ โดยจุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือการใช้เทคนิคการสร้างภาพซ้ำซ้อนในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ตัวละครที่เป็นคู่แฝดเหมือน, ตุ๊กตาที่มีลักษณะเหมือนคนจริงๆ, ภาพสะท้อนในกระจก และภาพวาดแบบลวงตา

Repetition ยังมีลักษณะบางอย่างสอดคล้องกับตำนานกรีกโบราณเรื่องอีดิปุสด้วย เนื่องจากอองรีไม่แน่ใจว่าเขาเคยฆ่าพ่อของตัวเองและเคยมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกับแม่ของตัวเองหรือไม่ นอกจากนี้ อองรียังพบว่าตัวเองเริ่มมีปัญหาด้านสายตาคล้ายกับอีดิปุสที่ควักลูกตาของตัวเองในตำนานกรีก

ผลงานการประพันธ์ของร็อบบ์-กริเยท์รวมถึงนิยายเรื่อง The Erasers (1953), The Voyeur (1955), Jealousy (1957), In the Labyrinth (1959), A Regicide (1978), Recollections of the Golden Triangle (1978), Djinn (1981), Ghosts in the Mirror (1987) และหนังสือรวมบทความอย่าง Generative Literature and Generative Art (1983)

ร็อบบ์-กรีเยท์เคยเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Last Year at Marienbad (1961) ที่กำกับโดยอแลง เรเนส์ และนำแสดงโดยเดลฟีน ซีริก ก่อนจะหันมากำกับภาพยนตร์ด้วยตัวเอง โดยผลงานการกำกับของเขารวมถึงภาพยนตร์เรื่อง L'Immortelle (1963), Trans-Europ-Express (1966), L'Homme Qui Ment (1968) และ Eden and After (1971) ซึ่งทั้ง 4 เรื่องนี้เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์ของร็อบบ์-กรีเยท์ สามารถอ่านได้จากหนังสือ "ฟิล์มไวรัส" ซึ่งมีขายที่ร้านคิโนะคุนิยะ ชั้น 6 เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์

ร็อบบ์-กริเยท์ซึ่งมีอายุแปดสิบกว่าปีกำกับภาพยนตร์เรื่องใหม่ชื่อ C’EST GRADIVA QUI VOUS APPELLE (2006) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง Gradiva ของวิลเฮล์ม เยนเสน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับนักโบราณคดีที่ลุ่มหลงในวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งจนกระทั่งเขาเห็นภาพหลอนและเกิดอาการผิดปกติทางร่างกาย โดยอาเรียลล์ ดอมบาเซิลจะนำแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในขณะที่แบร์นาร์ด อองรี-เลวี ซึ่งเป็นสามีของดอมบาเซิลจะอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
http://farm1.static.flickr.com/174/375274474_11670f4c16_b.jpg
http://farm1.static.flickr.com/150/375274473_884fb8fc69_b.jpg

ดอมบาเซิลเคยร่วมงานกับร็อบบ์-กริเยท์มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง The Blue Villa (1995) และ La Belle Captive (1983)

ดอมบาเซิลซึ่งเกิดปี 1958 โด่งดังมาจากการรับบทเป็นสาวเซ็กซี่ในภาพยนตร์เรื่อง Pauline at the Beach (1983) ที่กำกับโดยอีริค โรห์แมร์ ส่วนผลงานการแสดงเรื่องอื่นๆของเธอรวมถึง Tess (1979) ที่กำกับโดยโรมัน โปลันสกี, A Good Marriage (1982) ที่กำกับโดยโรห์แมร์, Celestial Clockwork (1993), "The Tree, the Mayor, and the Mediatheque" (1993) ที่กำกับโดยโรห์แมร์, Fado Major and Minor (1994) ที่กำกับโดยราอูล รูอิซ, Three Lives and Only One Death (1996) ที่กำกับโดยรูอิซ, L'Ennui (1998) ที่กำกับโดยเซดริค คาห์น, Time Regained (1999) ที่กำกับโดยรูอิซ, Strong Souls (2001) ที่กำกับโดยรูอิซ และ Deux (2002) ที่กำกับโดยแวร์เนอร์ ชโรเตอร์

รูปของ ARIELLE DOMBASLE จาก NOUVELLE CHANCE (2006, ANNE FONTAINE)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/35/24/18669723.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/36/35/24/18669731.jpg

รูปของ DOMBASLE จาก WHEN I AM A STAR (2004, PATRICK MIMOUNI)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/50/63/18401945.jpg

รูปของ ARIELLE DOMBASLE + FEODOR ATKINE ใน PAULINE AT THE BEACH (1983, ERIC ROHMER, A+++++)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/47/00/18395972.jpg

รูปของ ARIELLE DOMBASLE + FABRICE LUCHINI จาก PERCEVAL LE GALLOIS (1978, ERIC ROHMER, B+)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/35/47/59/18396653.jpg



CLAUDE SIMON

ซิมอง ซึ่งเป็นนักเขียนชาวฝรั่งเศสคนสุดท้ายที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ได้เสียชีวิตแล้วขณะอายุ 91 ปี โดยเขาเสียชีวิตในกรุงปารีสในวันพุธที่ 6 ก.ค. 2005แต่เพิ่งมีการเปิดเผยข่าวนี้หลังจากการทำพิธีฝังศพในวันเสาร์

ซิมองเคยแต่งนิยายราว 20 เล่ม เขาได้รับรางวัลโนเบลในปี 1985 โดยเขาเป็นผู้แต่งหนังสือ 4 เล่ม ซึ่งได้แก่ The Grass, The Flanders Road (1960), The Palace และ History ซึ่งทั้ง 4 เล่มนี้มักพูดถึงตัวละครและเหตุการณ์เดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง นอกจากนี้ เขายังแต่ง The Wind (1957) ด้วย

THE GRASS (1958)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/2707310743.08._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056552534_.jpg

THE FLANDERS ROAD
http://ec2.images-amazon.com/images/P/2707306290.08._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056552520_.jpg

ซิมองเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ของวรรณกรรมฝรั่งเศสในช่วงหลังสงคราม และมโนภาพที่ปรากฏอยู่ในนิยายของเขามาจากมโนภาพของผู้ชายที่มีความฝังใจอย่างลึกซึ้งต่อสงครามและต่อความรุนแรงในประวัติศาสตร์

ซิมองเกิดที่มาดากัสการ์ในปี 1913 โดยเขาเป็นลูกชายของทหารบกที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของแม่ในเมืองเปอร์ปิยองทางภาคใต้ของฝรั่งเศส เขาได้ไปเรียนที่กรุงปารีสและได้ไปเรียนต่อที่ออกซ์ฟอร์ดกับเคมบริดจ์ และได้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง

ซิมองถูกทหารเยอรมันจับตัวในเดือนพ.ค.ปี 1940 แต่เขาสามารถหลบหนีออกมาได้ เขาได้ไปเข้าร่วมกับหน่วยรบใต้ดินของฝรั่งเศส และเขาแต่งนิยายเล่มแรกที่มีชื่อว่า The Trickster เสร็จในปี 1945 โดยนิยายเล่มนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับการที่ฝรั่งเศสแพ้สงครามเยอรมนีในปี 1940

ซิมองตั้งรกรากที่เมืองเปอร์ปิยองในเวลาต่อมาและทำอาชีพปลูกองุ่น

งานเขียนของเขามักเน้นนำเสนอเรื่องราวความคงทนของวัตถุสิ่งของและเรื่องราวของผู้คนที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์ปั่นป่วนวุ่นวายในประวัติศาสตร์สมัยใหม่

งานเขียนของซิมองผสมผสานแนวทางการเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาเข้ากับบทบรรยายกระแสความคิดในหัวของตัวละคร โดยเขาไม่ได้ใช้เครื่องหมายวรรคตอนระหว่างเล่ากระแสความคิดของตัวละคร และส่งผลให้บางประโยคในหนังสือของเขามีความยาวถึง 1,000 คำกว่าจะจบประโยค อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์กล่าวว่างานเขียนของซิมองยังคงเป็นงานเขียนที่น่าอ่านถึงแม้จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่น่าจะทำความเข้าใจได้ยากในตอนแรกก็ตาม

THE ACACIA (1989, CLAUDE SIMON)
http://ec2.images-amazon.com/images/P/2707318515.08._SS500_SCLZZZZZZZ_V1073407836_.jpg

THE TROLLEY (2001, CLAUDE SIMON)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/2707317322.08._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056552583_.jpg

No comments: