MOM, I WANT
TO BE A CHAMELEON
แม่ครับ
ผมอยากเป็นกิ้งก่า (2023, Kulapat Aimmanoj, 112min, A+30)
1.ชอบมาก ๆ ที่ตัว setting ของมันจริง ๆ
แล้วเอื้อให้เป็นหนัง action thriller X-MEN มาก ๆ
เพราะโลกอนาคตที่มีเทคโนโลยีแบบนี้สามารถใช้เป็น setting ของเรื่องราวของโลกที่ตัวละครแต่ละตัวมีอิทธิฤทธิ์แตกต่างกันไป
และต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงได้ 555 แต่หนังเรื่องนี้เลือกที่จะไม่ไปในทางนั้น
2.จุดนึงที่เราชอบในหนัง ก็คือว่า จริง ๆ แล้วในช่วงครึ่งแรกของเรื่อง
เราก็ไม่แน่ใจว่าเราควรจะเข้าข้าง "ฝ่ายสนับสนุน CHIMERA" หรือไม่ 555 มันก็เลยสร้าง dilemma ในใจเราได้ดี ซึ่งมันจะแตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เรารู้ได้ง่าย ๆ
ตั้งแต่แรกว่าเราจะเข้าข้างตัวละครฝ่ายไหน
หรือเราลงความเห็นได้เลยว่าเราสนับสนุนแนวคิดของฝ่ายไหน โดยเฉพาะหนังย้อนยุค
ที่พูดถึงการเรียกร้องสิทธิสตรี, สิทธิคนดำ และสิทธิเกย์
คือพอตัวละครในหนังเรื่องนี้มันเรียกร้องสิทธิที่ล้ำยุคล้ำสมัยมาก
ๆ และเราไม่มีข้อมูลมากพอเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ ของ Chimera เราก็เลยลงความเห็นไม่ได้ว่า เราควรเข้าข้างฝ่ายนางเอกหรือไม่ในช่วงแรก ๆ
ของเรื่อง
เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึก
"ตัดสินใจไม่ได้" แบบนี้ เหมือนมันเลือกประเด็นที่ยากกว่าหนังทั่วไป
และทำให้เรานึกถึงสิ่งที่พวก homophobia ชอบมาแสดงความเห็นว่า
"ถ้าออกกฎหมายให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้
เดี๋ยวต่อไปก็จะมีการออกกฎหมายให้คนแต่งงานกับหมาได้, คนในครอบครัวเดียวกันแต่งงานกันได้,
etc." คือเหมือนหนังเรื่องนี้หยิบสิ่งที่พวก homophobia
พูด มาขยับขยายให้มันเข้าใกล้ความเป็นจริงขึ้นมา
เราก็เลยรู้สึกตัดสินใจได้ยากว่าเราควรจะเข้าข้างตัวละครฝ่ายไหนในหนัง
3.เราค่อยมาแน่ใจว่าเราจะเข้าข้างฝ่ายนางเอก
ก็ต่อเมื่อหนังเผยกลุ่มตัวร้ายออกมา
แล้วกลุ่มตัวร้ายมันดูคล้ายกับพวกที่ต่อต้านสิทธิเสรีภาพในด้านอื่น ๆ มาก ๆ หรือมันดูเลวอย่างเห็นได้ชัด
555
4.ชอบมาก ๆ
ด้วยที่หนังเลือกให้แม่ที่เลี้ยงพระเอกมาเป็นผู้หญิงข้ามเพศหรืออะไรทำนองนี้
แต่เธอต่อต้านสิทธิเสรีภาพของพระเอก เพราะจุดนี้ทำให้เรานึกถึง queer หลาย ๆ คนที่อาจจะสนับสนุนสิทธิเกย์ แต่ต่อต้านประชาธิปไตย 55555
5.ชอบที่หนังเล่นท่ายากด้วยการทำให้ตัวละครพระเอกเป็นคนที่ unlikeable
มาก ๆ ด้วย
มันก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่มีใครให้เราเอาใจช่วยเลย
เพราะพระเอกก็นิสัยไม่ดี เทคโนโลยีล้ำยุคในหนังเราก็ยังไม่ไว้วางใจ
และหนังเองก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับตัวละครตัวไหนในแบบที่ทำให้เราเห็นใจและอยากเอาใจช่วย
เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จงใจเล่นท่ายากกว่าหนังทั่วไป แต่ทำออกมาได้สำเร็จ
และเรารู้สึกว่าการสร้างตัวละครพระเอกแบบนี้ทำให้หนังออกมาไม่แบนเกินไปด้วย
คือเรารู้สึกว่าตัวละครพระเอกไม่ใช่ “คนทั่วไปในสังคม” หรือไม่ใช่มาตรวัดที่จะมาตัดสินได้ว่า
chimera ดีหรือไม่ดีน่ะ คือมันเหมือนมีทางเลือกอีก 2 ทางในการสร้างหนังเรื่องนี้
ซึ่งก็คือการสร้างตัวละครพระเอกที่สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วย chimera หรือไม่ก็สร้างตัวละครพระเอกและตัวละครอื่น ๆ ที่ชีวิตถูกทำลายด้วย chimera
เพื่อที่หนังจะได้หา “ข้อสรุปง่าย ๆ” ให้กับเทคโนโลยีในหนังเรื่องนี้ว่ามันดีหรือไม่ดี
แต่หนังเรื่องนี้ไม่เลือกที่จะหาข้อสรุปง่าย ๆ แบบนั้น และเลือกที่จะนำเสนอตัวละครพระเอกที่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเทคโนโลยีล้ำยุคล้ำสมัยนี้
เขาก็น่าจะทุกข์ทรมานอยู่ดี เราก็เลยรู้สึกว่าตัวละครพระเอกในหนังเรื่องนี้ทำให้หนัง
“ยาก” ดี เพราะเราก็ไม่ชอบเขา, ไม่อินกับเขา, ไม่เอาใจช่วยเขา และตัวละครตัวนี้ก็ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่าหนังที่ชูประเด็นเรื่อง
“ชีวจริยธรรม” อะไรทำนองนี้ด้วย คือเหมือนเขาเป็นมนุษย์ที่มีความซับซ้อนมากเกินไปกว่าที่จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้ในการตัดสินความถูกต้องชอบธรรมของประเด็นใด
ๆ ได้โดยง่าย
6. รู้สึกว่าการแสดงในหนังเรื่องนี้มันมีความ over dramatic นึกว่าแผดอารมณ์ระดับเดียวกันกับหนัง Ingmar Bergman ซึ่งใช้การแสดงแบบ "กึ่ง ๆ ละครเวที" เหมือนกัน
แต่พอนักแสดงทุกคนเล่นได้ดีมากและออกมาในแบบ over dramatic เหมือนกัน
เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นสไตล์เฉพาะของหนังเรื่องนี้
7.ตัวนักแสดงที่เล่นเป็นพระเอก เล่นดีมาก ๆ เพราะบทมันหนักมาก ๆ คนอื่น ๆ
ก็เล่นดีมากเหมือนกัน ชอบที่หลาย ๆ ฉากเลือกถ่ายแบบ long take นักแสดงเลยปล่อยฝีมือกันแบบเต็มที่เหมือนละครเวที
8.ชอบฉากที่พระเอกเต้นในคลับในช่วงท้ายเรื่องด้วย
รู้สึกว่าฉากนั้นมันทรงพลังในแง่ visual มาก ๆ ด้วย
ในขณะที่ฉากอื่น ๆ ในหนังอาจจะทรงพลังในทาง "การแสดง" เป็นหลัก
แต่ฉากนี้มันมีพลังทาง visual เสริมเข้ามาอย่างมาก ๆ
9.สรุปว่าชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้เหมือนไม่ได้ให้คำตอบหรือทางเลือกง่าย ๆ
ให้กับเรา คือดูแล้วเราก็รู้สึกว่า เทคโนโลยี chimera ในหนังมันก็มีข้อดีอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะในทางการแพทย์ และเราก็ไม่ควรด่วนต่อต้านอะไรเร็วเกินไป แต่เทคโนโลยีใด ๆ
ก็ตาม ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถขจัดความทุกข์บางอย่างในใจมนุษย์ได้อยู่ดี
เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้มันดูเหมือนจะสอดคล้องกับความเชื่อของเราที่มีต่อเทคโนโลยี
และความเชื่อของเราที่มีต่อมนุษย์
คือเราเชื่อว่า
ในอนาคตก็คงจะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ออกมา ซึ่งอาจจะไม่ใช่ chimera แต่เป็นเทคโนโลยีอะไรก็ได้ อย่างเช่น AI, etc. และทุก
ๆ เทคโนโลยีก็จะมีความเป็นดาบสองคม มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน
มีการถกเถียงปะทะกันถึงวิธีการใช้ที่เหมาะสม, ขอบเขตของมัน, ควรเปิดเสรีถึงระดับไหน
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่าง ๆ จะนำมาซึ่งการปะทะกันทางความคิดเพื่อหาขอบเขตและวิธีการใช้ที่เหมาะสมของมัน
และเทคโนโลยีอันล้ำหน้านี้ก็จะทำให้มนุษย์หลาย ๆ คนมีความสุข แต่มันก็อาจจะสร้างปัญหาใหม่ๆ ได้ด้วย และก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างให้กับมนุษย์บางคนได้อยู่ดี
โดยเฉพาะ “ปัญหาทางจิต”
No comments:
Post a Comment