6. เคียด หรือ SILENCE WILL SPEAK (2006, พัลลภ ฮอหรินทร์)
สาเหตุที่ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้มากๆก็มีเพียงแค่ว่าดิฉันรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้ดูหนังเรื่องนี้เท่านั้นเอง หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยฉากหลายฉากที่ดิฉันดูแล้วไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร ตั้งแต่ฉากบนรถเมล์, ฉากชายหนุ่มถ่ายภาพกรุงเทพในเวลาปัจจุบัน ที่ตัดสลับกับภาพถ่ายกรุงเทพในอดีตเมื่อราว 100 ปีก่อน, ฉากชายหนุ่มนั่งพับนกกระดาษขณะรถติด ก่อนที่รถจะแล่นไปจนถึงทะเล, ฉากชายหนุ่มคนหนึ่งขโมยกระเป๋าถือของผู้หญิง, ฉากชายหนุ่มคนหนึ่งพบกับเหตุการณ์ไฟดับจนต้องอาศัยแสงเทียนเป็นเครื่องนำทาง, ฉากที่มีการใช้เสียงเพลงชาติ, ฉากการไปเลือกตั้ง, ฉากคนบนรถไฟฟ้า เรื่อยมาจนถึงภาพจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ, เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงต่อต้านทักษิณเมื่อต้นปี 2006, คปค. และจบลงด้วยภาพหญิงสาวทำหน้าตาแปลกๆขณะที่ตัวเลขสัญญาณไฟจราจรกำลังถอยหลังไปเรื่อยๆและดูเหมือนตัวเลขจะหยุดอยู่ที่ “19”
ตอนที่ดิฉันเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันไม่ได้อ่านเรื่องย่อของหนังมาก่อน แต่ที่ตัดสินใจเลือกดูเป็นเพราะว่าชอบ EVERYTHING WILL FLOW (2000, พัลลภ ฮอหรินทร์) และ A HALF-LIFE OF CARBON 14 (2005, พัลลภ ฮอหรินทร์) อย่างมากๆ และพอเข้าไปดูแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ SILENCE WILL SPEAK เป็นหนังที่ไปไกลกว่า EVERYTHING WILL FLOW ที่ยังพอมีเนื้อเรื่องให้จับต้องได้ แต่ถึงแม้ EVERYTHING WILL FLOW มีเนื้อเรื่อง ดิฉันกลับรู้สึกว่า EVERYTHING WILL FLOW ดูแล้วชวนง่วงนอนเล็กน้อยในช่วงท้ายเรื่อง ในขณะที่ SILENCE WILL SPEAK ดูแล้วไม่รู้สึกง่วงนอนเลย แต่รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลาโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร
หลังดู SILENCE WILL SPEAK จบ ดิฉันก็ได้ยินจากเพื่อนว่า จริงๆแล้ว SILENCE WILL SPEAK มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย ดิฉันก็เลยรู้สึกทึ่งกับหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เพราะในขณะที่ดูหนังเรื่องนี้นั้น ดิฉันแทบไม่ได้ “ตีความ” หลายๆฉากที่เห็นในหนังเลยแม้แต่นิดเดียว ฉากหลายๆฉากในหนังที่เป็นกิจวัตรของผู้คนในเมืองใหญ่นั้น ดิฉันดูแล้วรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันอย่างมากๆ แต่ไม่ทันได้ฉุกคิดเลยแม้แต่น้อยว่าฉากเหล่านั้นมีความหมายทางการเมืองอย่างใดซ่อนอยู่บ้าง ขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันก็พอจะเดาออกว่าหนังคงมีประเด็นการเมืองซ่อนอยู่บ้าง โดยดูจากฉากที่พูดถึงการเมืองอย่างตรงๆอย่างเช่นฉากการไปเลือกตั้ง, เสียงเพลงชาติ, ฉากพฤษภาทมิฬ และฉากการชุมนุมประท้วงในช่วงต้นปี 2006 แต่ดิฉันไม่ได้คิดจะโยงฉากกิจวัตรประจำวันในหนังเข้ากับประเด็นการเมืองแต่อย่างใดในขณะที่นั่งดู
การที่ได้รู้ในภายหลังว่า SILENCE WILL SPEAK มีคุณค่ามากกว่า “ความเพลิดเพลินในการนั่งดูชีวิตคนกรุงเทพ” ทำให้ดิฉันรู้สึกอยากดูหนังเรื่องนี้ในรอบสองมากยิ่งขึ้น และอาจจะทำให้ความรู้สึกชอบหนังเรื่องนี้พุ่งสูงขึ้นไปอีก
ถ้าหากตัดสินคุณค่าของ SILENCE WILL SPEAK ในแง่ของ “ความสัมฤทธิ์ผลทางการสื่อ “สาร” ต่อตัวดิฉัน” หนังเรื่องนี้ก็อาจจะสอบตก เพราะดิฉันไม่ได้สำเหนียกถึงประเด็นการเมืองในฉากกิจวัตรประจำวันในหนังเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ดิฉันอาจจะได้รับ “สาร” เพียง 5-10 % ของสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อแต่ดิฉันไม่ได้ดูหนังเพราะต้องการรับ “สาร” เพียงอย่างเดียว ดิฉันดูหนังเพราะต้องการ “ความสุข”, “ความเพลิดเพลิน” และ “ความบันเทิง” และ SILENCE WILL SPEAK ก็ให้ความสุขและความเพลิดเพลินทางอารมณ์แก่ดิฉันอย่างสุดๆอย่างที่หนังไทยเรื่องอื่นๆในปีนี้ทำไม่ได้ “ความเพลิดเพลินอย่างสุดๆในฉากกิจวัตรประจำวัน” และ “อารมณ์ที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด” ในฉากพฤษภาทมิฬในหนังเรื่องนี้คือสิ่งที่ทำให้ SILENCE WILL SPEAK เป็นหนึ่งในหนังไทยที่ดิฉันชอบที่สุดในปีนี้
SILENCE WILL SPEAK ทำให้ดิฉันรู้สึกทึ่งกับคุณพัลลภอย่างมากๆ เพราะเขาสามารถทำหนังเรื่องนี้ให้ตอบสนองผู้ชมได้ทั้งกลุ่มที่ชื่นชอบการตีความ ซึ่งน่าจะเข้าใจ “สาร” หลายๆอย่างในหนังของเขา และสามารถตอบสนองผู้ชมกลุ่มที่ไม่ชื่นชอบการตีความ อย่างเช่น ดิฉัน ซึ่งไม่เข้าใจสารในฉากประมาณ 90 % ของหนัง แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองได้รับ “ความเพลิดเพลินอย่างสุดๆ” จากการนั่งดูฉากเหล่านั้น
หนังเรื่อง SILENCE WILL SPEAK ทำให้ดิฉันนึกถึงหนังเรื่องอื่นๆอีกหลายๆเรื่องที่อาจจะเต็มไปด้วยสัญลักษณ์และความหมาย แต่ถึงคุณดูแล้วไม่เข้าใจสัญลักษณ์ในหนังเลยแม้แต่นิดเดียว คุณก็ยังรู้สึกทึ่ง, เพลิดเพลิน และตะลึงลานไปกับภาพที่ได้เห็นและเสียงที่ได้ยิน และได้รับ “ความสุข” อย่างมากๆจากการดูหนังเรื่องนั้น ถึงแม้ไม่ได้รับ “สาร” ใดๆจากหนังเรื่องนั้น บางทีถ้าหากจะเปรียบเทียบอย่างหยาบๆ ก็อาจจะเปรียบเทียบได้ว่า ผู้สร้างหนังเรื่องประเภทนี้มอบ “ตัวต่อเลโก้” ให้ผู้ชม และผู้ชมที่ชอบ “ใช้ความคิด” ก็จะสามารถนำตัวต่อเลโก้เหล่านั้นมาต่อเป็นฐานทัพเรือได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวตามที่ผู้สร้างหนังต้องการ แต่ผู้ชมที่ “ไม่ชอบใช้ความคิด” อย่างดิฉัน กลับรู้สึกเพลิดเพลินมากๆ ที่ได้นั่งพิจารณาสีสันและรูปร่างของตัวต่อเลโก้แต่ละชิ้น และเอาตัวต่อเลโก้เหล่านั้นมานั่งต่อเป็นโอ่งมังกรหรือชักโครกหรืออะไรบ้าๆบอๆ โดยไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเขาให้เอามาต่อเป็นฐานทัพเรือ แต่ก็มีความสุขมากๆที่ได้นั่งเล่นกับตัวต่อเลโก้เหล่านั้น (หรือนั่งดูฉากแต่ละฉากในหนังเรื่องนั้น)
นอกจาก SILENCE WILL SPEAK แล้ว หนังที่ “สร้างความเพลิดเพลิน” อย่างสุดๆให้แก่ดิฉัน โดยที่ดิฉัน “ไม่สามารถเข้าใจ” มันได้เลยแม้แต่นิดเดียว ก็มีเช่น TAKE THE 5:10 TO DREAMLAND (1976, Bruce Conner), THE DEATH OF MARIA MALIBRAN (1972, Werner Schroeter), AGATHA AND THE UNLIMITED READINGS (1981, Marguerite Duras), FREAK ORLANDO (1981, Ulrike Ottinger), THE GARDEN (1990, Derek Jarman), THE COLOR OF POMEGRANATES (1968, Sergei Parajanov), QUICK BILLY (1971, Bruce Baillie)
ไม่มีรูปจาก THE DEATH OF MARIA MALIBRAN มาให้ดู แต่นำรูปจาก DEUX (2002, WERNER SCHROETER) มาให้ดูแทนก็แล้วกัน
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/00/02/53/08/affiche.jpg
ISABELLE HUPPERT + ROBINSON STEVENIN ใน DEUX
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/00/02/53/08/p1.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/00/02/53/08/p2.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/00/02/53/08/p3.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/00/02/53/08/p4.jpg
ปี 2006 เป็นปีที่มีหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองหลายเรื่องเข้ามาเปิดฉายในกรุงเทพ ทั้งนี้ นอกจาก SILENCE WILL SPEAK แล้ว หนังการเมืองเรื่องอื่นๆที่ดิฉันชอบมากที่ได้ดูในปี 2006 ยังรวมถึงเรื่อง
6.1 หนัง “ผี”: 16 ปีแห่งความหลัง (2006, ปราปต์ บุนปาน)
6.2 THE ACCORD (2005, Beatrice Guelpa + Nicolas Wadimoff)
6.3 SHORT WORKING DAY (1981, Krzysztof Kieslowski, โปแลนด์)
6.4 THE PRESIDENT’S LAST BANG (2005, Im Sang-soo)
http://www.seoulselection.com/files/shop_attach/742p-attach-3.jpg
http://www.seoulselection.com/files/shop_attach/742p-attach-8.jpg
http://www.seoulselection.com/files/shop_attach/742p-attach-7.jpg
http://www.seoulselection.com/files/shop_attach/742p-attach-5.jpg
http://www.seoulselection.com/files/shop_attach/742p-attach-4.jpg
6.5 ไม่มีอะไรให้ดู (DON’T EVEN THINK ABOUT IT) (2006, สุชาติ สวัสดิ์ศรี)
ถ้าจำไม่ผิด ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะมีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับ
--จอมพล ผิน ชุณหะวัณ
http://www.rta.mi.th/command/command15.htm
http://www.rta.mi.th/command/command15.jpg
--ถนอม กิตติขจร
http://www.army1.rta.mi.th/ABOUTUS/history_commanders/018.GIF
--ประภาส จารุเสถียร
http://www.army1.rta.mi.th/ABOUTUS/history_commanders/019.GIF
--สฤษดิ์ ธนะรัชต์
http://www.army1.rta.mi.th/ABOUTUS/history_commanders/017.GIF
--เผ่า ศรียานนท์
http://www.moi.go.th/adminold/22.gif
และหลังจากหนังจบ ก็มีการพูดคุยกันเกี่ยวกับกุหลาบ สายประดิษฐ์ ด้วย
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000044368
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=285724
6.6 12:08 EAST OF BUCHAREST (2006, Corneliu Porumboiu, โรแมเนีย)
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/60/15/79/18716385.jpg
http://a69.g.akamai.net/n/69/10688/v1/img5.allocine.fr/acmedia/medias/nmedia/18/60/15/79/18653883.jpg
6.7 THE LOST CITY (2005, Andy Garcia)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B000C3L2PC.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V64957511_.jpg
6.8 แขก (IN BETWEEN) (2006, ภาณุ อารี)
6.9 GOOD MORNING (2006, มนต์ศักดิ์ หินประกอบ)
6.10 ทศเหลี่ยม (2006, อิทธิวัฐก์ สุริยมาตย์)
7. SOCCER AS NEVER BEFORE (1971, Hellmuth Costard, เยอรมันตะวันตก)
ภาพยนตร์เรื่องนี้บันทึกภาพของจอร์จ เบสต์ นักฟุตบอลสุดหล่อชื่อดังขณะแข่งขันฟุตบอลในนัดหนึ่ง หนังเรื่องนี้ให้ความเพลิดเพลินอย่างมากๆโดยที่ดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเฮลมุธ คอสตาร์ดทำได้อย่างไร ในการดูหนังเรื่องนี้ เราแทบไม่เห็นเกมการแข่งขันอย่างแท้จริงเลย เราได้เห็นแต่จอร์จ เบสต์เดินไปเดินมารอบสนาม ขณะที่เฝ้ารอจังหวะเหมาะๆที่จะเข้าไปเล่นลูกบอล, ส่งต่อลูกบอลให้เพื่อน หรือยิงเข้าประตู แต่ในเวลาส่วนใหญ่แล้ว ลูกบอลไม่ได้อยู่ที่ปลายเท้าของเขา และผู้ชมก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นลูกบอลอยู่ที่จุดใดในสนามกันแน่ สิ่งนี้ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอลเรื่องอื่นอย่างมากๆ เพราะหนังเกี่ยวกับฟุตบอลเรื่องอื่นๆ กล้องจะจับไปที่ตัวลูกฟุตบอลเป็นสำคัญ และสิ่งที่ติดอยู่ในเฟรมภาพก็คือนักฟุตบอลที่อยู่ใกล้ตัวลูกฟุตบอลในเวลานั้น แต่หนังเรื่องนี้กลับให้ความสำคัญกับนักฟุตบอลเพียงคนเดียว โดยการที่ลูกฟุตบอลจะหลุดเข้ามาอยู่ในเฟรมภาพด้วยหรือไม่นั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้กำกับให้ความสำคัญแต่อย่างใด
http://cache.deadspin.com/sports/georgebest.jpg
http://www.blogstudio.com/woodgnome/Best1.jpg
วิธีการถ่ายทำแบบนี้ ทำให้หนังเรื่องนี้เหมาะกับชื่อเรื่อง SOCCER AS NEVER BEFORE อย่างมากๆ ในการดูหนังเรื่องนี้ ดิฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้เข้าใจความเหนื่อยยากและความทรหดอดทนของการเป็นนักฟุตบอลมากกว่าการดูหนังเกี่ยวกับฟุตบอลเรื่องอื่นๆ การดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ดิฉันได้ใช้เวลาอยู่กับนักฟุตบอลตลอดการแข่งขันนัดหนึ่ง และได้เห็นว่าเขาต้องใช้เวลานานเพียงใดกับการวิ่งไปวิ่งมาหรือเดินไปเดินมารอบสนาม โดยที่ลูกฟุตบอลไม่ได้เฉียดใกล้เข้ามาที่ปลายเท้าของเขา ช่วงเวลาที่นักฟุตบอลอยู่ห่างจากลูกฟุตบอลแบบนี้ เป็นช่วงเวลาที่หนังเรื่องอื่นๆไม่เคยให้ความสำคัญ แต่หนังเรื่องนี้กลับให้ความสำคัญ และมันทำให้ดิฉันรู้สึกเข้าใจและชื่นชมนักฟุตบอลอย่างมากๆ พวกเขาไม่เคยได้หยุดพัก พวกเขาต้องจับตามองไปที่ลูกบอลตลอดเวลา พวกเขาต้องคิดตลอดเวลาว่าควรวิ่งไปดักรออยู่ที่จุดใด พวกเขาเหมือนกับเต็มไปด้วย “พลังงานศักย์” ในจิตใจที่ต้องเติมอัดแน่นอยู่ในตัวตลอด และมันจะได้รับการปลดปล่อยออกมาเป็นดั่ง “พลังงานจลน์” ทางจิตใจก็ต่อเมื่อลูกฟุตบอลผ่านเข้ามาที่ปลายเท้าของเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้โอกาสปลดปล่อยพลังงานจลน์ทางจิตใจออกมาเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นในการแข่งขันนัดหนึ่งๆ และการที่พวกเขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการแข่งขันไปกับการ “ดักรอ” ลูกฟุตบอลเช่นนี้ มันคงเป็นสิ่งที่ยากลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างมากๆ
ในขณะที่หนังโดยทั่วไปมักจะให้ความสำคัญกับ “ช่วงเวลาที่เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง” อย่างเช่นช่วงเวลาที่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจะคลอดลูก, ช่วงเวลาที่ใครบางคนเดินทางมาถึงจุดๆหนึ่ง, ช่วงเวลาที่ใครบางคนลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง, ช่วงเวลาที่นักฟุตบอลได้เตะลูกฟุตบอล หนังอย่าง SOCCER AS NEVER BEFORE กลับเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับช่วงเวลาในชีวิตที่หลายคนมองข้าม หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่นักฟุตบอล “รอ” ที่จะเตะลูกฟุตบอล และก็อาจจะมีหนังบางเรื่องเช่นกันที่ให้ความสำคัญกับผู้หญิงขณะกำลังตั้งครรภ์ไปเรื่อยๆก่อนที่จะคลอดลูก, ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่คนๆหนึ่ง “ใช้เวลาไปกับการรอ” คนอื่นๆที่ยังเดินทางมาไม่ถึงจุดนัดพบ, ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่ใครบางคน”นั่งนิ่งๆเป็นเวลาหลายนาที”เพื่อตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง อย่างเช่นในภาพยนตร์เรื่อง SECRET DEFENSE (1998, Jacques Rivette) ดิฉันรู้สึกชอบหนังประเภทนี้อย่างมากๆค่ะ เพราะมันทำให้ดิฉันได้เห็นคุณค่าของช่วงเวลาหลายช่วงในชีวิตที่ดิฉันเคยมองข้ามมันไป ดิฉันเคยมองว่าช่วงเวลาเหล่านี้มันช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อในชีวิต และดิฉันอยากจะกระโดดข้ามมันไปโดยใช้เครื่องรีโมทคอนโทรลกายสิทธิ์แบบที่พระเอกภาพยนตร์เรื่อง CLICK (2006, Frank Coraci) ชอบทำ แต่หนังแบบ SOCCER AS NEVER BEFORE ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ดูเหมือนน่าเบื่อนี่แหละ จริงๆแล้วมันเต็มไปด้วยความงดงามในแบบของมันเอง และมันแสดงให้เห็นถึงความอดทนของมนุษย์และความจริงบางอย่างของชีวิตมนุษย์ได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00005TNFA.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056704449_.jpg
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่องนี้มากๆก็คือความหล่อเหลาของจอร์จ เบสต์ หนังเรื่องนี้ทำให้ดิฉันนึกถึงสิ่งที่เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเอาไว้ว่า “ประโยชน์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์ก็คือมันเปิดโอกาสให้เราได้จ้องมองผู้ชายหล่อๆได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร” และดิฉันก็รู้สึกว่า SOCCER AS NEVER BEFORE ตอบสนองตัณหาราคะในใจดิฉันได้อย่างเต็มที่มากๆ แต่ในขณะเดียวกัน ดิฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมการดู SOCCER AS NEVER BEFORE ถึงให้ความเพลิดเพลินแก่ดิฉันได้มากกว่าการดูหนังโป๊หลายเท่านัก SOCCER AS NEVER BEFORE เป็นหนังที่แทบไม่มีเนื้อเรื่อง ผู้ชายในเรื่องก็ไม่ได้แก้ผ้า และเขาก็ไม่ได้ทำท่าทางยั่วยวนหรือจงใจปลุกเร้าอารมณ์หื่นในตัวผู้ชมเลย แต่ไปๆมาๆแล้ว คุณสมบัติแบบนี้ของหนังเรื่องนี้ กลับดูเหมือนจะสร้างความเริงรมย์ให้แก่ดิฉันได้มากกว่าการดูหนังโป๊เสียอีก
นอกจาก SOCCER AS NEVER BEFORE จะเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับกีฬาที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์กีฬาโดยทั่วไปแล้ว อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจใน SOCCER AS NEVER BEFORE ก็คือการที่หนังเรื่องนี้อาจจะเรียกว่าเป็นหนังสารคดีได้ด้วยเช่นกัน เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้เป็นการบันทึกเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ส่งสารหรือให้ข้อมูลแก่ผู้ชมแบบหนังสารคดีโดยทั่วไป SOCCER AS NEVER BEFORE ดูเหมือนจะช่วยขยายขอบเขตของคำว่าหนังสารคดีให้กว้างไกลออกไปมากยิ่งขึ้น และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับชาวเยอรมันในทศวรรษ 1970 โดยเฉพาะ Hellmuth Costard ถนัดเป็นยิ่งนัก เพราะผู้กำกับหลายคนในกลุ่มนี้มักจะทำหนังที่มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง, เรื่องจริงที่คล้ายกับเรื่องแต่ง, เรื่องแต่งที่คล้ายกับเรื่องจริงมาผสมปนเปกันไปหมดจนยากจะจัดจำแนกได้ว่าหนังของพวกเขาเป็นแนวบ้าอะไรกันแน่ ตัวอย่างหนังลูกผสมในกลุ่มนี้ก็น่าจะรวมถึงหนังเรื่อง FATA MORGANA (1971, Werner Herzog), REALTIME (1983, Hellmuth Costard + Juergen Ebert) และหนังหลายเรื่องของ Alexander Kluge
***ภาพยนตร์ของ ALEXANDER KLUGE จะเปิดฉายที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันอาทิตย์ที่ 21 ม.ค. นี้ เวลา 15.00 น.
อ่านเรื่องของ ALEXANDER KLUGE ได้ในหนังสือฟิล์มไวรัส 2
รูปจาก FATA MORGANA
http://www.kinowelt.de/material/cover/850_FataMorgana_DVD-D-3.jpg
http://www.fueradecampo.cl/republica/imagenes/fatamorgana.jpg
นอกจาก SOCCER AS NEVER BEFORE แล้ว หนังที่มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับกีฬาเรื่องอื่นๆที่ดิฉันชอบมากๆยังรวมถึงเรื่อง
7.1 THE CHAMPIONS (2003, Christoph Huebner, เยอรมนี)
http://www.germany.info/relaunch/info/missions/consulates/newyork/webcal/champions.jpg
http://www.cineclub.de/images/2003/07/die_champions_1.jpg
7.2 PETERKA: YEAR OF DECISION (2003, Vlado Skafar, สโลเวเนีย)
http://skimuseum.free.fr/actu/engelberg02/peterka.jpg
http://www.k120.de/hinterzarten/SLO/Peterka/080803_145148_Peterka_gr.jpg
http://www2.arnes.si/~gljsentvid10/oseb_stran/primoz_peterka1.jpg
7.3 A LEAGUE OF THEIR OWN (1992, Penny Marshall)
http://ec1.images-amazon.com/images/P/0800177258.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1056491197_.jpg
7.4 MILLION DOLLAR BABY (2004, Clint Eastwood)
http://www.guiadecamaras.com/argentina/million_dollar_800.jpg
7.5 JUMP BOYS (2005, Lin Yu-hsien, ไต้หวัน)
http://www.ivideo.com.tw/img_video/25727.jpg
7.6 โลกปะราชญ์ (WEIRDROSOPHER WORLD) (2006, นนทวัฒน์ นำเบญจพล + อาทิตย์ พันธ์นิกุล)
7.7 SWIMMING UPSTREAM (2003, Russell Mulcahy, ออสเตรเลีย)
http://www.somethingcools.com/poster/images/i_poster/swimming_upstream.jpg
http://moodswings.sitesled.com/jesse/gallery/movies/upstream04.jpeg
7.8 GIVE IT ALL (1998, Itsumichi Isomura)
อันนี้เป็นปกดีวีดีหนังเกย์เรื่อง CLOSE YOUR EYES AND HOLD ME (1999, ITSUMICHI ISOMURA)
http://ec3.images-amazon.com/images/P/B00014K5T6.01._SS500_SCLZZZZZZZ_V1078181017_.jpg
A businessman becomes obsessed with a beautiful woman who vanishes after being hit by his car. Tormented, he tracks her to an underworld transvestite club where he enteres a seduction that threatens to destroy him!
7.9 WATERPROOF (1986, Jean-Louis Le Tacon)
7.10 AIKI (2002, Daisuke Tengan)
http://www.papero.de/Aiki/Aiki.JPG
ปล. หลังจากรีบร้อนทำอันดับนี้ส่งให้ OPEN แล้ว ก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ในภายหลังว่า หนังที่มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับกีฬาที่ชอบที่สุดในชีวิตอีกเรื่องนึงคือ STRONG SHOULDERS (2003, URSULA MEIER, A+++++++++)
Thursday, January 18, 2007
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment