Monday, January 01, 2007

TEN MOVIE-WORTHY EVENTS IN 2006 PART 2

6. หนุ่มเพิ่งถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เสียชีวิตในน้ำท่วมเมืองลับแล
http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?ColumnId=22253&NewsType=2&Template=1

สกู๊ปหน้า 1 : ฉากมรณะเมืองลับแล 'นาทีชีวิต' วิปโยค 'น้ำซัด-ดินซ้ำ'

--เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 29 พ.ค. 2549--


เหตุการณ์ “น้ำป่าไหลหลาก-น้ำท่วม-ดินโคลนถล่ม” ในพื้นที่ภาคเหนือที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนนั้น “อุตรดิตถ์” ก็เป็นหนึ่งในจังหวัดที่เสียหายอย่างหนัก ทั้งทรัพย์สิน และชีวิต

และจากนี้คือ “นาทีชีวิต” ของคนอุตรดิตถ์...

นาทีที่ตลอดชีวิตของคนกลุ่มนี้...“ยากที่จะลืม !!”

...“บ้านผมสร้างอยู่ใกล้ลำห้วย เป็นแอ่ง เป็นที่ต่ำ หลังได้ยินเสียงโคลนถล่มชาวบ้านก็ร้องตะโกนบอกกัน ผมก็ตกใจ และจะวิ่งหนีขึ้นที่สูง แต่คิดได้ว่าลูกสาวอายุ 14 ปี ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ ก็รีบไปที่ห้องนอนของลูกสาวก่อนเพื่อจะปลุกให้ตื่นแล้วค่อยหนีออกจากบ้านไปพร้อมกัน พอไปถึงห้อง ลองเปิดดูปรากฏว่าห้องล็อก...

ก็พยายามเคาะเรียกให้ลูกสาวตื่นออกมา เรียกอยู่นานก็ไม่ยอมตื่น ไม่รู้จะทำยังไงดี พอโคลนใกล้เข้ามาก็ต้องตัดสินใจวิ่งหนีออกจากบ้านไปอยู่ที่สูง พอรู้ว่าตัวเองรอด หันกลับไปดูบ้านอีกครั้ง ก็เห็นว่าบ้านหายไปกับโคลน พร้อม กับลูกสาวที่ยังนอนอยู่ในห้องแล้ว...”

...เป็นคำบอกเล่า-เป็นนาทีชีวิต จากปากของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ประสบเหตุ แกบอกกับทีมข่าว “เดลินิวส์” ด้วยเสียง เศร้าสร้อยระคนสับสน

และก็อย่างที่ทราบว่านี่มิใช่แค่รายเดียวที่ต้องสูญเสีย

ฉลาด แสนศรี กำนันตำบลแม่พูล จ.อุตรดิตถ์ เล่าย้อนให้ฟังว่า... หลังจากที่มีฝนตกมากตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. ชาวสวนหลายคนก็เริ่มหวาดระแวง เพราะเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในลำห้วยว่าน้ำไม่มีความใสจนเห็นตัวปลาอย่าง ที่เคย “ก็เริ่มคาดเดาแล้วว่าน้ำอาจกำลังพาโคลนลงมาด้วย !!”

ก่อนพลบค่ำวันที่ 22 พ.ค. ที่ฝนตกหนักมาก กลุ่มผู้นำท้องถิ่นก็ได้ประกาศทางหอกระจายข่าวเพื่อเตือนภัยให้ชาวบ้านระมัดระวังภัยจากน้ำป่าที่อาจจะไหลหลากลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ และให้อพยพไปอยู่ยังที่สูง

“ชาวบ้านบางคนก็เชื่อ แต่บางคนก็ไม่เชื่อ ชาวบ้านหลายคนคิดว่าบ้านที่ตนเองอยู่ ปลูกมาเป็นเวลานาน ไม่เคยมีปรากฏการณ์อย่างที่มีการเตือน ให้ระวัง”

กำนันตำบลแม่พูลเล่าต่อไปว่า...หลังจากที่เฝ้าสังเกตการณ์ตั้งแต่ช่วงเย็น จนมาถึงเวลาประมาณ 5 ทุ่มชาวบ้านก็ได้ยินเสียงคลื่นยักษ์จากภูเขาสูงไหลลื่นลงมาแต่ไกล ในเวลาไม่นานมันก็เริ่มใกล้เข้ามา ๆ ต่างคนจึงต่างช่วยกันตะโกนบอกให้เพื่อน ๆ ในหมู่บ้านที่กำลังนอนหลับอยู่ ให้ตื่นขึ้นมา และให้หนี !!

แต่...มันสายเกินไป กว่าที่จะทำอะไรได้ทัน บางคนนึกว่าฝัน แต่พอ ได้สติน้ำโคลนที่มาพร้อม ๆ กันก็ถึงตัวแล้ว บางครอบครัวจับมือกันวิ่งหนีได้ทัน แต่ “บางคนก็เห็นญาติพี่น้อง เห็นลูกหลานตัวเอง หลุดมือหายไปกับ โคลนต่อหน้าต่อตา” ตอนที่กำลังจะวิ่งหนีเอาตัวรอดกัน ท่ามกลางเสียงหวีด ร้องของผู้คนที่ดังระงมแข่งกับเสียงพายุโคลน เพิ่มเสียงดังเสมือนเสียงพญา มัจจุราชมากวาดต้อนเอาชีวิตผู้เคราะห์ร้ายไป

“บางคนขับรถหนี แต่ก็ไม่พ้น เสียชีวิตคารถ”...เป็นอีกคำบอกเล่า “นาทีชีวิต” จากกำนันฉลาด

จากรายงานข่าว เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก-น้ำท่วม-ดินโคลนถล่มในครั้งนี้ แม้แต่กับคนที่เพิ่งจะโชคดีถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ก็ยังไม่พ้นโชคร้ายจนต้องเสียชีวิตไป ซึ่งก็อยู่ที่ ต.แม่พูล จ.อุตรดิตถ์ โดย สนอง เสริมสกุล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.แม่พูล เล่าผ่านทีมข่าว “เดลินิวส์” ว่า...ครอบครัวของ อุดมทรัพย์ บุญรัตน์ อายุ 55 ปี คนที่ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวดวันที่ 1 เม.ย. 49 ที่ผ่านมา ได้สร้างบ้านใหม่อยู่ริมลำธาร อยู่กัน 2 คนกับภรรยา

วันที่เกิดเหตุการณ์ วันนั้นเป็นวันที่น้ำในลำห้วยสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และได้ยินเสียงดินที่พังลงมาจากบนเขาเป็นระยะ ๆ ทั้งคู่ต่างก็พากันวิ่งหนีตายกันออกมาจากบ้าน แต่ก็มีเหตุให้ต้องเกิดการสูญเสีย

ผู้ใหญ่สนองบอกว่า...ทั้งคู่พากันวิ่งมาถึงสะพานที่จะข้ามห้วย แต่ตัวสามีคิดได้ว่ามีเอกสารสำคัญอยู่ในรถ แล้ววิ่งกลับไปเอา พอไปถึงก็ไม่มีกุญแจไขรถ เพราะลืมกุญแจไว้ในบ้าน จึงตัดสินใจใช้ท่อนไม้ทุบกระจกรถ จนแตก

“พอเอื้อมมือเข้าไปหยิบเอกสาร ทั้งน้ำ ทั้งดินโคลน และท่อนไม้ ก็มาถึงตัวเขาแล้ว จนไม่สามารถที่จะหนีไปไหนได้ ส่วนภรรยารอดชีวิต แต่ ก็บาดเจ็บ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”

...ผู้ใหญ่สนองถ่ายทอดเรื่องราว “นาทีชีวิต” ของผู้เคราะห์ร้ายอีกหนึ่งครอบครัว

ขณะที่ครอบครัวของ ออน ฟองฟู อายุ 65 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 11 บ้านมหาราช ต.แม่พูล นี่ก็อีกรายที่สูญเสียทั้งบ้าน และชีวิตของคนใกล้ตัว คือหลานสาว ไปกับเหตุการณ์ “วิปโยค” ในครั้งนี้

ชายสูงวัยรายนี้เล่าว่า...“วันนั้นประมาณ 4 ทุ่มกว่า ก็เริ่มรู้ว่าน้ำใน ห้วยสูงขึ้นจากใต้ถุนบ้านจนถึงชั้นบนอย่างเร็วผิดปกติ เห็นท่าไม่ดีจึงเคาะประตูเรียกหลานสาวให้ออกมาจากบ้าน เรียกอยู่หลายครั้งก็ยังไม่ออกมา น้ำ ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องรีบปีนขึ้นไปบนสันห้วยก่อน พอปีนขึ้นไปแล้วหันมองลงไปที่บ้าน ก็เห็นโคลนพัดเอาบ้านพร้อมหลานไปต่อหน้าต่อตาเลย”... ลุงออนย้อน “นาทีชีวิต” ที่ไม่อาจจะลืมจนวันตาย...

“เมืองลับแล...อุตรดิตถ์” ได้ชื่อว่าเป็นเมืองมีมนต์เสน่ห์

ทว่า...วันนี้กลับเต็มไปด้วยเรื่องราว “วิปโยค...โศกสลด”

นี่เพราะธรรมชาติพิโรธ...หรือน้ำมือมนุษย์กันแน่ ????.



7. เหตุระเบิดทั่วกรุงเทพในวันส่งท้ายปีเก่า



8.สนามบินสุวรรณภูมิ

"ถ้ำมอง-ข่มขืน"...ภัยสุวรรณภูมิ ระวัง!!!...ขวาก็เสี่ยงซ้ายก็อันตราย

17 พ.ย.--แนวหน้า

นับจากวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบ 3 เดือนแล้ว ที่มีการเปิดใช้ "สนามบินสุวรรณภูมิ" อย่างเป็นทางการ.....เป็นตลอด 3 เดือน ที่มากไปด้วย "ปัญหา" โดยเฉพาะเรื่องของ "มลพิษ" ที่ "คุกคาม" บรรดา "คนชายขอบ" รอบ "สนามบินทอง" แห่งนี้....."ปัญหา" ของสนามบินสุวรรณภูมิ ยัง "โผล่" ออกมาไม่หยุดหย่อน และไม่ได้มีเฉพาะ "ชาวบ้าน" เท่านั้นที่กลายเป็น "เหยื่อ" ของสนามบินแห่งนี้....."แม่บ้าน-แอร์ ฯลฯ" คือ "เหยื่อ" กลุ่มล่าสุดที่ได้รับผลกระทบจากสนามบินแห่งนี้.....เป็นผลกระทบที่จากการถูก "คุกคามทางเพศ" ด้วยฝีมือของ "คนงาน" บางกลุ่มที่ยังทำงานสร้างอาคารบางส่วนที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยการถูก "คุกคามทางเพศ" ที่ว่ามีหลายรูปแบบ.....อย่างเบาก็แค่ "ถ้ำมอง".....หนักสุดรุนแรงถึงขั้น "ข่มขืน"!!!"การทำงานในสุวรรณภูมิไม่เคยปลอดภัยเลย จะเดินไปไหนมาไหนต้องระวังตัวตลอดเวลา เพราะไม่ทราบจะเกิดเหตุร้ายกับตัวเองวันไหน โดยจุดอันตรายที่สุด คือ ห้องรับรองผู้โดยสาร เพราะมีช่องทางเดินเล็กและเปลี่ยว ไม่มีแสงสว่างเพียงพอ และมีมุ่งอับหลายจุด ส่วนกลุ่มที่เสี่ยงถูกทำร้ายมากที่สุดจะเป็นกลุ่มพนักงานภายในห้องพักผู้โดยสาร และกลุ่มพนักงานต้อนรับของแต่ละสายการบิน เพราะต้องรอรับผู้โดยสารเวลาลงเครื่องบินเข้าสู่ตัวอาคาร" เนตรชุกร อรรถเวทยวรวุฒิ พนักงานจำหน่ายตั๋วในสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวถึง "ความเสี่ยง" ในสุวรรณภูมิเธอบอกด้วยว่า "บุคคลอันตราย" ของพนักงานในสุวรรณภูมิ คือ "คนงานก่อสร้าง" โดยพวกนี้ชอบตะโกน "แซว" พนักงานต้อนรับ แต่ตรงนี้มันแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ที่ "หนัก" และน่า "หวั่นใจ" คือ ช่วงกลางคืนที่พนักงานต้อนรับต้องเดินไปรอรับผู้โดยสารที่ประตูทาง-ออกขึ้นเครื่อง ซึ่งตรงนี้ "เปลี่ยว" และ "เสี่ยง" ต่อการถูก "ข่มขืน" มาก เพราะการรักษาความปลอดภัยไปไม่ถึง จึงเป็น "จุดอันตราย" ที่พนักงานต้อง "ระวัง" ตัวเพิ่มมากขึ้น"แอร์สาว" อีกรายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาบ่อยครั้งว่ามี "พนักงานทำความสะอาด" ถูก "ข่มขืน" จากกลุ่ม "คนงานก่อสร้าง" ด้วย เรื่องนี้ทำให้พนักงานผู้หญิง "กลัว" กันมากและพากันระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะ "รอด" หรือไม่ เพราะระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ยังไม่รัดกุม-ทั่วถึง ทั้งนี้กลุ่มพนักงานที่ "เสี่ยงที่สุด" เป็นพนักงานต้อนรับสาว เพราะในห้องรับรองผู้โดยสารมี "จุดอับ" หลายจุด และทางเดินบางช่วง "เปลี่ยวมาก" อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยน้อยมาก.....ที่สำคัญ คือ ยังมี "คนงานก่อสร้าง" ทำงานอยู่ในห้องรับรองผู้โดยสารตลอดทั้งคืนด้วย"ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับสาวพนักงานต้อนรับ จะไม่มีใครเห็นเลย เพราะห้องรับรองผู้โดยสารจะไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าไปเด็ดขาด นอกจากเจ้าหน้าที่ ผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง หรือผู้ที่มีบัตรอนุญาตพิเศษ ซึ่งกลุ่มคนงานก่อสร้างก็ได้รับบัตรอนุญาตพิเศษนี้ด้วย" แอร์สาวรายนี้ กล่าว

ขณะที่ "ชนิดา" พนักงานสายการบินแห่งหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า หลังมีข่าวว่าพนักงานทำความสะ อาด และพนักงานศูนย์ดิวตี้ฟรี ถูกกลุ่มคนงานก่อสร้างชาว "พม่า" ข่มขืนภายในตัวอาคารสนามบินสุ วรรณภูมิ ทาง บมจ.ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ก็ปิดข่าวมาตลอด จนกระทั่งทาง "สหภาพแรงงาน" ได้รับเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับพฤติกรรมของกลุ่มคนงานก่อสร้าง ที่คุมคามแอร์โฮสเตส หรือพนักงานส่วนอื่นๆ จึงได้ทำแผ่นใบปลิวแจกให้กับพนักงานทุกคนได้ระวังตัว ทำให้ได้รู้ความจริงว่าภายในตัวอาคารผู้โดยสารสุวรรณภูมิมีเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้น"ถ้ามีพนักงานถูกข่มขืนในห้องน้ำ จะไม่มีใครช่วยได้เลย เพราะประตูสร้างด้วยเหล็ก หนักมาก ทุกวันนี้พนักงานหญิงจะเดินไปมาไหนภายในตัวอาคารสนามบินจะต้องไปเป็นคู่ตลอด พนัก งานทุกทำงานด้วยความลำบากใจมาก เพราะสนามบินไม่มีความปลอดภัย" ชนิดา กล่าวด้าน "อรรถ ศรีพร" เจ้าหน้าที่สหภาพรัฐวิสาหกิจ บมจ.การบินไทย กล่าวว่า คนทำงานอยู่ภายในสนามบินสุวรรณภูมิส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ทำงานเข้า "เช้า" และ "ดึก" จึงเป็นห่วงความปลอดภัย ยิ่งบริเวณ "ห้องรับรองผู้โดยสาร-ลานจอดรถ-บัดไดหนีไฟ-ชั้นใต้ดิน" ช่วงหลังเวลา 01.00 น. เป็นต้นไป จะไม่ค่อยมีคน จะมีเพียงกลุ่มคนงานก่อสร้างที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงดึกคนงานก่อสร้างจะเดินย้อนมาในห้องรับรองผู้โดยสารขาออกได้ และเป็นเส้นทางที่สาวพนักงานต้อนรับเดินอยู่เป็นประจำ จึงไม่ปลอดภัยกับพนักงานหญิงนอกจากนี้บริเวณเส้นทางระหว่างประตูขึ้นเครื่อง จนถึงห้องผู้โดยสารยังมีระยะทางไกล และไม่ค่อยมีคน แสงสว่างไม่ค่อยมาก พนักงานจึงถูกคุกคามตลอด และได้รับเรื่องร้องเรียนในเรื่องพนัก งานถูกคนงานก่อสร้างคุกคามทางเพศบ่อยครั้ง

"บริเวณบันไดหนีไฟเชื่อมโยงได้หลายเส้นทาง เช่น เส้นทางชั้นใต้ดินที่กำลังมีการก่อสร้างสถานีรถไฟใต้ดินสุวรรณภูมิ หากใครไม่ทราบเส้นทางจะหลงทางได้ง่าย และเสี่ยงต่อการถูกข่มขืน ส่วนลานจอดรถช่วงดึกจะมืดและเปลี่ยวมาก ระหว่างที่เดินไปลานจอดเป็นระยะทางที่ไกล หากเกิดอะไรขึ้น และเรียกให้ใครช่วยจะไม่มีใครได้ยินเลย และยิ่งช่วงเวลา 02.00 น.เป็นต้นไป จะไม่ค่อยมีเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัย จึงเป็นอีกจุดที่พนักงานหญิงเสี่ยงต่อการถูกข่มขืนได้" อรรถ กล่าวด้านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรายหนึ่ง ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า วันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันทดสอบการนำเครื่องบินลงจอดรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก ได้เกิดเหตุการณ์พนักงานถูกคนงานก่อสร้างชาวพม่าข่มขืน 2 ราย โดยคนแรกเป็น "พนักงานทำความสะอาด" ที่ถูกข่มขืนขณะเดินลงเป็นบริเวณชั้นใต้ดิน ที่มีคนงานก่อสร้างชาวพม่ากำลังทำงานสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสุวรรณภูมิอยู่ ส่วนอีกรายเป็น "พนักงานสาว" บริษัทแห่งหนึ่ง ที่เดินหลงเข้าไปชั้นใต้ดินเหมือนกัน เลยถูกคนงานชาวพม่าข่มขืน ซึ่งคนร้ายกลุ่มนี้ยังคง....."ลอยนวล"!!!

ทั้งหมดข้างต้นคือเรื่องราวความ "เสี่ยง" ในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถ้ายังไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ก็ไม่รู้ว่า....."ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป"!!!



9.การแก้ไขกฎหมายปากีสถาน
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=tabloid&post_date=1/Oct/2549&news_id=130855&cat_id=220500



10.การวางยาฆ่าสายลับรัสเซีย
http://www.clicksurepass.com/news.php?ID=00001438&PHPSESSID=ea004790cbf7582153928b065a7c746d

บินผู้ดีเจอรังสีนุก พัวพันคดีวางยา

1 ธ.ค.--โพสต์ทูเดย์

ลอนดอน/มอสโก (เอเอฟพี/เอพี) —บริติช แอร์เวย์ส พบสารกัมมันตภาพรังสีบนเครื่อง หลังคนติดต่อสปายรัสเซียขึ้นเครื่อง ขณะแพทย์ชี้อดีตผู้นำรัสเซีย อาจถูกวางยาพิษจริง

หนังสือพิมพ์กอมเมอร์ซันต์ ของรัสเซีย รายงานเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนว่า อังเดร ลูโกวอย นักธุรกิจชาวรัสเซีย 1 ใน 2 คน ที่ได้พบกับ อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก อดีตสายลับรัสเซีย ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้ขึ้นเครื่องบินของสายการบินบริติช แอร์เวย์ส เพื่อเดินทางกลับกรุงมอสโกในวันที่ 3 พฤศจิกายน และเครื่องบินลำดังกล่าวถูกตรวจพบว่ามีร่องรอยของสารกัมมันตภาพรังสีในเวลาต่อมา หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบเครื่องบินในฐานะส่วนหนึ่งของการสืบสวนคดี

ทั้งนี้ ลูโกวอย และ ดิมิทรี คอฟตัน หุ้นส่วนทางธุรกิจ ได้พบกับ ลิตวิเนนโก อดีตสายลับรัสเซีย และผู้วิพากษ์วิจารณ์การบริหารประเทศของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน อย่างรุนแรง ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางกรุงลอนดอน ก่อนที่ ลิตวิเนนโก จะล้มป่วยในวันนั้นและเสียชีวิต เนื่องจากร่างกายเต็มไปด้วยสารกัมมันตภาพรังสี หายากที่มีชื่อว่า “โปโลเนียม-210”

เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินลำที่ 3 ที่ถูกตรวจพบสารกัมมันตภาพรังสี หลังจากก่อนหน้านี้สายการบินบริติช แอร์เวย์ส ได้ชี้แจงแล้วว่า ตรวจพบร่องรอยของสารกัมมันตภาพรังสีบนเครื่องบิน 2 ใน 3 ลำ ที่เดินทางระหว่างกรุงลอนดอนและกรุงมอสโกในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่าน มา และทั้ง 2 ลำ อยู่ในระหว่างการตรวจพิสูจน์หลักฐาน โดยระบุว่า ความเสี่ยงที่สาธารณชนจะสัมผัสกับสารกัมมันตภาพรังสีมีน้อยมาก

อย่างไรก็ตาม นอกจากเครื่องบิน ทั้งหมดจะเดินทางระหว่างกรุงลอนดอนและกรุงมอสโกแล้ว ยังมีเส้นทางบินภายในยุโรปด้วย โดยคาดการณ์ว่าเครื่องบินทั้ง 3 ลำ มีกำหนดการบินถึง 221 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารถึง 33,000 ราย ที่ใช้บริการเครื่องบินดังกล่าวในช่วงระยะเวลาที่เกิดเหตุ และทางสายการบินเตรียมเรียกตัวผู้โดยสารทั้งหมดมาตรวจร่างกายแล้ว อีกทั้งมีรายงานว่าพบเครื่องบินต้องสงสัยว่าอาจมีร่องรอยของสารกัมมันตภาพรังสีอีก 2 ลำจากรัสเซียด้วย

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าเหตุใดร่องรอยของสารกัมมันตภาพรังสีดังกล่าวจึงไปอยู่บนเครื่องบินได้ พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ทางการยังปฏิเสธที่จะระบุว่าสารกัมมันตภาพรังสีที่พบเป็นโปโลเนียม-210 หรือไม่

ก่อนหน้านี้ ร่องรอยของสารโปโลเนียม-210 ถูกพบในสถานที่ต่างๆ ที่ ลิตวิเนนโก เข้าไปติดต่อ ขณะที่เพื่อนและครอบครัวของลิตวิเนนโก ล้วนได้รับการตรวจสุขภาพแล้ว และพบว่าทุกคนสุขภาพสมบูรณ์ดี ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือติดต่อกับลิตวิเนนโก จะทราบผลตรวจสุขภาพในสัปดาห์หน้า

ด้านคณะแพทย์ที่รักษาอดีตนายกรัฐมนตรี เยกอร์ ไกดาร์ ของรัสเซีย ซึ่งป่วยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนระหว่างร่วมการประชุมในไอร์แลนด์ เชื่อว่า ไกดาร์ อาจจะถูกวางยาพิษจริง ท่ามกลางข้อกังขาว่าคดีนี้จะเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของ ลิตวิเนนโก และผู้สื่อข่าวรัสเซียเมื่อเร็วๆ นี้


--กระทู้ที่โปรดปราน
30 หนุ่มน่ากอดแห่งปี
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=15781

No comments: