IN
BETWEEN (2014, Anuwat Amnajkasem, A+25)
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองเข้าใจหนังเรื่อง
“ระหว่างกัน” ถูกหรือเปล่า
เพราะเราไม่ค่อยได้ยินเสียงตัวละครคุยกัน แต่เราเข้าใจว่าตัวละครตัวนึงเพิ่งเลิกกับแฟน
แล้วเขาก็ตกอยู่ในความเศร้า ในขณะที่เพื่อนสนิทของพระเอก (ซึ่งเราไม่รู้ว่าพระเอกแอบชอบอยู่หรือเปล่า
เพราะพระเอกเหมือนมองเพื่อนด้วยสายตาแปลกๆ) ที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน
ก็ดูเหมือนไม่สามารถคลายความเศร้าของพระเอกลงได้
สิ่งที่เราชอบสุดๆใน
“ระหว่างกัน” ก็คือมันทำให้เรานึกถึงความรู้สึกแปลกแยกของตัวเองน่ะ
คือเรารู้สึกว่าพระเอกกับเพื่อนสนิทนั่งอยู่ในห้องเดียวกัน คุยกันบ้างเป็นบางครั้ง
แต่ก็เหมือนพระเอกกับเพื่อนต่างก็อยู่ใน bubble ของตัวเอง
พระเอกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยความเศร้าหรือความทุกข์ใจอะไรบางอย่าง
แล้วพระเอกก็ยังไม่สามารถเอาชนะความทุกข์ใจนั้นได้
แล้วเพื่อนพระเอกก็ไม่สามารถคลายความทุกข์ใจให้พระเอกด้วย
สิ่งที่เราชอบมากก็คือ
1.มันแสดงให้เห็นว่า
ความทุกข์ในใจคนเราบางครั้ง มันเอาชนะไม่ได้ง่ายๆ ก้าวพ้นไม่ได้ง่ายๆ
และเพื่อนสนิทก็ช่วยอะไรเราไม่ได้
(ซึ่งมันแตกต่างจากหนังเรื่องที่ฉายก่อนหน้าเรื่องนี้ ซึ่งก็คือเรื่อง “รองเท้าคู่เก่า”
ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชอบมาก แต่มันสรุปเรื่องด้วยการบอกว่า
เราสามารถก้าวพ้นความทุกข์จากการสูญเสียเพื่อนได้)
2.เราชอบหนังเหงาๆเศร้าๆ
ตัวละครเอกว้าเหว่ โดดเดี่ยว แต่เราเบื่อหนังที่แสดงความเหงาของตัวละครเอก
ด้วยการให้เห็นตัวละครเอกเดินอยู่บนสะพานลอยคนเดียว, เดินขึ้นบันไดคนเดียว
หรือเดินอยู่ท่ามกลางอะไรเวิ้งว้างคนเดียว เพราะความเหงาของคนเรานั้น
ถ้ามันเหงาจริง ถึงเราจะอยู่กับเพื่อนสนิท เราก็จะยังรู้สึกเหงาในใจเราอยู่ดี
ซึ่งหนังเรื่อง “ระหว่างกัน” นี่แหละ มันใช่เลย มันตอบโจทย์เราได้เป๊ะๆมากเลย
เพราะการจะสะท้อน empty
space ที่อยู่ในใจคนเราบางคนนั้น
มันไม่ควรจะต้องสะท้อนด้วยการให้ตัวละครตัวนั้นไปอยู่ท่ามกลาง empty space จริงๆ
มันต้องสะท้อนด้วยการให้ตัวละครตัวนั้นอยู่กับเพื่อนสนิทนี่แหละ
และถึงแม้ตัวละครตัวนั้นมันจะอยู่กับเพื่อนสนิท มันก็จะยังรู้สึกเหงาอยู่
รู้สึกทุกข์อยู่ และรู้สึกว่ามี empty space ที่กว้างใหญ่อยู่ในจิตวิญญาณของตัวเองอยู่ดี
ชอบฉากเครื่องปรับอากาศใน
“ระหว่างกัน” มากๆด้วย โดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มันติดตาติดใจเรามากๆ
และทำให้เรานึกถึงหนัง contemplative cinema แบบ INDIA
SONG (1974, Marguerite Duras) ที่จะมีฉากพัดลมเพดานหมุนช้าๆ อ้อยอิ่ง คือมันทำให้เราคิดว่า เออ
หนังที่สะท้อนความว่างเปล่าบางอย่างในจิตใจตัวละครที่เนื้อเรื่องมันเกิดในยุคเก่า
มันก็ใช้พัดลมเพดานหมุนช้าๆ แต่ถ้าหากเนื้อเรื่องมันเกิดในยุคปัจจุบัน มันก็ต้องไปจับภาพที่เครื่องปรับอากาศแบบในหนังเรื่อง
“ระหว่างกัน” หรือเปล่า 555
เท่าที่ดูหนังของคุณอนุวัชร์มา
4 เรื่อง ตอนนี้ชอบเรื่อง “ระหว่างกัน” มากที่สุดครับ
เพราะมันทำให้นึกถึงความเหงาหรือความรู้สึกแปลกแยกของตัวเอง ส่วนอีก 3 เรื่องนั้น
1.DISPOSABLE เรื่องนี้ชอบน้อยสุด
คือเรื่องนี้เราชอบการเสียดสีคนกรุงที่ต้านเขื่อน แต่ใช้ไฟฟ้าสิ้นเปลือง
แต่การสะท้อนภาพชนบทด้วยภาพเด็กที่ใช้ถ่านไฟฉายฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ท่ามกลางท้องทุ่งเขียวขจี
มันเป็นการสะท้อนภาพชนบทที่ดู stereotype ยังไงไม่รู้
2.CAPTURE
เรื่องนี้ชอบมากพอสมควร
แต่ประเด็นเรื่องการรับน้องเป็นประเด็นที่ค่อนข้างเฝือนิดหน่อย และเราเป็นคนที่มักชอบหนังที่เน้นการดำดิ่งไปในห้วงอารมณ์ความรู้สึกอะไรสักอย่าง
มากกว่า “หนังที่เน้นประเด็น” หรือ “หนังที่เน้นเนื้อเรื่อง” เราก็เลยชอบ “ระหว่างกัน”
มากกว่า
3.WHERE IS MY SHORTS? เรื่องนี้ชอบมากๆ
ฉากที่นางเอกแอบดูพระเอกเปลี่ยนกางเกง เป็นฉากที่คลาสสิคฉากนึงในความเห็นของเรา
555 แต่เราไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบตัวละครในหนังเรื่องนี้ เราก็เลยอาจจะชอบ “ระหว่างกัน”
มากกว่าหนังเรื่องนี้นิดนึง แต่ในอนาคต เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า “ระหว่างกัน”
ก็ได้ ยังไม่แน่เหมือนกัน :-)
No comments:
Post a Comment