อันนี้เป็นสิ่งที่เราเขียนคุยกับน้องคนนึง
ก็เลยเอามาแปะไว้ในนี้ด้วย เผื่อมีคนงงกับเกรดของเรา 55555:
พี่ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นนักวิจารณ์น่ะครับ
พี่มองว่าตัวเองเป็น cinephile หรือคนชอบดูหนัง
และก็เลยให้เกรดตามระดับความชอบของตัวเองเป็นหลัก และพี่ก็ชอบหนังแต่ละเรื่องได้อย่างง่ายดายมากๆด้วย
เพราะถ้าพี่ไม่ชอบหนังง่ายๆ พี่ก็คงไม่กลายเป็น cinephile แบบนี้
พี่มีแนวคิดคล้ายๆกับฟิล์มซิคหรือ
Wiwat Filmsick
Lertwiwatwongsa น่ะครับ
นั่นก็คือการให้เกรดของเราจะคล้ายๆกับการนับคะแนนของฟุตบอล และตรงข้ามกับการนับคะแนนของยิมนาสติก
เพราะการนับคะแนนแบบยิมนาสติกจะดูว่า “หนังเรื่องนั้นมีจุดบกพร่องที่ตรงไหน”
แล้วก็หักคะแนนไปเรื่อยๆตามจุดบกพร่องนั้น
แต่การให้คะแนนแบบฟุตบอลจะไม่สนข้อบกพร่อง
เพราะการให้คะแนนแบบนี้จะสนแค่ว่า “หนังเรื่องนี้ทำให้เราฟินสุดๆหรือเปล่า”
ถ้าหนังเรื่องไหนทำให้เราฟินสุดๆ ถึงแม้มันจะมีข้อบกพร่องมากมายก่ายกอง เราก็จะให้
A+ กับมัน เหมือนกับการเล่นฟุตบอลที่ผู้เล่นอาจจะเล่นห่วยแตกเกือบตลอดเวลา
แต่อยู่ดีๆก็ยิงประตูชนะได้ในนาทีสุดท้ายน่ะครับ
เพราะฉะนั้นหนังเรื่องไหนที่ได้
A+ จากพี่ จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นหนังห่วยแตกก็ได้ครับ
แต่มันเป็นหนังห่วยแตกที่มันมีอะไรอย่างน้อยอย่างหนึ่งที่ทำให้พี่ฟินสุดๆกับมัน
และก็ยินดีที่จะมองข้ามข้อบกพร่องอื่นๆไป
คติของพี่ก็คือว่า
พี่ไม่ได้ไปดูหนังเพราะอยากดู “หนังดี” น่ะครับ พี่ไปดูหนังเพราะต้องการ pleasure จากหนัง ซึ่งหนังห่วยแตกหลายๆเรื่อง
(ถ้าวัดในแง่สุนทรียศาสตร์) มันก็ให้ pleasure กับเราได้ เพราะฉะนั้นเกรดของพี่ก็จะสูงตามระดับ pleasure ที่ได้จากหนังครับ แต่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลยกับคุณภาพของหนัง
555
A+30 = ชอบสุดๆ อาจจะติดอันดับประจำปี
A+25 = ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
A+20 = ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
A+15 = ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
A+10 = ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
A+5 = ชอบมากๆๆๆๆ
A+ = ชอบมาก
A+/A = ชอบเกือบมาก
A = ชอบปานกลาง
A/A- = ชอบเกือบปานกลาง
A- = ชอบเล็กน้อย
A-/B+ = เกือบๆจะชอบ
B+ = พอใช้ได้
B = เฉยๆ
...
F = รับไม่ได้อีกต่อไป
No comments:
Post a Comment