Sunday, May 26, 2024

MOM, I WANT TO BE A CHAMELEON

 

MOM, I WANT TO BE A CHAMELEON

แม่ครับ ผมอยากเป็นกิ้งก่า (2023, Kulapat Aimmanoj, 112min, A+30)

 

1.ชอบมาก ๆ ที่ตัว setting ของมันจริง ๆ แล้วเอื้อให้เป็นหนัง action thriller X-MEN มาก ๆ เพราะโลกอนาคตที่มีเทคโนโลยีแบบนี้สามารถใช้เป็น setting ของเรื่องราวของโลกที่ตัวละครแต่ละตัวมีอิทธิฤทธิ์แตกต่างกันไป และต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงได้ 555 แต่หนังเรื่องนี้เลือกที่จะไม่ไปในทางนั้น

 

2.จุดนึงที่เราชอบในหนัง ก็คือว่า จริง ๆ แล้วในช่วงครึ่งแรกของเรื่อง เราก็ไม่แน่ใจว่าเราควรจะเข้าข้าง "ฝ่ายสนับสนุน CHIMERA" หรือไม่ 555 มันก็เลยสร้าง dilemma ในใจเราได้ดี ซึ่งมันจะแตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เรารู้ได้ง่าย ๆ ตั้งแต่แรกว่าเราจะเข้าข้างตัวละครฝ่ายไหน หรือเราลงความเห็นได้เลยว่าเราสนับสนุนแนวคิดของฝ่ายไหน โดยเฉพาะหนังย้อนยุค ที่พูดถึงการเรียกร้องสิทธิสตรี, สิทธิคนดำ และสิทธิเกย์

 

คือพอตัวละครในหนังเรื่องนี้มันเรียกร้องสิทธิที่ล้ำยุคล้ำสมัยมาก ๆ และเราไม่มีข้อมูลมากพอเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ ของ Chimera เราก็เลยลงความเห็นไม่ได้ว่า เราควรเข้าข้างฝ่ายนางเอกหรือไม่ในช่วงแรก ๆ ของเรื่อง

เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึก "ตัดสินใจไม่ได้" แบบนี้ เหมือนมันเลือกประเด็นที่ยากกว่าหนังทั่วไป และทำให้เรานึกถึงสิ่งที่พวก homophobia ชอบมาแสดงความเห็นว่า "ถ้าออกกฎหมายให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ เดี๋ยวต่อไปก็จะมีการออกกฎหมายให้คนแต่งงานกับหมาได้, คนในครอบครัวเดียวกันแต่งงานกันได้, etc." คือเหมือนหนังเรื่องนี้หยิบสิ่งที่พวก homophobia พูด มาขยับขยายให้มันเข้าใกล้ความเป็นจริงขึ้นมา เราก็เลยรู้สึกตัดสินใจได้ยากว่าเราควรจะเข้าข้างตัวละครฝ่ายไหนในหนัง

 

3.เราค่อยมาแน่ใจว่าเราจะเข้าข้างฝ่ายนางเอก ก็ต่อเมื่อหนังเผยกลุ่มตัวร้ายออกมา แล้วกลุ่มตัวร้ายมันดูคล้ายกับพวกที่ต่อต้านสิทธิเสรีภาพในด้านอื่น ๆ มาก ๆ หรือมันดูเลวอย่างเห็นได้ชัด 555

 

4.ชอบมาก ๆ ด้วยที่หนังเลือกให้แม่ที่เลี้ยงพระเอกมาเป็นผู้หญิงข้ามเพศหรืออะไรทำนองนี้ แต่เธอต่อต้านสิทธิเสรีภาพของพระเอก เพราะจุดนี้ทำให้เรานึกถึง queer หลาย ๆ คนที่อาจจะสนับสนุนสิทธิเกย์ แต่ต่อต้านประชาธิปไตย 55555

 

5.ชอบที่หนังเล่นท่ายากด้วยการทำให้ตัวละครพระเอกเป็นคนที่ unlikeable มาก ๆ ด้วย มันก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่มีใครให้เราเอาใจช่วยเลย เพราะพระเอกก็นิสัยไม่ดี เทคโนโลยีล้ำยุคในหนังเราก็ยังไม่ไว้วางใจ และหนังเองก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับตัวละครตัวไหนในแบบที่ทำให้เราเห็นใจและอยากเอาใจช่วย เราก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จงใจเล่นท่ายากกว่าหนังทั่วไป แต่ทำออกมาได้สำเร็จ

 

และเรารู้สึกว่าการสร้างตัวละครพระเอกแบบนี้ทำให้หนังออกมาไม่แบนเกินไปด้วย คือเรารู้สึกว่าตัวละครพระเอกไม่ใช่ “คนทั่วไปในสังคม” หรือไม่ใช่มาตรวัดที่จะมาตัดสินได้ว่า chimera ดีหรือไม่ดีน่ะ คือมันเหมือนมีทางเลือกอีก 2 ทางในการสร้างหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็คือการสร้างตัวละครพระเอกที่สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ด้วย chimera หรือไม่ก็สร้างตัวละครพระเอกและตัวละครอื่น ๆ ที่ชีวิตถูกทำลายด้วย chimera เพื่อที่หนังจะได้หา “ข้อสรุปง่าย ๆ” ให้กับเทคโนโลยีในหนังเรื่องนี้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่หนังเรื่องนี้ไม่เลือกที่จะหาข้อสรุปง่าย ๆ แบบนั้น และเลือกที่จะนำเสนอตัวละครพระเอกที่ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเทคโนโลยีล้ำยุคล้ำสมัยนี้ เขาก็น่าจะทุกข์ทรมานอยู่ดี เราก็เลยรู้สึกว่าตัวละครพระเอกในหนังเรื่องนี้ทำให้หนัง “ยาก” ดี เพราะเราก็ไม่ชอบเขา, ไม่อินกับเขา, ไม่เอาใจช่วยเขา และตัวละครตัวนี้ก็ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่าหนังที่ชูประเด็นเรื่อง “ชีวจริยธรรม” อะไรทำนองนี้ด้วย คือเหมือนเขาเป็นมนุษย์ที่มีความซับซ้อนมากเกินไปกว่าที่จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้ในการตัดสินความถูกต้องชอบธรรมของประเด็นใด ๆ ได้โดยง่าย

 

6. รู้สึกว่าการแสดงในหนังเรื่องนี้มันมีความ over dramatic นึกว่าแผดอารมณ์ระดับเดียวกันกับหนัง Ingmar Bergman ซึ่งใช้การแสดงแบบ "กึ่ง ๆ ละครเวที" เหมือนกัน แต่พอนักแสดงทุกคนเล่นได้ดีมากและออกมาในแบบ over dramatic เหมือนกัน เราก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นสไตล์เฉพาะของหนังเรื่องนี้

 

7.ตัวนักแสดงที่เล่นเป็นพระเอก เล่นดีมาก ๆ เพราะบทมันหนักมาก ๆ คนอื่น ๆ ก็เล่นดีมากเหมือนกัน ชอบที่หลาย ๆ ฉากเลือกถ่ายแบบ long take นักแสดงเลยปล่อยฝีมือกันแบบเต็มที่เหมือนละครเวที

 

8.ชอบฉากที่พระเอกเต้นในคลับในช่วงท้ายเรื่องด้วย รู้สึกว่าฉากนั้นมันทรงพลังในแง่ visual มาก ๆ ด้วย ในขณะที่ฉากอื่น ๆ ในหนังอาจจะทรงพลังในทาง "การแสดง" เป็นหลัก แต่ฉากนี้มันมีพลังทาง visual เสริมเข้ามาอย่างมาก ๆ

 

9.สรุปว่าชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้เหมือนไม่ได้ให้คำตอบหรือทางเลือกง่าย ๆ ให้กับเรา คือดูแล้วเราก็รู้สึกว่า เทคโนโลยี chimera ในหนังมันก็มีข้อดีอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในทางการแพทย์ และเราก็ไม่ควรด่วนต่อต้านอะไรเร็วเกินไป แต่เทคโนโลยีใด ๆ ก็ตาม ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถขจัดความทุกข์บางอย่างในใจมนุษย์ได้อยู่ดี เราก็เลยชอบมากที่หนังเรื่องนี้มันดูเหมือนจะสอดคล้องกับความเชื่อของเราที่มีต่อเทคโนโลยี และความเชื่อของเราที่มีต่อมนุษย์

 

คือเราเชื่อว่า ในอนาคตก็คงจะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ออกมา ซึ่งอาจจะไม่ใช่ chimera แต่เป็นเทคโนโลยีอะไรก็ได้ อย่างเช่น AI, etc. และทุก ๆ เทคโนโลยีก็จะมีความเป็นดาบสองคม มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้าน มีการถกเถียงปะทะกันถึงวิธีการใช้ที่เหมาะสม, ขอบเขตของมัน, ควรเปิดเสรีถึงระดับไหน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่าง ๆ จะนำมาซึ่งการปะทะกันทางความคิดเพื่อหาขอบเขตและวิธีการใช้ที่เหมาะสมของมัน และเทคโนโลยีอันล้ำหน้านี้ก็จะทำให้มนุษย์หลาย ๆ คนมีความสุข แต่มันก็อาจจะสร้างปัญหาใหม่ๆ  ได้ด้วย และก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างให้กับมนุษย์บางคนได้อยู่ดี โดยเฉพาะ “ปัญหาทางจิต”

 

 

No comments: