A look through 100 years of Indian Cinema
7 July - 1 September
12.30 AM, Every Sunday.
Rewat Buddhinan Room
... Thammasat University
ร่วมฉลองครบรอบ 100 ปีของภาพยนตร์อินเดีย ผ่านสีสันอันหลากหลายจากหนังเงียบสุดคลาสสิค สู่หนังมหากาพย์แห่งยุคสมัย ถึงหนังน้ำเน่าน้ำตาริน และหนังคัลต์ขึ้นหิ้ง ในโปรแกรมหนังจาก Filmvirus ที่จะพาคุณสู่โลกแห่งหนังอินเดียอันหวือหวาพิศดารพันลึกกว่าที่เคยสัมผัส
7/07/56
The Beginning
A Throw of the Dice (1929) / 74 min / Director: Franz Osten
หนังเงียบเรื่องยิ่งใหญ่ของอินเดียที่แม้จะกำกับโดยคนทำหนังชาวเยอรมัน Franz Osten แต่ความสำคัญของหนังคือการที่ Osten นำเทคนิคทางภาพยนตร์มาใช้เล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งจากมหากาพย์ ‘มหาภารตะ’ เป็นหนังเรื่องนี้ได้อย่างวิจิตงดงามที่สุด ตัวหนังยังถือเป็นหนังเงียบเพียงไม่กี่เรื่องที่เหลือรอดจวบจนปัจจุบันในสภาพสมบูรณ์ที่สุด พ้นจากหนังเรื่องนี้ไป Osten กับ Himansu Rai ได้ร่วมกันเปิดหน้าประวัติศาสตร์หนังเสียงของอินเดีย ด้วยการก่อตั้งสตูดิโอหนังที่สมบูรณ์พร้อมสุดในยุคนั้นอย่าง Bombay Talkies ซึ่งมีส่วนสำคัญยิ่งในการวางรากฐานหนังอินเดียยุคต่อมาให้เปี่ยมด้วยเทคนิคและคุณภาพระดับสากล
Sant Tukaram (1936) / 131 min / Director: Vishnupant Govind Damle, Sheikh Fattelal
หนังเสียงเรื่องสำคัญของอินเดีย ถือเป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้โลกรู้จักวงการหนังอินเดียด้วย เพราะตัวหนังได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสามหนังยอดเยี่ยมของเทศกาลหนังเวนิซ และยังเดินสายฉายเทศกาลอื่นๆ ทั่วโลก ในบ้านตัวเองหนังยังสร้างสถิติทำเงินสูงสุดและยืนโรงฉายยาวนานข้ามปี โดยหนังเล่าชีวิตของ Sant Tukaram นักบุญและกวีผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1608-1650 ไม่ได้เน้นไปที่ปาฏิหาริย์ซึ่งคนเลื่องลือกันช้านาน แต่กลับเน้นชีวิตของท่านจากคนธรรมดาจนกลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่
14/07/56
The Epics
Mughal-E-Azam (1960) / 173 min / Director: K. Asif
อภิมหากาพย์หนังยิ่งใหญ่สุดตลอดกาลของอินเดีย เริ่มต้นจากความทะเยอทะยานอยากทำหนังสีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากด้วยทุนสร้างบานปลาย การถ่ายทำยาวนานร่วมสิบปี และเทคโนโลยีที่ยังไม่ถึงพร้อมพอ ผู้กำกับ K.Asif จึงถ่ายทำเป็นขาวดำแต่ยังคงความเป็นมหากาพย์ในทุกอณู เล่าเรื่องราวของเจ้าชายซาลิม ผู้ตกอยู่ใต้เงาของพระบิดามหาจักรพรรดิ์อัคบาแห่งราชวงศ์โมกัล ความขัดแย้งระหว่างพ่อลูกปะทุขึ้นถึงขีดสุด เมื่อเจ้าชายซาลิมหลงรักนางระบำในวังและต้องการยกนางขึ้นเป็นมเหศี ในขณะที่กษัตริย์อัคบาจงชังฐานะอันต่ำต้อยของนางยิ่งกว่าสิ่งใด จนยังให้พ่อกับลูกถึงขั้นก่อสงครามเพื่อชิงความเป็นหนึ่งแห่งราชวงศ์โมกุล ตัวหนังต้องรอเวลาผ่านล่วงเกือบครึ่งศตวรรษ จึงมีการนำฟิล์มมาบูรณะเป็นหนังสีสวยสดสมความตั้งใจเดิมของผู้กำกับ K.Asif
21/07/56
The Melodrama
Aradhana (1969) / 169 min / Director: Shakti Samanta
คลาสสิคเหนือคำบรรยายกับหนังอินเดียที่เรียกน้ำตาคนไทยทั้งประเทศมาแล้ว พบพระเอกซุปเปอร์สตาร์คนแรกของวงการหนังอินเดีย ราเยส คันนา และดาราคู่ขวัญ ชามิลา ทากอร์ ในมหากาพย์ความรัก-พรักพรากของแม่ลูกคู่หนึ่ง เมื่อพ่อตายจากไปกระทันหัน ทำให้แม่ยอมยกลูกให้คนอื่น แลกกับการที่เธอคอยดูแลเขาให้เติบใหญ่ในฐานะแม่นม หากวันหนึ่งชะตาเล่นตลกอีกครั้ง เมื่อลูกสุดรักจนพลั้งมือฆ่าคนเข้า เธอจึงยอมรับผิดติดคุกแทน แต่ครั้นเวลาผ่านไปนับสิบปี ฟ้าจึงเป็นใจให้เธอกลับมาเจอหน้าลูกอีกครั้ง ทว่าเขากลับลืมเธอเสียแล้ว..
28/07/56
The Cult
Mr. India (1988) / 179 min / Director: Shekhar Kapur
ส่วนผสมระหว่างหนังไซไฟ+หนังมาซาล่าขนานแท้ ออกมาเป็นหนังอินเดียคัลท์ที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่ง จากผู้กำกับ เชกการ์ การ์ปูร์ ที่ต่อมาไปทำหนังลิเกฝรั่งอย่าง Elizabeth (1998) แต่ก่อนหน้านั้น เขาเคยพาเราท่องสู่ดินแดนแห่งความพาฝัน, สนุกสนาน และเมามันสุดเหวี่ยงใน Mr.India เมื่อทายาทนักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบสูตรทำให้มนุษย์ล่องหนได้ นำสูตรดังกล่าวมาใช้กับตัวจนกลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่ต้องเผชิญกับจักรวรรดิ์วายร้ายสุดโฉด ด้วยลูกล่อลูกชนแพรวพราวตามสไตล์หนังอินเดีย, ฉากบู๊ระเบิดเมือง และเพลงเพราะๆ บวกกับไอเดียสุดล้ำตามสไตล์หนังไซไฟ เป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าหนังอินเดียก็โกไซไฟได้แจ๋วไม่แพ้ใครนะเออ
4/08/56
Mahabharata Saga
Raajneeti (2010) / 163 min / Director: Prakash Jha
งานดัดแปลงจากมหากาพย์มหาภารตะ เป็นหนังการเมืองทันสมัยที่เล่าความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองเก่าแก่ เกิดแตกหักนำสู่การแยกตัวของสมาชิกพรรคไปก่อตั้งพรรคใหม่ ยิ่งการเลือกตั้งงวดเข้ามามากเท่าไหร่ การแย่งชิงคะแนนเสียงยิ่งดุเดือดเลือดพล่านมากเท่านั้น นี่ไม่ใช่แค่เกมการเมืองบนกระดานแต่เดิมพันด้วยชีวิตของอีกฝ่าย จนกว่าจะล้างบางให้ตายตกตามกันไปข้าง ตัวหนังถูกวิจารณ์หนาหูว่านำเหตุการณ์จริงทางประวัติศาสตร์การเมืองอินเดียมาใช้ ทั้งการลอบสังหาร ราชีพ คานธี นายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของอินเดีย และการขึ้นสู่อำนาจของนาง โซเนีย คานธี ภรรยาชาวอิตาลีของนายราชีพ ที่เข้ามาเล่นการเมืองหลังสามีเสียชีวิต
11/08/56
The Director
ราช คาปูร์
Mera Naam Joker (1972) / 224 min / Director: Raj Kapoor
ผู้กำกับ-นักแสดง เจ้าของสมญา ‘ชาลี แชปลิน แห่งอินเดีย’ วางรากฐานหนังอินเดียยุคใหม่พร้อมๆ กับนำหนังอินเดียสู่ตลาดโลกคนแรกๆ ด้วยการเข้าชิง Palme d'Or ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ถึงสองครั้งในปี 1951 และ 1954 แม้ตอนทำ Mera Naam Joker เขาจะอายุ 47 ปีแล้ว หากหนังที่เจ้าตัวทั้งสร้าง, กำกับ และแสดงนำเองยังคงทรงพลังอย่างที่สุดจนเป็นมาสเตอร์พีชเรื่องสำคัญของอินเดีย ราช รับบทที่เหมือนล้อตัวเองกลายๆ กับบทบาทตัวตลกที่พยายามอย่างสุดความสามารถในการสร้างเสียงหัวเราะแก่ผู้ชม ทั้งที่ฉากหลังในชีวิตจริงผจญแต่ความขื่นขมจนน้ำตาเป็นสายเลือด
18/05/56
Tamil Cinema
Mullum Malarum (1978) / 143 min / Director: J. Mahendran
หนังรักซาบซึ้งผสมประเด็นทางชนชั้นในสังคมอินเดีย ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการหนังทมิฬ ซึ่งปรกติจะถูกมองเป็นลูกไล่หนังบอลลีวูด (หนังพูดภาษาฮินดี-มีฐานผลิตอยู่ที่เมืองมุมไบหรือชื่อเดิมคือบอมเบย์) เพราะนอกจากเนื้อหาจะหนักแน่นถึงแก่นประเด็นทางชนชั้น หนังยังสร้างซุปเปอร์สตาร์คนใหม่ที่จะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อวงการหนังทมิฬจวบจนปัจจุบันอย่าง Rajinikanth เขายิ่งใหญ่พอๆ กับ อมิตาป บาจัน ในวงการหนังบอลลีวูดอย่างไรอย่างนั้น แม้พักหลังๆ Rajinikanth จะหันไปเล่นหนังแอ็คชั่นเข้าขั้นคัลท์ไปแล้วก็ตาม แต่ทุกคนไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งบทบาทที่ดีสุดในชีวิตแกอยู่ในหนังเรื่องนี้!
25/08/56
Telugu Cinema
Magadheera (2009) / 166 min / Director: S.S. Rajamouli
วงการหนังเตลูกูโดดเด่นด้วยการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของเอเชีย มีบริษัททำงานด้านเทคนิคภาพยนตร์ใหญ่ติดอันดับโลก และมีเมืองหนังซึ่งถึงพร้อมในการถ่ายทำหนังทุกประเภท งานช่วงหลังๆ ของที่นี่จึงโดดเด่นด้วยงานด้านเทคนิค ผสมกับเรื่องเล่ามโหฬารข้ามภพชาติเช่น Magadheera เมื่อชาตินึงตัวเอกเป็นยอดนักรบ ชาติถัดมาเขาเป็นเพียงเด็กแว้นซ์ ทว่าเมื่อระลึกชาติได้ ความเก่งเทพในชาติก่อนก็กลับคืนมา ถึงขนาดสู้กับกลุ่มวายร้ายได้เป็นเบือ รวมทั้งพังเฮลิคอปเตอร์ร่วงกลางอากาศได้ด้วยรถจิ๊พคันเดียว!
1/09/56
Malayalam Cinema
Dr. Babasaheb Ambedkar (2000) / 179 นาที / Director: Jabbar Patel
ทุกคนล้วนรู้จักมหาตมะ คานธี แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าในวิธีการต่อสู้แบบสันติอหิงสานั้น ยังมีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลอีกคนร่วมยุคเดียวกันอย่าง Dr. Babasaheb Ambedkar โดยเฉพาะบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวชักนำให้ชนชั้น Dalit เปลี่ยนมานับถือพุทธ เพื่อลดช่องว่างทางวรรณะที่ศาสนาฮินดูสร้างไว้แก่พวกเขา เพื่อปลดแอกเป็นไทจากการกดขี่ทางสังคม ส่วนตัวหนังเต็มไปด้วยรายละเอียดทางการเมือง-สังคม และข้อแตกต่างทางชั้นชน ผ่านมุมมองของ Dr. Ambedkar ยังปรากฏบุคคลทางการเมืองสำคัญของอินเดียในยุคนั้นหลายต่อหลายคน รวมทั้งคานธีด้วย!See More
No comments:
Post a Comment