Saturday, September 15, 2007

MIRACLE ON 1ST STREET (2007, YUN JE-GYUN, A+)

--MY FEELINGS

Watching super-long films by Jacques Rivette makes me feel like heaven. Watching super-long films by Hans-Juergen Syberberg makes me feel as if I'm in the land of fascinating magic. Watching THE BEST OF YOUTH (2003, Marco Tullio Giordana, B+) is a slow slide into boredom. Watching HEREMIAS (2006, Lav Diaz, A+) is a slow slide into hell.


FILMS SEEN BETWEEN 12-14 SEPTEMBER 2007

1.MIRACLE ON FIRST STREET (2007, Yun Je-gyun, A+)
หนังเรื่องนี้ควรตั้งชื่อภาษาไทยว่า "ชีวิตบัดซบ"

2.I KNOW WHO KILLED ME (2007, Chris Sivertson, A+/A)

3.THE BRAVE ONE (2007, Neil Jordan, A+/A)

4.VACANCY (2007, Nimrod Antal, A+/A)

5.BEDSIDE DETECTIVE (2007, Komgrit Triwimol, A-)

6.BANGKOK LOVE STORY (2007, Poj Arnon, A-)
This film makes me laugh a lot, though all the laughs are not the film's intentions.

7.CHAIYA (2007, Kongkiat Khomsiri, A-)

8.MING MING (2006, Susie Au, B+)


--As for now, THE HOUSE (BAAN PEE SING) (2007, Monthon Arayangkoon, A+) is likely to be one of my most favorite feature Thai films of this year. What I like very much about it is its deep distrust in humans, love, and family. Both PREMONITION and THE HOUSE seem to be about marital problems and deal with this theme via supernatural events. However, PREMONITION seems to affirm the power of love, while THE HOUSE does the exact opposite. I always love films which deeply distrust the power of love like THE HOUSE.


ตอบน้อง NANOGUY

คุณก้อง ฤทธิ์ดี เขียนถึง HEREMIAS ไว้ใน BANGKOK POST ฉบับวันศุกร์ที่ 14 ก.ย.ด้วยค่ะ

ข้างล่างนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของดิฉันที่มีต่อชื่อภาพยนตร์ HEREMIAS—BOOK ONE: THE LEGEND OF LIZARD PRINCESS ค่ะ ไม่รู้ว่าจะเป็นการ SPOILER หรือเปล่า ถ้าใครไม่อยากรู้เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ล่วงหน้า ก็ไม่ควรอ่านสิ่งที่ดิฉันเขียนตรงนี้ค่ะ

สำหรับความรู้สึกส่วนตัวของดิฉันนั้น "ตำนานเจ้าหญิงกิ้งก่า" เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง HEREMIAS สะเทือนใจดิฉันอย่างสุดๆค่ะ เพราะว่า

1.ถ้าจำไม่ผิด ตำนานบอกว่า มีชาวพื้นเมืองคู่หนี่งมีลูกสาวสวย ต่อมาลูกสาวที่แสนสวยของพวกเขาถูกกลุ่มนายพรานลักพาตัวไป พ่อกับแม่พยายามตามหาลูกสาวจนพลิกแผ่นดินทั่วทั้งป่า แต่ก็หาไม่พบ ตำนานไม่ได้บอกตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าลูกสาวของพวกเขาถูกกลุ่มนายพรานข่มขืนแล้วฆ่าตาย

2.หลังจากลูกสาวของพวกเขาถูกลักพาตัวไปได้ระยะนึง ก็มีลูกกิ้งก่าโผล่มาที่บ้านของพ่อแม่ของหญิงสาวคนนั้น พ่อกับแม่พยายามไล่ลูกกิ้งก่าออกไปจากบ้าน แต่ลูกกิ้งก่าก็ไม่ยอมไป พ่อกับแม่ก็เลยรักและดูแลลูกกิ้งก่าตัวนี้ จนลูกกิ้งก่าโตมาและได้รับสมญานามว่าเป็นเจ้าหญิงกิ้งก่า ดิฉันคิดว่าตำนานนี้เหมือนกับจะบอกกลายๆว่าลูกสาวของพวกเขากลับชาติมาเกิดใหม่เป็นกิ้งก่าตัวนี้

3.ผู้ชมจะนึกถึงตำนานนี้อีกครั้งนึงในช่วงท้ายเรื่อง เมื่อ HEREMIAS ซึ่งเป็นพระเอกแอบรู้ความลับว่าลูกชายของผู้มีอิทธิพลกับเพื่อนๆวางแผนจะลักพาตัวหญิงสาวชื่อ HELENA NAKPIL มาข่มขืนแล้วฆ่า ซึ่งชะตากรรมของ HELENA NAKPIL นี้ทำให้นึกถึงชะตากรรมของหญิงสาวในตำนานเจ้าหญิงกิ้งก่า แต่ต่างกันตรงที่ว่า HEREMIAS "อาจจะ" สามารถช่วยเหลือ HELENA NAKPIL ให้รอดพ้นจากชะตากรรมแบบเจ้าหญิงกิ้งก่าได้

4.อย่างไรก็ดี HEREMIAS ดูเหมือนจะทำไม่สำเร็จ เพราะทั้งตำรวจและบาทหลวงต่างตัดสินใจที่จะปล่อยให้ HELENA NAKPIL ถูกข่มขืนแล้วฆ่าตาย ดังนั้น HEREMIAS จึงวิงวอนขอให้พระเจ้าช่วยเหลือ HELENA NAKPIL

5.ดิฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพระเจ้าจะช่วยเหลือ HELENA NAKPIL หรือเปล่า เพราะหนังไม่ได้บอกไว้ แต่ในเมื่อพระเจ้าไม่ได้ช่วยเหลือ "หญิงสาวในตำนานเจ้าหญิงกิ้งก่า" ในอดีต และปล่อยให้หญิงสาวในตำนานคนนั้นถูกข่มขืนแล้วฆ่าตาย หนังเรื่องนี้จึงทำให้ดิฉันรู้สึกสะเทือนใจมาก และความรู้สึกที่ดิฉันได้รับจากหนังเรื่องนี้ก็คือความรู้สึกที่ว่า "จักรวาลเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและโหดร้าย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจักรวาลก็ไม่ช่วยเหลือคนดี ไม่ว่าจะในอดีต หรือในปัจจุบัน" คือถ้าหากหนังเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงตำนานเจ้าหญิงกิ้งก่า ชะตากรรมของ HELENA NAKPIL ในช่วงท้ายเรื่องก็อาจจะไม่สะเทือนใจดิฉันมากเท่านี้ เพราะมันจะไม่ให้ความรู้สึกของ "ความชั่วร้ายที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และกำลังจะเกิดขึ้นอีกในปัจจุบัน" หรือถ้าหากหนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้พระเอกตั้งคำถามต่อพระเจ้าในช่วงท้ายเรื่อง หรือไม่ได้เน้นให้ผู้ชมได้เห็นถึงพลังของ "ธรรมชาติ" หรือ "ชะตากรรม" ในหลายๆช่วงของเรื่อง ตำนานเจ้าหญิงกิ้งก่าก็คงไม่สะเทือนใจดิฉันมากเท่านี้เช่นกัน เพราะถ้าไม่มีองค์ประกอบที่ว่ามา (ตำนานในอดีต, การตั้งคำถามต่อพระเจ้า, พลังของธรรมชาติ, พลังของชะตากรรม) เรื่องราวของ HELENA NAKPIL ในหนังเรื่องนี้ก็คงให้ความรู้สึกสะเทือนใจได้แค่ในระดับใกล้เคียงกับหนังอย่าง "คืนบาปพรหมพิราม" หรือ "เตือนใจ" หรือหนังสะท้อนสังคมบางเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่า "จักรวาลมันช่างโหดร้าย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจักรวาลมันช่างโหดร้าย" เหมือนอย่างที่ HEREMIAS ทำให้รู้สึก (การตั้งคำถามต่อความชั่วร้ายในจักรวาลเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ดิฉันชอบหนังเรื่อง WOLF CREEK อย่างสุดๆเหมือนกัน เพราะจุดนี้มันทำให้ WOLF CREEK สะเทือนใจดิฉัน ในขณะที่หนังฆาตกรโรคจิตเรื่องอื่นๆไม่มีองค์ประกอบนี้ ก็เลยไม่สามารถสร้างอารมณ์สะเทือนใจดิฉันในแบบนี้ได้)


ตอบน้อง merveillesxx

ดู HEREMIAS แล้วก็รู้สึกไม่เห็นด้วยกับพระเอกในช่วงท้ายเรื่องเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าทำแบบนั้นแล้วจะช่วยเหลือ HELENA NAKPIL ได้ยังไง แต่ "ไม่เห็นด้วย" ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า "ไม่เห็นใจ" นะ คือดิฉันคิดว่าการกระทำของพระเอกไม่น่าจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง แต่ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจพระเอกอย่างสุดๆ และรู้สึกอินกับอารมณ์ความรู้สึกที่ "สิ้นหวังอย่างสุดๆ" ของพระเอกอย่างมากๆ ความรู้สึกของดิฉันที่มีต่อพระเอกในช่วงท้ายของเรื่องนี้ ใกล้เคียงกับความรู้สึกของดิฉันที่มีต่อช่วงท้ายของจดหมายของคุณนวมทอง ไพรวัลย์ในภาพยนตร์เรื่อง LETTER FROM THE SILENCE (2006, Prap Boonpan, A+) ด้วยค่ะ ที่บอกว่าเกิดมาชาติหน้าหวังว่าจะไม่เจอรัฐประหารอีก (ถ้าจำไม่ผิด) คือดิฉันรู้สึกว่าความปรารถนาของพระเอกในช่วงท้ายของ HEREMIAS กับข้อความในช่วงท้ายของ LETTER FROM THE SILENCE มันให้ความรู้สึกที่สิ้นหวังอย่างสุดๆและเศร้าโศกอย่างสุดๆ และมันก็ทำให้รู้สึกหดหู่อย่างสุดๆตามไปด้วย เพราะมันมีความเป็นไปได้สูงที่ความปรารถนาของพวกเขาอาจไม่กลายเป็นความจริง

No comments: