Sunday, April 13, 2025

MOST FAVORITE FILMS ABOUT EARTHQUAKES

 

SNOW WHITE เวอร์ชั่นแรกที่เราเคยดูในชีวิตก็คืออันนี้ เราน่าจะได้ดูโฆษณานี้ทางโทรทัศน์ในราว ๆ ปี 1977

 

ขอยกให้ “กระจกวิเศษ” (แป้งน้ำ ควินนา) (สรรพสิริ วิริยะสิริ, animation, A+30) เป็น one of my most favorite Thai animations of all time

 

แต่อยากรู้ปีที่แน่นอนของ animation นี้ เพราะคนแปะคลิปนี้ในยูทูบมันบอกว่าปี 1957 แต่เราได้ดู animation นี้ตอนเราเด็กๆ ราว ๆ ปี 1977 เราก็เลยคิดว่าคนแปะคลิปนี้ในยูทูบน่าจะลงปีผิด

 

Comment บอกว่า คนพากย์คือคุณอำรุง เกาไศยนันท์ กับคุณมาลี ผกาพันธ์

 

สรุปว่า ชอบ animation โฆษณานี้อย่างรุนแรงมาก ๆ เพราะ

 

1. มันเป็น animation ยุคโบราณของไทย ซึ่งถือเป็น rare item อย่างหนึ่ง 55555

 

2. ชอบ script โฆษณามาก ๆ ที่มีการใช้คำคล้องจองกัน

 

3. ชอบเสียงพากย์มาก ๆ ด้วย

 

ขอยกให้งานภาพเคลื่อนไหวนี้ ถือเป็น classic Thai animation และ classic Thai advertisement ด้วย

 

https://www.youtube.com/watch?v=Wsvid1c03wg

+++++++

 

BAD TASTE (2024, Pattanapong Khongsak, 6min, A+25)

 

ตอนช่วงแรก ๆ ของหนัง เราจะรู้สึกงง ๆ เพราะว่าเราเป็นคนที่ชอบสีน้ำเงินและสีม่วงอย่างรุนแรง เรามองว่าสองสีนี้สวยดี และเราก็ชอบกิน blueberry อย่างรุนแรงด้วย เราชอบกินอะไรทุกอย่างที่เป็นรส blueberry เพราะฉะนั้นช่วงแรก ๆ ของหนังเราก็จะงง ๆ ว่า ทำไมหนังเรื่องนี้ทำท่าทางรังเกียจอาหารสองสีนี้

 

พอตอนจบหนังขึ้น text บางอย่าง เราก็เลยเพิ่งเข้าใจหนังเรื่องนี้ในตอนจบ

++++

 

พออ่านข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง Samsung กับบริษัทผู้ผลิตสินค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราก็เลยนึกถึงหนังเรื่อง NOTES FROM GOG MAGOG (2023, Riar Rizaldi, Indonesia, A+30) ที่เพิ่งเข้ามาฉายในกรุงเทพในปีที่แล้ว และพอข่าวนี้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้กับเวียดนาม เราก็เลยนึกถึงหนังเรื่อง THE ROUNDUP (2022, Lee Sang-yong, South Korea, A+30) ด้วย

+++

 

พอดูหนังเรื่อง “เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊” เราก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนเด็ก ๆ เราเคยได้ยินคนพูดถึง “พระนางพญา” บ่อย ๆ พอ google ดูเราถึงเพิ่งรู้ว่า “พระนางพญา” สร้างโดยพระวิสุทธิกษัตริย์ ซึ่งเป็นแม่ของสมเด็จพระนเรศวร สร้างตั้งแต่ราวค.ศ. 1548 หรือก่อน “เชคสเปียร์” เกิดเสียอีก (เชคสเปียร์เกิดปี 1564) ปัจจุบันนี้พระนางพญาน่าจะมีอายุราว 477 ปีแล้ว

 

 

https://kinyupen.co/2020/01/06/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3/

++++++++++

 

เปรียบเทียบ “พระเครื่องปลอม” กับ “ความรัก”

 

พอเราได้ดู THE STONE เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊ (2025, Arak Amornsupasiri, Vuthipong Sukhanindr, A+30) เราก็รู้สึกดีใจอย่างสุดขีด สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะว่าเราชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ และอีกสาเหตุหนึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความดีงามของหนังเรื่องนี้โดยตรง แต่เป็นเพราะว่า หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า “การทำหนังเกี่ยวกับวงการพระเครื่องปลอม” เป็นสิ่งที่ทำได้แล้วในไทยในยุคปัจจุบัน หนังเกี่ยวกับประเด็นนี้ไม่โดนเซ็นเซอร์อีกต่อไปแล้ว

 

คือเราก็ไม่รู้ว่า ถ้าหากมีคนทำหนังประเด็นเดียวกันนี้ในอดีต มันจะโดนเซ็นเซอร์หรือเปล่านะ แต่อย่างน้อยการที่มีหนังเรื่องนี้ออกมาในปีนี้ มันก็แสดงให้เห็นว่า ประเด็นนี้ไม่ได้เป็น taboo ของหนังไทยอีกต่อไป

 

ดูอย่างการทำขนมอาลัวพระเครื่องเมื่อปี 2021 ก็ยังเจอปัญหาเลย

https://www.prachachat.net/general/news-657747

 

ที่เราอยากให้ประเด็นนี้ไม่เป็น taboo ของหนังไทย เพราะเราอยากให้มีคนนำนวนิยายเรื่อง “สมมุติว่า เขารักฉัน” (1976, กฤษณา อโศกสิน) มาดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์น่ะ

 

“สมมุติว่า เขารักฉัน” ถือเป็นหนึ่งในนวนิยายที่เราชื่นชอบมากที่สุดในชีวิต เราอ่านนิยายเรื่องนี้ตอนที่เราเรียนชั้นมัธยม เมื่อราว 35-40 ปีก่อน อ่านแล้วก็ตายไปเลย กราบตีนอย่างถึงที่สุด และเราก็อยากให้มีคนนำนิยายเรื่องนี้มาดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์หรือ series มาก ๆ แต่ก็ไม่มีคนนำมาดัดแปลงสร้างสักที ในขณะที่นิยายอย่าง “เมียหลวง” ของกฤษณา อโศกสิน ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์ และละครเวทีไปแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน

 

ซึ่งเราก็เดาเอาเองว่า สาเหตุที่ “สมมุติว่า เขารักฉัน” ไม่ถูกนำมาดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์หรือละคร อาจจะเป็นเพราะว่า นิยายเรื่องนี้ พูดถึง “อุตสาหกรรมการปลอมแปลงพระเครื่อง” และมีฉากที่รุนแรงมาก ๆ เกี่ยวกับพระพุทธรูปอยู่ในนิยายเรื่องนี้ เป็นฉากในความฝันของนางเอก (ถ้าจำไม่ผิด)

 

คือเราอ่านนิยายเรื่องนี้เมื่อ 35-40 ปีก่อนนะ เราก็เลยอาจจะจำเนื้อหาผิดพลาดไปบ้าง แต่ถ้าหากเราจำไม่ผิด นิยายเรื่องนี้ พูดถึง ปูมแก้ว หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงมาโดยคุณตาที่ทำอาชีพปลอมแปลงพระเครื่อง ในตัวนิยายมีการพูดถึงวิธีการต่าง ๆ ในการปลอมแปลงพระเครื่อง อย่างเช่น พอคุณตาหล่อพระเครื่องเสร็จ ก็จะเอาพระเครื่องไปแช่ในรางน้ำ เพื่อให้พระเครื่องดูมีคราบเก่า ๆ ดูเป็นของโบราณ อะไรทำนองนี้

 

แล้วถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด นิยายเรื่องนี้อาจจะต้องการเปรียบเทียบ “คุณค่าของพระเครื่องปลอม” กับ “ความรัก” น่ะ (แต่เราอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้นะ หรืออาจจะคิดเกินเลยจากนิยายมากเกินไปเอง 55555)  คือพระเครื่องปลอม มันอาจจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ในฐานะ “ก้อนดิน” ก้อนหนึ่ง แต่มันอาจจะไม่ได้มีคุณค่าในตัวมันเองจริง ๆ แต่มันมี “ราคา” ขึ้นมาได้ เพราะคนต่าง ๆ ไปให้ค่ากับมันเอง ราคาของมัน จึงเกิดจาก “สิ่งสมมุติ” เกิดจาก “ทัศนคติของคนที่มีต่อมัน” เกิดจาก “ความเชื่อของคนที่มีต่อมัน” เกิดจาก “ความศรัทธาของคนที่มีต่อมัน” พระเครื่องปลอมนั้นไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์กันกระสุนได้จริง ๆ ราคาของมันล้วนเกิดจาก “สิ่งสมมุติ” เกิดจาก “การที่คนต่าง ๆ ไปเชื่อถือศรัทธา ไปให้ค่า” กับมันเอง

 

คล้าย ๆ กับ “ความรัก” เพราะคุณค่าที่คนต่าง ๆ ไปมอบให้กับ “ความรัก” มันก็เป็นสิ่งสมมุติอย่างหนึ่งหรือเปล่า มันขึ้นอยู่กับคนแต่ละคนเองว่าจะให้ค่ากับความรักนั้น ๆ มากน้อยแค่ไหน ความรักนั้น ๆ ไม่ได้มีคุณค่าหรือราคาที่เสถียรตายตัวในตัวมันเอง แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนแต่ละคนไปให้ค่ากับความรักนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด

 

ตัวละครปูมแก้วในนิยายเรื่องนี้ หลงรักชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างหัวปักหัวปำ และเราเดาเอาเองว่า ความรักของเธอในนิยายเรื่องนี้ ในแง่หนึ่งก็คล้าย ๆ กับ “พระเครื่องปลอม” เพราะว่าปูมแก้วหลงคิดไปเองว่า ชายหนุ่มคนนั้นรักเธอ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว ผู้ชายคนนั้นอาจจะไม่ได้รักเธอจริง “ความรักที่เขามีให้เธอ” ไม่ใช่ของจริง มันเป็น “พระเครื่องปลอม” มันเป็น “สิ่งสมมุติ”

 

และถึงแม้ว่าความรักที่ปูมแก้วมีให้กับชายหนุ่มคนนั้น อาจจะเป็น “ของจริง” แต่คุณค่าของความรักนั้นก็เป็นสิ่งสมมุติในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน เพราะความรักที่เขามีให้กับเธอนั้น แท้จริงแล้ว มันไม่ใช่ “สิ่งจำเป็นต่อชีวิต” หรือ “สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต”  เพราะถึงแม้ผู้ชายคนนั้นไม่ได้รักเธอ เธอก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ หาเลี้ยงชีพได้ หาความสุขในแบบของตัวเองได้ “ความรักที่ชายหนุ่มคนนั้นมีให้กับเธอ” มันไม่ใช่ “สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต” ที่พอขาดไปแล้วร่างกายของเธอจะต้องตาย เหมือนขาดอาหาร, น้ำ, อากาศ, ออกซิเจน อะไรทำนองนี้ ถึงแม้ว่าเขาไม่รักเธอ เธอก็ไม่ตาย และเธอก็สามารถมีชีวิตที่ดีและมีความสุขได้ในแบบของตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความรักจากเขาด้วย “ความรักระหว่างเขาและเธอ” แท้จริงแล้ว มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตหรือมีคุณค่าต่อชีวิตมากน้อยเพียงใดกันแน่ หรือคุณค่าของมันที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียง “สิ่งสมมุติ” อย่างหนึ่งที่เราอาจจะเคยหลงตีราคามันจนสูงเกินจริงไปลิบลิ่วในอดีตในช่วงที่เราตกหลุมรักเขา

 

เราก็เลยรู้สึกว่า นิยายเรื่องนี้พูดถึง “พระเครื่องปลอม”, “ความรัก” และ “สิ่งสมมุติ” ได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ แต่เราอาจจะตีความนิยายเรื่องนี้ผิด หรือเราอาจจะคิดฟุ้งซ่านมากเกินไปเองตอนที่อ่านนิยายเรื่องนี้ก็ได้นะ 55555 เพราะเราอ่านนิยายเรื่องนี้เมื่อราวปี 1988 หรือเมื่อ 37 ปีก่อน นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ต้องการพูดถึงประเด็นข้างต้นก็ได้ แต่นิยายเรื่องนี้กระตุ้นให้เราคิดถึงประเด็นเหล่านี้โดยที่ตัวนิยายเองอาจจะไม่ได้ตั้งใจ

 

และเราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าหากปีนี้มีการสร้างหนังอย่าง “เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊” ออกมาได้ นิยายเรื่อง “สมมุติว่า เขารักฉัน” ก็น่าจะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ได้โดยไม่โดนเซ็นเซอร์ด้วยเช่นกัน

 

และเราคิดว่า อีกปัญหาหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในการดัดแปลงสร้างนิยายเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ อาจจะเป็นเพราะ “ฉาก climax” ฉากหนึ่งในนิยายเรื่องนี้ ซึ่งเป็นฉากความฝันที่รุนแรงมาก ๆ ของนางเอก เป็นฉากที่มีพระพุทธรูปอยู่ในความฝันนั้นด้วย (แต่ไม่รู้ว่าเราจำผิดหรือเปล่านะ)

 

เราจำได้ว่า เซ็นเซอร์ไทยและกบว.ไทยในยุคนั้น sensitive มาก ๆ เกี่ยวกับฉากพระพุทธรูป อย่างเช่นตอนที่ “โปเยโปโลเย ภาคสอง” (1990, Ching Siu-tung) มาฉายทางโทรทัศน์ เราจำได้ว่ามันมีฉากบางฉากถูกตัดออกไป ซึ่งน่าจะเป็นฉากที่ปีศาจจำแลงกายมาในรูปแบบคล้าย ๆ พระพุทธรูป ถ้าหากเราจำไม่ผิด เราก็เลยคิดว่า ในยุคนั้น การนำนิยายเรื่อง “สมมุติว่า เขารักฉัน” มาดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์ น่าจะทำไม่ได้ แต่เราคิดว่ายุคนี้น่าจะทำได้แล้ว

 

ความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิยายเรื่อง “สมมุติว่า เขารักฉัน”

 

1. นอกจากการพูดถึง “คุณค่าอันเป็นสิ่งสมมุติ” ของ “พระเครื่องปลอม” และ “ความรัก” แล้ว นิยายเรื่องนี้ยังพูดถึง “คุณค่าอันเป็นสิ่งสมมุติ” ของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตคนด้วย พวก “ลาภ” “ยศ” “สรรเสริญ” อะไรทำนองนี้ เหมือนนิยายเรื่องนี้บอกว่า “ทัศนคติที่คนอื่น ๆ มองเรา” เป็น “สิ่งสมมุติ” อย่างหนึ่ง มันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญจริง ๆ สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือ “ความนับถือตัวเอง” ต่างหาก

 

2. ฉาก climax ในนิยายเรื่องนี้มีหลายฉาก นอกจากฉาก “ความฝันอันรุนแรงมาก ๆ ของนางเอก” แล้ว ก็มีฉาก “นางเอกสติขาดผึง อาละวาดตบคนอย่างรุนแรง” ด้วย

 

คือนางเอกทำงานเป็นประชาสัมพันธ์โรงแรมมั้ง ถ้าเราจำไม่ผิดนะ แล้วเป็นงานที่เครียดมาก ต้องคอยรับแรงกดดันจากคนต่าง ๆ แล้วพอถึงกลางเรื่อง นางเอกก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นมาจิกหัวตบคนต่าง ๆ ในที่ทำงานอย่างรุนแรง

 

คือเราอ่านแล้วอินมากกับฉากนี้ และคิดว่า “สาวออฟฟิศ” หลายคน อาจจะอินมาก ๆ กับฉากนี้เหมือนอย่างเราก็ได้ แบบว่า “กูอยากจะลุกขึ้นจิกหัวตบอีนี่กลางออฟฟิศให้มันหนำใจ” สักหน่อยเถอะ แต่กูทำไม่ได้ในชีวิตจริง แต่นางเอกนิยายเรื่องนี้ทำได้ 55555

 

3. คือเราชอบตัวละคร ปูมแก้ว อย่างรุนแรงที่สุดในชีวิต และเราก็ชอบตัวละครประกอบในนิยายเรื่องนี้อย่างรุนแรงที่สุดในชีวิตด้วย มันคือตัวละคร “เด็กสาว” คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนนางเอกในโรงพยาบาลบ้า เป็นตัวละครที่นึกว่าสามารถเข้าไปเดินเฉิดฉายในหนังของ Claude Chabrol และ Jessica Hausner ได้อย่างสบายบรื๋อ สะดือโบ๋

 

คือในช่วงครึ่งหลังของนิยายเรื่องนี้ นางเอกได้เข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลบ้า และได้พบกับ “คุณหมอสาว” ท่านหนึ่ง ที่นิสัยดีมาก และนางเอกก็ได้เพื่อนใหม่ในโรงพยาบาลบ้า เป็น “เด็กสาว” คนหนึ่งที่เข้ามารักษาตัวเช่นกัน

 

แล้ว “เด็กสาว” คนนี้ก็พยายามพูดยุยง พยายามทำอะไรต่าง ๆ ให้นางเอก “เป็นบ้า” ต่อไป หรือเป็นบ้ามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะถ้าหากนางเอกยังคงเป็นบ้าต่อไป คุณหมอก็จะรักษานางเอกไม่หาย และเด็กสาวคนนี้ก็ให้เหตุผลว่า “ชีวิตของคุณหมอท่านนี้พบเจอแต่ความสุขมากเกินไป เพราะฉะนั้นถ้าหากนางเอกยังคงเป็นบ้าต่อไป คุณหมอคนนี้ก็จะได้ลิ้มรสด้วยตัวเองเสียทีว่า ความผิดหวังในชีวิตมันเป็นยังไง”

 

คือเหมือนเด็กสาวคนนี้ไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อนางเอกโดยตรง แต่เด็กสาวคนนี้ “มีความทุกข์” เมื่อเห็นคุณหมอสาว “มีความสุข” เด็กสาวคนนี้ก็เลยพยายามใช้นางเอกเป็นเครื่องมือ ในการทำให้คุณหมอสาวคนนี้ พบกับความทุกข์ในชีวิตเสียบ้าง

 

เราก็เลยรู้สึกว่า ตัวละคร “เด็กสาว” ในนิยายเรื่อง “สมมุติว่า เขารักฉัน” นี่เป็นหนึ่งในตัวละครประกอบที่รุนแรงที่สุดในชีวิตคนหนึ่งเลย

 

ถ้าหากเราจำอะไรในนิยายเรื่องนี้ผิดไป ก็ comment มาได้นะคะ เพราะเราก็อ่านนิยายเรื่องนี้มานาน 37 ปีแล้ว 55555

++++

 

Favorite Soundtrack: FEELS SO GOOD – Perri

 

From the film DO THE RIGHT THING (1989, Spike Lee, A+30)

 

ไพเราะเพราะพริ้งๆ พอ ๆ กับเพลงของ Anita Baker เลย

https://www.youtube.com/watch?v=Duf9uHSWZ3k

+++++

Film Wish List: WHO KILLED OUR CHILDREN? (2008, Pan Jianlin, China, documentary)

 

หนังสารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวนของจีนในปี 2008 ซึ่งเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงระดับ 8.0 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต  69,000 คน

 

หนังสารคดีเรื่องนี้นำเสนอความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนั้น โดย letterboxd บรรยายถึงหนังเรื่องนี้ไว้ว่า

 

The Muyu Middle School in Muyu, Qingchuan County, Sichuan, collapsed in the 512 Wenchuan earthquake, killing 286 students according to official statistics; but the actual death toll is not just that. The director Pan Jianlin, who has been in the area since the sixth day after the earthquake, uses interviews to contrast the different perspectives and statements of the students who escaped the disaster, the teachers who are afraid of taking responsibility, the parents who are desperate, the government officials who are hiding the facts to maintain the government’s image, and the rescue workers who are on the run, creating a ridiculous tragedy that is like a Rashomon.

 

เราเคยดูหนังเรื่อง FEAST OF VILLAINS (2008) ที่กำกับโดย Pan Jianlin เหมือนกัน และเราชอบหนังเรื่องนั้นอย่างสุดขีดมาก ๆ FEAST OF VILLAINS ติดอันดับ 15 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2008

++++++++++

 

MOST FAVORITE FILMS ABOUT EARTHQUAKES

 

มีเพื่อนคนนึงอยากให้เราทำลิสท์หนังภัยพิบัติในดวงใจ แต่เราคิดว่า “หนังภัยพิบัติ” มันกว้างเกินไป เราทำลิสท์ไม่ไหว เราก็เลยทำลิสท์เฉพาะหนังแผ่นดินไหวในดวงใจของเราก็แล้วกัน ซึ่งรายชื่อหนังในลิสท์นี้ก็ครอบคลุมถึงหนังเกี่ยวกับสึนามิที่เกิดจากแผ่นดินไหว, หนังเกี่ยวกับ trauma ที่ยังคงหลอกหลอนในใจคนเป็นเวลานานหลายปีหลังจากแผ่นดินไหว และหนังเกี่ยวกับเหตุการณ์ “แผ่นดินไหวเพียงเบา ๆ” ที่ยังไม่ถึงขั้นก่อให้เกิดภัยพิบัติด้วย

 

เรียงตามลำดับปีที่ออกฉาย

 

1.THE GREAT LOS ANGELES EARTHQUAKE (1990, Larry Elikann, 180min)

มินิซีรีส์ที่เคยมาฉายทางช่อง 7

 

2.AND LIFE GOES ON (1992, Abbas Kiarostami, Iran)

 

หนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 1990 ในอิหร่าน ซึ่งมีความรุนแรงระดับ 7.4 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 50,000 คน

 

3.TIMECODE (2000, Mike Figgis)

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในหนังเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เหตุการณ์เบา ๆ

 

4.AFTERSHOCKS: THE ROUGH GUIDE TO DEMOCRACY (2002, Rakesh Sharma, India, documentary)

 

หนึ่งในหนังที่ทำให้เราร้องห่มร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต หนังสารคดีเรื่องนี้พูดถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเดือนม.ค.ปี 2001 ในรัฐ Gujarat ของอินเดีย โดยแผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรงระดับ 7.6 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต  20,023 คน

 

แต่สิ่งที่หนักที่สุดไม่ใช่ “ภัยธรรมชาติ” แต่คือ “ความชั่วร้ายของมนุษย์” เพราะหลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งนั้น บริษัทของรัฐบาลรัฐ Gujarat ก็ฉวยโอกาสทำร้ายชาวบ้าน พยายามขับไล่ชาวบ้านออกจากที่อยู่ที่ทำกินเดิม เพื่อที่ทางบริษัท/รัฐบาล จะได้เข้ามาครอบครองที่ดินของชาวบ้านเหล่านี้ เพื่อทำเหมืองแร่ลิกไนต์

 

หนังเรื่อง AFTERSHOCKS: THE ROUGH GUIDE TO DEMOCRACY นี้ เหมาะฉายควบกับหนังสารคดีของไทยเรื่อง WAVES OF SOULS (2005, Pipope Panitchpakdi) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการที่นายทุนพยายามหาทางไล่ที่ชาวมอแกน หลังจากเกิดเหตุสึนามิในไทยในช่วงปลายปี 2004 (ถ้าหากเราจำเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ไม่ผิดนะ)

 

5.NOI ALBINOI (2003, Dagur Kári, Iceland)

 

6.BE QUIET, EXAM IS IN PROGRESS! (2006, Ife Ifansyah, Indonesia)

 

หนังเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในยอกยาการ์ตาในอินโดนีเซียในวันที่ 27 พ.ค. 2006 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 6000 ราย และมีความรุนแรงระดับ 6.4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลา 14 วันก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลก

 

7.SINKING OF JAPAN (2006, Shinji Higuchi, Japan)

 

8.สิ่งที่เคลื่อนไหว (STILL ALIVE) (2006, สุวรรณ ห่วงศิริสกุล, documentary, 90min)

 

สารคดีเกี่ยวผลกระทบจากสึนามิ ที่มีต่อตัวผู้กำกับและชาวบ้านอีกหลาย ๆ คน โดยตัวผู้กำกับเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าที่ภูเก็ต แล้วร้านของเขาก็พังพินาศเพราะสึนามิในช่วงปลายปี 2004

 

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดียในครั้งนั้นมีความรุนแรงระดับ 9.3 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราว 227,898 คน

 

9.GIBELLINA – THE EARTHQUAKE (2007, Joerg Burger, Austria/Italy, documentary)

 

หนังสารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเกาะซิซิลีของอิตาลีในปี 1968 ซี่งมีความรุนแรงระดับ 5.0 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 400 คน โดยหนังสารคดีเรื่องนี้โฟกัสไปที่ “ความพยายามในการใช้พลังของศิลปะ” ในการฟื้นฟูเมืองที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว และหนังสารคดีเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า “พลังของศิลปะ” ในบางครั้งก็ไม่สามารถเยียวยาจิตใจหรือฟื้นคืนเมืองที่ถูกทำลายจากแผ่นดินไหวได้แต่อย่างใด เศร้ามาก ๆ

 

10.POOL (2007, Chris Chong Chan Fui, Canada)

 

หนังเกี่ยวกับเด็ก ๆ ในอาเจะห์ในอินโดนีเซีย ที่เผชิญ trauma หลังจากเกิดเหตุสึนามิในมหาสมุทรอินเดียในช่วงปลายปี 2004

 

11.WONDERFUL TOWN (2007, Aditya Assarat)

 

12.AFTERSHOCK (2010, Feng Xiaogang, China)

 

หนังเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมณฑลเหอเป่ยของจีนในปี 1976 ซึ่งมีความรุนแรงระดับ 7.6 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 300,000 คน

 

13.THREE WEEKS LATER (2010, José Luis Torres Leiva, Chile, documentary, 60min)

หนังสารคดีเกี่ยวกับแผ่นดินไหวในชิลีในวันที่ 27 ก.พ. 2010 ซึ่งมีความรุนแรงระดับ 8.8 และส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิต 525 คน

 

14.HIMIZU (2011, Sion Sono, Japan)

หนังเกี่ยวกับตัวละครที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 2011 ในญี่ปุ่น ซึ่งมีความรุนแรงระดับ 9.1 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 19,759 คน

 

15. A STRANGE CATHEDRAL IN THE THICK OF DARKNESS (2011, Charles Najman, Haiti, documentary, A+30)

 

หนังสารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในไฮติในปี 2010 ซึ่งมีความรุนแรงระดับ 7.0 และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 316,000 คน

 

นอกจากหนังสารคดีเรื่องนี้แล้ว เหตุการณ์แผ่นดินไหวในไฮติ ก็ถูกนำเสนอในหนังเรื่อง THE EXORCIST: BELIEVER (2023, David Gordon Green) ด้วย

 

16.THE IMPOSSIBLE (2012, J.A. Bayona, Spain/Thailand)

 

17.STORYTELLERS (2013, Ryusuke Hamaguchi, Ko Sakai, documentary)

 

18.GREETINGS FROM FUKUSHIMA (2016, Doris Dörrie, Germany)

 

19.DOUBLE LAYERED TOWN/MAKING A SONG TO REPLACE OUR POSITIONS (2019, Haruka Komori, Natsumi Seo, Japan)  

 

20.VOICES IN THE WIND (2020, Nobuhiro Suwa, Japan)

 

21.YARN (2020, Takahisa Zeze, Japan, 130min)

 

22.THE HOUSE OF THE LOST ON THE CAPE (MISAKI NO MAYOIGA) (2021, Shinya Kawatsura, animation)

 

23.IN THE WAKE (2021, Takahisa Zeze, A+30)

 

24.CONCRETE UTOPIA (2023, Eom Tae-hwa, South Korea)

 

25.KYRIE (2023, Shunji Iwai, Japan, 178min)

 

26.HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan)

แผ่นดินไหวในหนังเรื่องนี้เป็นแค่ระดับเบา ๆ

 

นอกจากหนังเกี่ยวกับแผ่นดินไหวแล้ว ถ้าหากพูดถึงหนังเกี่ยวกับ “ภัยพิบัติ” ที่เป็น “ภัยธรรมชาติ” โดยรวม ๆ เราก็ชอบหนังต่อไปนี้ด้วย

 

1.CONDOMINIUM (1980, Sidney Hayers, 4hours)

มินิซีรีส์ที่เคยมาฉายทางช่อง 3 เกี่ยวกับคอนโดมิเนียมที่ถูกพายุเฮอริเคนพัดถล่มในรัฐฟลอริดา

 

2.CITY OF JOY (1992, Roland Joffé)

หนังมีฉากน้ำท่วมในอินเดีย

 

3.LAST NIGHT (1998, Don McKellar, Canada)

 

4.ตะลุมพุก มหาวาตภัยล้างแผ่นดิน” (2002, ปิติ จตุรภัทร์)

 

5.CHILDREN OF MUD (2009, Daniel Rifki, Indonesia, ภูเขาไฟระเบิด)

 

6.HAEUNDAE (2009, JK Youn, South Korea)

 

7.2022 สึนามิ วันโลกสังหาร (2009, Toranong Srichua)

 

8.MELANCHOLIA (2011, Lars von Trier, Denmark)

 

9.FORCE MAJEURE (2014, Ruben Östlund, Sweden)

 

10.POMPEII (2014, Paul W.S. Anderson)

 

11.STORM CHILDREN: BOOK ONE (2014, Lav Diaz, Philippines, documentary)

 

12.TRAP (2015, Brillante Mendoza, Phillippines)

 

13.THE WAVE (2015, Roar Uthaug, Norway)

 

14.YOUR NAME (2016, Makoto Shinkai, animation)

 

15.ASHFALL (2019, Kim Byung-seo, Lee Hae-jun, South Korea, A+30)

 

16.THE BURNING SEA (2021, John Andreas Andersen, Norway)

 

17.SINKHOLE (2021, Kim Ji-hoon, South Korea)

 

18.SURVIVE (2024, Frédéric Jardin, France)

 

++++++++

 

เรื่องนี้จะแล้วมั้ย!? ตอน เมื่อพ่อของเพื่อนสนิทและผมทำสิ่งนี้ด้วยกัน (2024, G Label, documentary, A+30)

 

อะไรคือการที่ยูทูบแนะนำให้เราดูสิ่งนี้ในวันสงกรานต์คะ 55555 ยูทูบนี่รู้ใจดิฉันดีจริง ๆ

 

เราไม่เคยดูยูทูบช่องนี้มาก่อน แต่พอได้ดูตอนนี้แล้วก็ชอบมาก ๆ ผู้ชายคนนี้เล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองในช่วงเทศกาลสงกรานต์ตอนม.2 ตอนนั้นเขาไปนอนบ้านญาติ และได้นอนข้าง ๆ พ่อของเพื่อน เขาพบว่าพ่อของเพื่อนรูปร่างดีมาก เขาก็เลยอดใจไม่ไหว เขาพยายามลูบ ๆ คลำ ๆ ร่างกายและอวัยวะต่างๆ ของพ่อของเพื่อนขณะที่พ่อของเพื่อนหลับอยู่ และหลังจากนั้น....

 

ชอบ comments ของเกย์อีกหลายคน ที่มาช่วยแชร์ประสบการณ์ทำนองเดียวกันมาก ๆ  ทั้งเรื่องของ

 

1. “ช่วงนั้นพ่อผมไปบวชเป็นพระอยู่ที่วัดป่าบนภูเขาที่ต่างจังหวัด เพื่อนพ่อเลยมาชวนที่บ้านผมขึ้นไปเยี่ยมพ่อผมที่วัด”

 

2. “เวลาอานอนก็จะใส่ชุดสบายๆ ถอดเสื้อ ใส่กางเกงบอล ไม่ใส่กางเกงใน”

 

3. “อาเขยเป็นคนหล่อมากและรูปร่างดีมากๆ สูง 175-178

 

4. “ส่วนตัวผมก็เคยกับพ่อเพื่อนที่ไม่สนิทเหมือนกัน แกชื่อน้าชม แกเป็นพ่อเลี้ยงเดียว ไม่มีเมีย มีแต่ลูกชายหนึ่งคน”

 

5. “ตอนนั้นเมื่อ 7 ปีที่แล้วผมอายุ 18 ลุงทศเขาอายุ 50 ปีพอดี”

 

คือ CALL ME BY YOUR NAME (2017, Luca Guadagnino) ตายห่าไปเลยของจริง 55555

https://www.youtube.com/watch?v=0Dj3tDWVPOA

LOOK CLOSELY ENOUGH (2024, Warat Bureephakdee, 25min, A+30)

 

RIP TED KOTCHEFF (1931-2025)

 

เราน่าจะเคยดูหนังที่เขากำกับแค่เรื่องเดียวมั้งนะ ซึ่งก็คือ “เอาศพไปพักร้อน” หรือ WEEKEND AT BERNIE’S (1989)

 

แต่มีหนังบางเรื่องของเขาที่เราไม่แน่ใจว่าเราเคยดูตอนเด็ก ๆ หรือเปล่า อย่างเช่น FIRST BLOOD (1982) และ SWITCHING CHANNELS (1988)

 

เขาเคยได้รางวัล “หมีทองคำ” จากเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินด้วยนะ จากหนังเรื่อง THE APPRENTICESHIP OF DUDDY KRAVITZ (1974, Canada) ที่นำแสดงโดย Richard Dreyfuss และเขาเคยเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ จากหนังเรื่อง WAKE IN FRIGHT (1971) และ JOSHUA THEN AND NOW (1985, Canada) ด้วย

 

ภาพจากหนังเรื่อง WAKE IN FRIGHT

+++

 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เราได้ไปดูหนังเรื่อง DO THE RIGHT THING (1989, Spike Lee, A+30) ที่หอภาพยนตร์ ศาลายา เสร็จแล้วก็ดูหนังที่ห้องสมุดหอภาพยนตร์ต่อ

 

พอดูหนังที่ห้องสมุดเสร็จแล้ว วันนั้นเราเลยลองเดินทางกลับด้วยรถเมล์สายที่ไม่เคยขึ้นมาก่อน นั่นคือสาย 124 เพราะว่าปกติเราจะกลับด้วยรถเมล์สาย 515 แต่บางทีสาย 515 ก็รอนานมาก วันนั้นเราเลยลองเปลี่ยนสายรถเมล์ดู

 

วันนั้นเราเลยเดินมาขึ้นรถเมล์ที่ป้ายตรงข้ามห้าง Macro Salaya ได้ขึ้นรถเมล์สาย 124 ตอน 17.37 น. แล้วก็มาลงรถเมล์ที่ป้ายแยกบรมราชชนนี ตอน 18.28 น. แล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า MRT สถานีบางยี่ขัน ใช้เวลาเดินราว 8 นาที สรุปว่าใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงในการเดินทางจากหอภาพยนตร์มายังสถานี MRT บางยี่ขัน

 

ก็เลยสรุปว่า สาย 124 เป็นสายที่เราเดินทางกลับได้ด้วยเหมือนกัน มาต่อรถไฟฟ้า MRT ได้เหมือนกัน แต่มีข้อด้อยกว่าสาย 515 เล็กน้อย เพราะว่าต้องใช้เวลาเดินราว 8 นาทีในการมายังสถานี MRT บางยี่ขัน และเราสังเกตว่ามีขี้หมาประปรายระหว่างทางด้วย เพราะฉะนั้นเวลาเดินต้องระวังให้ดีนะคะ

++++++

 

เราเพิ่งค้นพบว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค. อาจจะสร้าง trauma ให้เราโดยไม่รู้ตัว เพราะมันแอบเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกและในความฝันของเราแล้ว

 

เมื่อไม่กี่คืนก่อน เราฝันว่า เรากำลังจะไปเรียนที่มหาลัย (คือในชีวิตจริงกูเรียนจบมหาลัยตั้งแต่เดือนต.ค. 1994 หรือเมื่อ 30 ปีมาแล้ว แต่ปัจจุบันนี้เราก็ยังคงฝันว่า เรายังเรียนไม่จบมหาลัยอยู่เกือบทุกสัปดาห์ 55555 )

 

แล้วในขณะที่เรากำลังจะเดินไปที่ตึกเรียนนั้น เราก็เห็นฝูงมดดำวิ่งพล่าน ๆ อยู่บนพื้นทางเดิน เราก็พยายามเดินหลบเลี่ยงอย่างยากลำบาก เพื่อจะได้ไม่เดินเหยียบมัน แต่มันก็ยากมาก เพราะมดมันวิ่งพล่าน ๆ กระจายทั่วพื้น

 

พอเราเดินผ่านฝูงมดดำมาได้ไม่เท่าไหร่ เราก็เจอฝูงมดแดงวิ่งพล่าน ๆ อยู่บนพื้นทางเดินเหมือนกัน เราก็พยายามเดินหลบเลี่ยงมันเหมือนกัน

 

แล้วเราก็นึกขึ้นมาได้ว่า หรือว่ามดพวกนี้มันมี sixth sense รับรู้ได้ว่า มันกำลังจะเกิดแผ่นดินไหวหรือเปล่าวะ มันเลยวิ่งพล่าน ๆ กันแบบนี้ มันถึงได้เกิดอาเพศแบบนี้ กรี๊ดดดดดดด แล้วกูควรจะเดินเข้าไปเรียนหนังสือในตึกเรียนไหมเนี่ย ถ้าอาคารเรียนมันถล่มขึ้นมา แล้วเราจะทำยังไง

 

แต่เราก็ตัดสินใจเข้าไปเรียนหนังสือ แต่ก็พบว่าเราไม่รู้ “ตารางสอน” เราก็เลยพยายามตามหาเพื่อนสนิทเราเพื่อสอบถามเรื่องตารางสอน แล้วเราก็ตื่นนอนขึ้นมา

 

เหมือนครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตเราเลยมั้ง ที่เราเกิดความกล้วแผ่นดินไหวในฝันของเรา เราไม่เคยฝันถึงเรื่องแผ่นดินไหวอะไรแบบนี้มาก่อน แสดงว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา มันเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราแล้วโดยไม่รู้ตัว

 

แต่นี่น่าจะเป็นความฝันครั้งที่ 1560 แล้วมั้ง ที่เรา “ยังเรียนไม่จบมหาลัย” ในความฝัน 55555 (เราฝันถึงเรื่องเรียนไม่จบมหาลัยราวสัปดาห์ละครั้ง ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น 52 คูณ 30 เท่ากับ 1560)

 

ส่วนความฝันของเราในคืนล่าสุดนั้น เราฝันว่าเรากำลังนั่งดู closing credits ของหนังเรื่องนึงอยู่ในรอบดึก เพื่อรอดูว่ามันจะมีฉากอะไรท้ายเครดิตไหม แต่เราง่วงมาก เราก็เลยหลับปุ๋ยไปเลยระหว่างนั่งดู closing credits พอเราตื่นขึ้นมาอีกที เราก็พบว่า เรายังคงนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ แต่โรงภาพยนตร์มันมืดสนิท ไม่มีคนเลย แสดงว่าพนักงานโรงภาพยนตร์ไม่เห็นหัวเรา ไม่สังเกตว่าเรานั่งหลับอยู่ในโรงหนัง พวกเขาไม่ได้มาปลุกเรา แล้วพวกเขาก็ปิดโรงหนังไป เหลือเราถูกทิ้งไว้อยู่คนเดียวในโรงหนังอันมืดสนิท กรี๊ดดดดดดด แล้วเราก็พยายามหาทางออกจากโรง แล้วเราก็ตื่นนอนขึ้นมา

 

ก็เลยรู้สึกว่า มันประหลาดและตลกดี ที่เราฝันว่า “เราง่วงนอน จนหลับไป แล้วตื่นนอนขึ้นมา” ในฝัน ก่อนที่จะตื่นนอนขึ้นมาจริง ๆ อีกที 55555 คือขนาดเรานอนหลับอยู่ เรายังคงฝันว่า “เราง่วงนอน” อยู่เลย

++++++++

LOOK CLOSELY ENOUGH (2024, Warat Bureephakdee, 25min, A+30)

 

1. ในที่สุดก็เจอหนังไทยที่สามารถปะทะกับหนังของ Herbert Achternbusch ได้ 55555 เพราะหนังไทยเรื่องนี้มีความเฮี้ยน, ความ cult, ความประสาทแดก, ความบ้า ๆ บอ ๆ, ความไร้เหตุผล, ความพิสดาร, ความตลก ผสมอยู่ด้วยกันอย่างน่าสนใจ และก็มีเนื้อหาสาระสอดแทรกอยู่ด้วย แต่ก็เป็นหนังที่เราดูแล้วไม่สามารถตีความอะไรได้อย่างแน่ใจเลย เช่นเดียวกับหนังหลาย ๆ เรื่องของ Achternbusch

 

2. อีกจุดที่ทำให้นึกถึงหนังของ Achternbusch โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คือการที่หนังเรื่องนี้ให้วิญญาณของป๋วย อึ้งภากรณ์ กับวิญญาณของปรีดี พนมยงค์ ที่สิงสู่อยู่ในรุปปั้น พูดคุยกัน จุดนี้ทำให้นึกถึง “ความหลอนของประวัติศาสตร์” ในหนังของ Achternbusch อย่างเช่นใน HEAL HITLER! (1986) ที่ตัวละครทหารเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเดินทางข้ามเวลามาสังเกตเยอรมนีในทศวรรษ 1980 และใน I KNOW THE WAY TO THE HOFBRAUHAUS (1992) ที่มีตัวละครมัมมี่อียิปต์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเดินท่องเยอรมนีในยุคปัจจุบัน

 

มีคนเขียนว่าหนังของ Achternbusch ชอบนำเสนอ an intermediate realm in which the dead interact with the living ซึ่งเราก็คิดว่าหนังเรื่อง LOOK CLOSELY ENOUGH ก็เกือบ ๆ จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

 

3. ดูแล้วเราก็ไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะพูดถึงอะไรโดยรวมนะ 55555 แต่ดูแล้วก็ชอบสุด ๆ อยู่ดี ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้เราจะนึกถึงประเด็นดังต่อไปนี้ด้วย

 

3.1 ตอนแรกเรานึกว่าหนังเรื่องนี้จะสะท้อนถึงความเหลวเป๋วของวัยรุ่นยุคปัจจุบัน หลังจากการลุกขึ้นสู้ของวัยรุ่นในยุคปี 2020-2021 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทำนองคล้าย ๆ กับการลุกฮือของหนุ่มสาวในยุโรปในปี 1968 ที่พบกับความล้มเหลวและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง แต่พอเราดูหนังเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็คิดว่านี่อาจจะไม่ใช่ประเด็นของหนังเรื่องนี้ก็ได้

 

3.2 ไม่แน่ใจว่าพื้นที่ที่ใช้ถ่ายหนังเรื่องนี้คือพื้นที่ใกล้ๆ  ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต และม.กรุงเทพ รังสิต หรือเปล่า เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ต้องการเก็บภาพและถ่ายทอดบรรยากาศยามกลางคืนของพื้นที่แถบนั้นเอาไว้ ซึ่งเราไม่มีความรู้เรื่องพื้นที่แถบนั้น เราก็เลยไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะสะท้อนความเห็นอะไรเกี่ยวกับพื้นที่ตรงนั้นหรือเปล่า แต่ก็ชอบที่หนังพยายามถ่ายทอดบรรยากาศของพื้นที่แถบนั้นเอาไว้

 

3.3 ชอบ “เสรีภาพ” ในหนังเรื่องนี้ ชอบที่มีการนำเสนอรูปปั้นป๋วยกับปรีดี และไม่ได้ treat รูปปั้นเหล่านี้ว่าเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” เพราะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือแนวคิดของทั้งสองท่านนี้ต่างหาก เพราะฉะนั้นในหนังเรื่องนี้เราเลยได้เห็นพฤติกรรมที่แสดงถึง “เสรีภาพ” ได้อย่างน่าสนใจ ทั้ง

 

3.3.1 สิ่งที่ตัวละครชายหนุ่มสองคนทำกับรูปปั้น

 

3.3.2 กลุ่มตัวละครที่ “นอนแผ่ร้องแอ๊” อย่างบ้าคลั่งและไร้เหตุผลหน้ารูปปั้น

 

3.3.3 ตัวละครที่พยายามหาสถานที่เพื่อมีเซ็กส์กันในสวนบริเวณนั้น

 

ชอบที่หนังไม่ได้ประณามและไม่ได้ยกย่องการกระทำของตัวละครต่าง ๆ แต่เหมือนให้ผู้ชมลงความเห็นต่อตัวละครต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง หรือคิดถึงประเด็นเรื่อง “เสรีภาพ” ด้วยตัวเอง อย่างเช่น การนอนแผ่ร้องแอ๊ ในหนังเรื่องนี้ ผู้ชมแต่ละคนก็สามารถลงความเห็นได้ด้วยตัวเองว่า ตัวละคร “มีเสรีภาพ” ที่จะทำสิ่งนี้หรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นคนละประเด็นกับประเด็นที่ว่า ตัวละคร “สมควร” ทำสิ่งนี้หรือไม่ เหมือนตัวละครทำในจุดที่ก้ำกึ่งระหว่าง “เสรีภาพ” กับ “ความเหมาะสม” แล้วเราก็รู้สึกว่าจุดนี้มันน่าสนใจดี

 

4. ตัวละครพระเอกนี่พิศวงมาก เราไม่รู้ว่าเขาคือคนหรือผี หรือคนหรือสัตว์หรืออะไร 55555

 

5. ในหนังมีการพูดถึงแนวคิดเรื่อง “สันติประชาธรรม” ของอ.ป๋วยด้วย ซึ่งเราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

 

6. ช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงช่วงท้ายของหนังเรื่อง  WE LIVE IN A BEAUTIFUL WORLD (2022, วรัตต์ บุรีภักดี, 34min, A+30) โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเรารู้สึกว่าช่วงท้ายของหนังทั้งสองเรื่องนี้ เหมือนเป็นการ “ทอดสายตามองความเป็นไปของโลกยุคปัจจุบันด้วยความเป็นห่วงเป็นใย” เหมือนกัน

 

LOOK CLOSELY ENOUGH ถือเป็นหนังเรื่องที่ 21 ของคุณ Warat ที่เราได้ดู ส่วนอีก 20 เรื่องที่เราได้ดูนั้น เราเคยทำรายชื่อไว้แล้วที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10235108510517007&set=a.10233542333003548

 

+++

 

เราชอบเวอร์ชั่นของ Godard มากกว่า CARMEN (1984, Francesco Rosi, France/Italy) และ U-CARMEN EKHAYELITSHA (2005, Mark Dornford-May, South Africa)

 

++++

 

เพิ่งรู้ว่าราษฎรชาวไทยเคยร่วมกันสังหารหมู่ชาวจีนราว 3000 คนที่ฉะเชิงเทราในปีค.ศ. 1848 ในสมัยร.3 รุนแรงมาก ๆ เราไม่เคยรู้เรื่องเหตุการณ์นี้มาก่อนเลย

https://www.silpa-mag.com/history/article_74866

 

Saturday, April 12, 2025

Favorite Actress: Regina Cassandra from JAAT

 

ในที่สุด FLASH EXPRESS ก็ส่งหนังสือ BRESSON ON BRESSON มาถึงมือของเราในวันศุกร์ที่ 11 เม.ย. ในเวลาราว 11.00 น.

 

สรุปการเดินทางของหนังสือเล่มนี้

 

1.ร้านหนังสือส่งหนังสือให้ FLASH EXPRESS ที่พระโขนงใต้ ในวันอังคารที่ 8 เม.ย. เวลา 16.52 น.

 

2.หนังสือถูกส่งไปที่ “central hub วังน้อย” ของ FLASH EXPRESS ในวันที่ 8 เม.ย.

 

3. หนังสือถูกส่งจากวังน้อยมาที่ “ทุ่งพญาไท” ในเช้าวันพุธที่ 9 เม.ย.

 

4. หนังสือถูกส่งจากทุ่งพญาไท กลับไปที่วังน้อย ในเย็นวันพุธที่ 9 เม.ย.

 

5. หนังสือถูกส่งจากวังน้อย มาที่ถนนพญาไท ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ 10 เม.ย.

 

6. หนังสือถูกส่งกลับจากถนนพญาไท ไปที่วังน้อย ในเย็นวันที่พฤหัสบดีที่ 10 เม.ย.

 

9. หนังสือถูกส่งจากวังน้อย กลับมาที่ ทุ่งพญาไท ในเช้าวันศุกร์ที่ 11 เม.ย.

 

10. หนังสือถูกส่งมาถึงมือของลูกหมีในเวลาราว 11.00 น.ของวันที่ 11 เม.ย.

 

ไม่รู้ว่านี่คือเหตุการณ์ปกติของ FLASH EXPRESS หรือเปล่า พอดีเราเพิ่งเจออะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก เราก็เลยตกใจกลัวว่าหนังสือจะส่งไม่ถึงมือเรา เห็นหนังสือมันถูกส่งเด้งกลับไปกลับมาระหว่างกรุงเทพกับวังน้อยหลายรอบ 55555

 

ในรูปเป็นรายชื่อหนังที่เราดูในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพในช่วงต้นปี 1998 ซึ่งรวมถึงหนังเรื่อง A MAN ESCAPED (1956, Robert Bresson) ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของ Bresson ที่เราได้ดู ซึ่งพอเราดูเราก็หวีดร้องสุดเสียง ชอบสุดขีดมาก ๆ เราก็เลยกลับไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ของสมาคมฝรั่งเศสเป็นรอบที่สองด้วย

++++++

Favorite Actress: Regina Cassandra from JAAT (2025, Gopichand Malineni, India, 158min, A+30)

 

ชอบบทของเธอในหนังเรื่อง JAAT มากๆ เป็นบทของผู้หญิงจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต รู้สึกว่าตัวนักแสดงเล่นได้น่ากลัวมาก ๆ ด้วย

 

บทของเธอต้องบู๊ปะทะกับตำรวจหญิงชื่อ “วิจายา ลักษมี” (Saiyami Kher) ที่นักแสดงก็เล่นได้ดีเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าบท “ตำรวจหญิงอินเดีย” ที่นิสัยดีและมุ่งมั่นกับการทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง เป็นบทที่พบได้บ่อยมาก เราก็เลยรู้สึกว่าบท “นางตัวร้าย” ในหนังเรื่องนี้ดูเด่นกว่าบทนางเอก

Thursday, April 10, 2025

MOAI

 

เพิ่งรู้ว่า กลุ่ม “หมอย” หรือ MOAI แปลว่า a lifelong group of friends who provide social, financial, and emotional support, acting as a second family

 

จากนิทรรศการ LEARNING FROM THE BLUE ZONE: THE TRANSMISSION OF TRADITIONAL OKINAWAN LIFESTYLE TO THE NEW MODEL OF HEALTH AND LONGEVITY FOR THE YOUNGER GENERATIONS ซึ่งจัดแสดงที่ BACC

 

คุณมีกลุ่มหมอยเป็นของตัวเองแล้วยังคะ

Wednesday, April 09, 2025

FILMS SEEN THIS WEEK

 

อ่านข่าวนี้แล้วนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง GENESIS 2.0 (2018, Christian Frei, Maxim Arbugaev, Switzerland/China/Russia/South Korea/USA, documentary, A+30) ที่เคยเข้ามาฉายในไทย โดยหนังสารคดีเรื่องนี้ติดอันดับ 8 ในลิสท์หนังที่เราชื่นชอบที่สุดที่ได้ดูในปี 2019 ด้วย หนังสารคดีเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับบริษัทจีนที่พยายามใช้ DNA ในการสร้างช้างแมมมอธขึ้นมาใหม่

++++++++++

 

พอได้เห็นบทบาทการแสดงของคุณนพพล โกมารชุนใน “เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊” (2025, Arak Amornsupasiri, Vuthipong Sukhanindr, A+30) แล้วก็เลยย้อนนึกถึงอดีตสมัยที่เคยเห็นคุณนพพลในละครทีวีที่เราดูตอนเด็กๆ ซึ่งหนึ่งในละครที่เคยผ่านตาเราในวัยเด็กก็คือเรื่อง “เบญจรงค์ 5 สี” (1985, Adul Dulyarat)

 

พอได้ย้อนกลับไปดูไตเติลละครทีวีเรื่องนี้แล้วก็ตกใจกับชื่อนักแสดงมาก ๆ คือรายขื่อนักแสดงนำก็หนักมากแล้ว (มีธงไชย แมคอินไตย์ด้วย) แล้วรายชื่อนักแสดงประกอบนี่ก็มีทั้ง สีดา พัวพิมล, จริยา สรณคมน์, วรายุฑ มิลินทจินดา, สุทธิจิตร วีระเดชกำแหง, มาเรีย เกตุเลขา, etc.

ยอมรับเลยว่า เป็นไตเติลละครที่เราดูได้ไม่เบื่อเลย เพราะมัน nostalgia นึกถึงตัวเองในวัยเด็กมาก ๆ และเราก็ชอบเพลงไตเติลละครเรื่องนี้อย่างรุนแรงสุดขีด คุณกรองทอง ทัศนพันธ์นี่ร้องเพลงได้ไพเราะมาก ๆ จริง ๆ

https://www.youtube.com/watch?v=1WoHopCdMMY

++++

 

สรุปผลประกอบการประจำวันเสาร์ที่ 5 เม.ย. 2025

 

1. THE DEMON’S BRIDE (PENGANTIN IBLIS) (2025, Azhar Kinoi Lubis, Indonesia, A+15)

 

ดูที่เมเจอร์ รัชโยธิน รอบ 11.00 น.

 

2. THE STONE เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊ (2025, Arak Amornsupasiri, Vuthipong Sukhanindr, A+30)

 

ดูที่เมเจอร์ รัชโยธิน รอบ 14.10 น.

 

3. DETECTIVE CHINATOWN 1900 (2025, Sicheng Chen, Mo Dai, China, 138min, A+)

 

ดูที่เมเจอร์ รัชโยธิน รอบ 17.00 น.

 

4. HALABALA ฮาลาบาลา ป่า จิต หลุด (2025, Eakasit Thairaat, 110min, A+30)

 

ดูที่เมเจอร์ รัชโยธิน รอบ 20.00 น.

 

แล้วเราก็ได้ดู A MINECRAFT MOVIE (2025, Jared Hess, Sweden/USA, A+) ในวันศุกร์ที่ 4 เม.ย. และก็ได้ดู LOCKED (2025, David Yarovesky, 95min, A+15) ในวันอาทิตย์ที่ 5 เม.ย.ด้วย

 

ในบรรดาหนังเข้าใหม่ 6 เรื่องนี้ ถ้าหากเรียงตามลำดับความชอบแล้ว เราก็ชอบ THE STONE เป็นอันดับหนึ่ง, HALABALA เป็นอันดับสอง, THE DEMON’S BRIDE เป็นอันดับสาม, LOCKED เป็นอันดับสี่, DETECTIVE CHINATOWN 1900 เป็นอันดับห้า และ A MINECRAFT MOVIE เป็นอันดับ 6

 

พอดู THE STONE กับ HALABALA แล้วก็ประทับใจทั้งความสามารถของผู้สร้างภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ และประทับใจกับ “เสรีภาพในการสร้างภาพยนตร์ไทย” ในยุคนี้ที่ดูเหมือนดีกว่าเมื่อหลายปีก่อนด้วย (อันนี้เป็นความรู้สึกของเราเองนะ ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้) เพราะเราว่าการนำเสนอวงการพระเครื่องที่ฉ้อฉลใน THE STONE และการนำเสนอตัวละครพระเอกตำรวจที่เสพติดการวิสามัญฆาตกรรมใน HALABALA นี่ ถ้าหากเป็นหนังไทยที่สร้างขึ้นเมื่อราว 20-30 ปีก่อน มันอาจจะเจอปัญหาการเซ็นเซอร์ก็ได้

 

ส่วน THE DEMON’S BRIDE นั้น เราว่าจริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้อาจจะดีสู้ LOCKED ไม่ได้นะ เหมือน LOCKED เป็นหนังที่ “ลงตัว” กว่า แต่พอ LOCKED มันเป็นหนังฮอลลีวู้ด และทำได้ดีตามมาตรฐานของมัน (นึกถึงหนังแบบ PHONE BOOTH (2002, Joel Schumacher) และ CELLULAR (2004, David R. Ellis)) มันก็เลยไม่ได้ทำให้เราประหลาดใจกับมันมากนัก เราก็เลย “ว้าว” กับ THE DEMON’S BRIDE มากกว่า

 

เราชอบช่วงครึ่งแรกของ THE DEMON’S BRIDE อย่างสุดขีดมาก แต่เสียดายที่ครึ่งหลังพลังของมันลดลงไปเยอะ เราก็เลยว่าหนังเรื่องนี้มันยังไม่ลงตัวมากเท่า LOCKED แต่ยังไงเราก็ประทับใจช่วงครึ่งแรกของ THE DEMON’S BRIDE อย่างรุนแรงอยู่ดี

 

ส่วน DETECTIVE CHINATOWN 1900 นี่ เราชอบความอิงประวัติศาสตร์ของมัน แต่เราไม่อินกับ “ความตลก” ของหนังทำนองนี้เลย

 

ส่วน A MINECRAFT MOVIE นั้น เราชอบพอ ๆ กับ SNOW WHITE (2025, Marc Webb, A+) คือจริง ๆ แล้วเรารู้สึก “เบื่อ” ขณะดูหนังสองเรื่องนี้ แต่เราไม่รู้สึก “เกลียด” หนังสองเรื่องนี้น่ะ เพราะเรามองว่าเราไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายของหนังสองเรื่องนี้ คือเรารู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้สร้างขึ้นมาเพื่อผู้ชมกลุ่มเป้าหมายที่เป็น “เด็กอนุบาล” หรือ “เด็กชั้นประถมต้น” อะไรทำนองนี้น่ะ เราก็เลยรู้สึกเบื่อมัน แต่ไม่ได้เกลียดมัน หนังสองเรื่องนี้ได้เรท PG จากเมืองนอก

 

แต่หนังสำหรับเด็กหลายเรื่องเราก็ชอบในระดับ A+30 และรู้สึกว่ามันสนุกสุดขีดนะ ทั้ง WICKED (2024, Jon M. Chu, เรท PG), DUNGEONS & DRAGONS: HONOR AMONG THIEVES (2023, John Francis Daley, Jonathan Goldstein, เรท PG-13), DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD (1995, Tsutomu Shibayama, Japan, animation, 97min) ที่เราชอบอย่างสุดขีดคลั่ง และ WONDERFUL PRETTY CURE! THE MOVIE! GRAND ADVENTURE IN A THRILLING GAME WORLD (2024, Naoki Miyahara, Japan, animation, 71min) ที่เราชอบอย่างสุดขีดคลั่งเช่นกัน

 

ก็เลยรู้สึกว่า มันน่าสนใจดีเหมือนกัน ที่ทำไมพอฮอลลีวู้ดทำหนังสำหรับเด็กเล็ก อย่างเช่น SNOW WHITE และ A MINECRAFT MOVIE แล้วมันถึง “น่าเบื่อ” แต่พอญี่ปุ่นทำหนังสำหรับเด็กเล็ก อย่างเช่น WONDERFUL PRETTY CURE! THE MOVIE! GRAND ADVENTURE IN A THRILLING GAME WORLD และ DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD แล้วมันถึงออกมาสนุกสุดขีดมาก ๆ สำหรับเรา

  

Tuesday, April 08, 2025

EMILIA PEREZ VS. ANGULIMALA

 DOUBLE BILL FILM WISH LIST

EMILIA PÉREZ (2024, Jacques Audiard, France, A+25)

+ ANGULIMALA (2003, Sutape Tunnirut)

 

เราเป็นคนที่ชอบฉากร้องเพลงเต้นรำใน EMILIA PÉREZ มาก ๆ และก็ชอบไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์บางอย่างของหนังมาก ๆ แต่เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ถึงขั้น A+30 เพราะเรารู้สึกว่าการที่ตัวละครเจ้าพ่อค้ายาเสพติดกลับใจมาเป็น “แม่พระ” ในหนังเรื่องนี้ มันดูยังไม่น่าเชื่อถือ หรือมันยังไม่สามารถทำให้เราคล้อยตามได้

 

และหนังเรื่องนี้ก็แอบทำให้เรานึกถึงตำนาน “องคุลีมาล” ด้วย 555555 เพราะมันเป็นเรื่องของคนที่ชั่วมาก ๆ แล้วกลับใจมาเป็นคนดีมาก ๆ ในแบบที่คาดไม่ถึงอย่างรุนแรงเหมือนกัน

 

++++

 

SONGS MY BROTHER TAUGHT ME (2015, Chloé Zhao, A+30)

 

เราดูทาง MUBI ตอนที่หนังใกล้จะหมดอายุ

 

1.งดงามมาก ๆ ชอบแสงอาทิตย์ในหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง ส่วนลักษณะการใช้กล้องทำให้นึกถึง Terrence Malick บ้างเล็กน้อย

 

2.เห็นนางเอกแล้วนึกถึง “สาวอีสาน” มาก ๆ อะไรหลาย ๆ อย่างในหนังเรื่องนี้ก็ทำให้นึกถึงภาคอีสานโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะ “ความแห้งแล้ง” และ “ความห่างไกลจากความเจริญ”

 

3. เพิ่งรู้ว่า ชนพื้นเมืองอเมริกันบางเผ่ามีวัฒนธรรม “มีเมียหลายคน”

 

4. อันนี้เป็นหนังเรื่องที่ 3 ของ Chloe Zhao ที่เราได้ดู ต่อจาก THE RIDER (2017) และ ETERNALS (2021) แต่เรายังไม่ได้ดู NOMADLAND (2020)

 

ในบรรดา 3 เรื่องที่เราได้ดูนี้ ปรากฏว่าเราชอบ ETERNALS มากสุด และชอบ SONGS MY BROTHER TAUGHT ME น้อยสุด ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความดีงามของหนังแต่ละเรื่องแต่อย่างใด

 

สาเหตุที่เราชอบ ETERNALS มากสุด อาจจะเป็นเพราะว่า

 

4.1 เราเป็นแฟนหนัง superhero

 

4.2 เรารู้สึกว่า ETERNALS คือ “จุดสุดยอดของหนัง superhero” หรือหนึ่งในหนัง superhero ที่ติดค้างอยู่ในใจเราอย่างไม่ลืมเลือนมากที่สุด

 

4.3 เรารู้สึกว่า ETERNALS มันมีความ “ต่วยตูนพิเศษ” สูงมาก หรือทำให้เรานึกถึงบทความต่าง ๆ ในนิตยสารต่วยตูนพิเศษมาก ๆ เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว

 

ส่วน SONGS MY BROTHER TAUGHT ME นั้น อาจจะเป็นหนังที่ดีมากก็จริง แต่พอเราไม่ได้ดูมันในจอใหญ่ พลังของมันก็ลดลง เพราะหนังมันเน้น “ภาพวิวทิวทัศน์กว้างใหญ่ที่สวยงามสุดขีดมาก ๆ” คือถ้าหากเราได้ดูหนังเรื่องนี้ในจอใหญ่ เราคงได้รับพลังจากหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอีกเยอะ

 

และประเด็นสำคัญก็คือว่า เราว่า SONGS MY BROTHER TAUGHT ME มันทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง MY SISTER’S QUINCEAÑERA (2013, Aaron Douglas Johnston) ด้วย และเราชอบ MY SISTER’S QUINCEAÑERA มากกว่าเยอะเลย และพอมันมีตัวเปรียบเทียบที่ชัดเจนแบบนี้ ระดับความชอบของเราที่มีต่อ SONGS MY BROTHER TAUGHT ME ก็เลยลดลงเล็กน้อย

 

ส่วน THE RIDER นั้น อาจจะเป็นหนังที่ดีมาก และเราก็ชอบมันสุดขีด แต่เหมือนเราไม่ได้มองว่ามันเป็น “จุดสุดยอดของหนังอินดี้อเมริกัน” หรือ “จุดสุดยอดของหนังชีวิต” ที่เราเคยดูมา หรืออะไรทำนองนี้น่ะ เหมือนเรามองว่ามันเป็น “หนังอินดี้อเมริกันที่ดีงามมาก ๆ เรื่องหนึ่งในบรรดาหนังอินดี้อเมริกันที่ดีงามมาก ๆ อีกหลาย ๆ เรื่องในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา” อะไรทำนองนี้

 

ก็เลยกลายเป็นว่า ในบรรดา 3 เรื่องที่เราดูมานี้ ETERNALS ซึ่งเรามองว่าเป็น “จุดสุดยอดของหนัง superhero” หรือ “หนัง superhero ที่เราดูแล้วมีอารมณ์ร่วมด้วยมากที่สุดเป็นการส่วนตัว” ก็เลยกลายเป็นหนังของ Chloe Zhao ที่เราชอบมากที่สุดในบรรดา 3 เรื่องนี้ไปโดยปริยาย

Monday, April 07, 2025

R. BASOEKI ABDULLAH: AN ARTIST ACROSS FOUR ERAS

 

ลูกหมี: ผมอยากกินคุ้กกี้ JENNY BAKERY 8 MIX NUTS COOKIES ครับคุณแม่

 

แม่หมี: เอาไว้ให้แม่ถูกหวยรางวัลที่ 1 ก่อนนะลูกหมีนะ แล้วแม่ค่อยซื้อให้หนูแดก ตอนนี้แม่ไม่มีปัญญาซื้ออะไรแบบนี้ให้หนูลูกหมีกินหรอกนะจ๊ะ

 ++++

R. BASOEKI ABDULLAH: AN ARTIST ACROSS FOUR ERAS (1991, Center for Technology and Communication, Ministry of Education and Culture of the Republic of Indonesia, documentary, 49min, approximately A+30)

 

This documentary and other things concerning Basoeki Abdullah are used in the artwork A ROUNDABOUT: BLOOMING MEMENTOS, TOWARDS MONUMENT (2025, Hyphen- ) at Jim Thompson. This artwork is a part of the exhibition THE SHATTERED WORLDS: MICRO NARRATIVES FROM THE HO CHI MINH TRAIL TO THE GREAT STEPPE.

 

เราไม่เคยรู้เรื่องของ Basoeki Abdullah มาก่อนเลย เพราะฉะนั้นพอเราได้มารู้จักเขาในนิทรรศการนี้ เราก็เลยร้องกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อย่างรุนแรงมาก ประวัติชีวิตของเขามันน่าสนใจสุดขีดมาก ๆ

 

เราไม่ได้ดูหนังสารคดีเรื่องนี้ครบทั้ง 49 นาทีนะ เราได้ดูไปแค่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ประทับใจการนำเสนอเรื่องราวของจิตรกรผู้นี้ในนิทรรศการนี้อย่างรุนแรงที่สุด

 

Basoeki Abdullah เป็นจิตรกรชื่อดังชาวอินโดนีเซีย เขาเคยมาอยู่ประเทศไทยนานหลายปี และมีภรรยาชาวไทยชื่อ Nataya Nareerat

 

พอเราดูงานของเขาในนิทรรศการนี้แล้ว เราก็ไป google หาข้อมูลของเขาต่อ แล้วก็เศร้ามากที่ได้รู้ว่า Basoeki Abdullah ถูกฆ่าตายในปี 1993 ด้วยฝีมือของโจรที่บุกขึ้นบ้านของเขา ซึ่งโจรคนนั้นก็คือคนสวนของเขาเอง เขามีอายุ 78 ปีตอนที่เสียชีวิต

 

เขาเคยวาดรูป “ราชินีทะเลใต้” ในตำนานของเกาะชวาด้วย โดยมีการทำพิธีกรรมบางอย่างก่อนการวาดรูป

 

Basoeki was a realist and a naturalist painter who believed in Javanese mythology. One of his masterpieces is a painting that depicts Nyai Roro Kidul, a beautiful mythical queen of the Southern Sea.

 

“To get the queen’s permission to paint her, he sat on a coral reef to do tirakat [a soul-searching ritual] in the Southern Sea in which he placed an empty bottle. When the bottle returned it was filled with water and a piece of white coral reef,” Tubagus said. “How did the piece of coral and water get into the bottle? This might be hard to understood, but for Basoeki it was a sign that he had received the queen’s blessing.”

 

เรื่องราวการวาดรูป “ราชินีทะเลใต้” ของเขามาจาก

 https://www.thejakartapost.com/life/2018/10/23/celebrating-basoeki-abdullahs-legacy.html.


เราเข้าใจว่า “ราชินีทะเลใต้” แห่งเกาะชวานี้ คือองค์เดียวกับที่ถูกพูดถึงในภาพยนตร์เรื่อง CURSE OF THE SEVEN OCEANS (2024, Tommy Dewo, Indonesia, A+30) ที่เพิ่งเข้ามาฉายในไทยเมื่อไม่กี่เดือนก่อน

++++++++

การนั่งรถเมล์ครั้งที่มีความสุขที่สุดในชีวิต

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 4 เม.ย. แต่เราเพิ่งมีเวลามาจดบันทึกความทรงจำค่ะ

 

คือวันศุกร์นั้นเราได้ไปดูหนังเรื่อง AZURO (2022, Matthieu Rozé, France, A+30) กับหนังเรื่อง IN THE ARMS OF THE TREE (2024, Babak Lotfi Khajepasha, Iran, A+25) ที่หอภาพยนตร์ ศาลายาค่ะ ดูหนังสองเรื่องนี้เสร็จแล้วก็ไปกินอาหารเย็นที่ร้านครัวซ่อนกลิ่น ที่อยู่ตรงข้ามหอภาพยนตร์ พอกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ก็เดินมารอรถแอร์สาย 515 ค่ะ

 

พอเราได้ขึ้นรถแอร์สาย 515 ตอนราว ๆ ทุ่มนึง เราก็นึกว่า “ซวยแล้ว” เพราะพอเรานั่งไปได้แป๊บนึง เราถึงเพิ่งรู้ตัวว่า ผู้หญิงที่นั่งในรถแอร์คันเดียวกับเรา แต่ห่างจากเราไปราว 2-3 ที่ เป็น “คนบ้า” คือเธอพูดบ้าอะไรไม่รู้ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่นิสิตสาว 2 คนกำลังจะเดินลงจากรถแอร์ เธอก็พูดว่า “อีสองตัวนี้จะลงไปแล้ว ดี กินกันเอง สั่งชาเย็นมากิน แต่เสือกได้ชาไทย....” อะไรทำนองนี้ไปเรื่อย ๆ

 

เราก็ชั่งใจว่า เราควรจะรีบลงจากรถแอร์เพื่อหนีคนบ้าดีไหม แต่ดูแล้วเธอก็เหมือนไม่ได้จะลุกขึ้นมาทำร้ายใคร แต่พูดบ้าไปเรื่อย ๆ ซึ่งพอเราฟังไปเรื่อย ๆ เราก็กลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ ต้องพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้หัวเราะออกมา

 

ระหว่างที่เรากำลังลังเลอยู่ว่า เราควรจะลงจากรถเมล์เพื่อหนีคนบ้าดีไหม รถเมล์ก็แล่นไปจอดที่ป้ายนึง (ไม่แน่ใจว่าป้ายสถานีรถไฟศาลายาหรือเปล่า) แล้วเราก็แอบร้องกรี๊ดในใจอย่างสุดเสียง เพราะอยู่ดี ๆ ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์หัวเกรียนหุ่นล่ำสันบึกบึนขึ้นมาบนรถเมล์ราว ๆ 20 คน ทุกคนถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ เราไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้มาจากสถาบันอะไร แต่เราเดาว่าเป็น “นักเรียนนายร้อยตำรวจ” ทุกคนหุ่นดีมาก ๆ บางคนก็หล่อมาก ๆ ด้วย

 

เราก็เลยแอบดีใจที่เราไม่ได้ลงรถเมล์เพื่อหนีหญิงบ้าไป ไม่งั้นเราคงพลาดโอกาสได้นั่งรถเมล์กับชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ วิวดีที่สุดในชีวิต THOUGHT I’D DIED AND GONE TO HEAVEN ของจริงค่ะ

 

ส่วนหญิงบ้าคนนั้นก็ลงรถเมล์ไปตอนรถเมล์เลี้ยวเข้าถนนพุทธมณฑลสาย 4 ค่ะ

 

ตอนแรกเรากะจะหลับบนรถเมล์ ปรากฏว่าตอนนี้ไม่มีการหลับอีกต่อไป ตื่นตัวตลอดเวลา แอบมองวิวที่ดีที่สุดบนรถเมล์ไปเรื่อย ๆ จนถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิค่ะ เฮ้อ ไม่นึกว่าการนั่งรถเมล์จะมีความสุขสุดขีดขนาดนี้ “รถเมล์สายปรารถนา” ของจริงค่ะ

 

แต่เราแอบถ่ายรูปพวกเขาไม่ได้นะ เพราะถ้าหากพวกเขาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจจริง ๆ เดี๋ยวเราจะซวยเอา 55555 เราก็เลยเอารูปอะไรที่ใกล้เคียงมาแปะแทน

 

++++++++

 

เพิ่งสังเกตว่า คุณ “ยะสะกะ ไชยสร” แสดงในภาพยนตร์เรื่อง “ตะลุมพุก มหาวาตภัยล้างแผ่นดิน” (2002, Piti Jaturapat) ด้วย

 

คือเราเพิ่งมารู้จักชื่อคุณยะสะกะ จาก “ร่างทรง” (2021, Banjong Pisanthanakun) และก็ประทับใจการแสดงของเขามาก ๆ ใน DEATH WHISPERER 2 (2024, Taweewat Wantha), MULU NAKRU (2025, Boonsong Nakphoo, A+15) และ HALABALA (2025, Eakasit Thairaat, A+30)

 

ก็เลยรู้สึกว่า นอกจากเขาจะแสดงหนังเก่งมาก ๆ แล้ว เรายังทึ่งกับความเป็น “ตัวประกอบอดทน” ของเขามาก ๆ ด้วย เพราะเขาแสดงหนังมาเป็นเวลาอย่างน้อย 19-20 ปี (เราไม่รู้ว่า “ตะลุมพุก” เป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาหรือเปล่า) ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังจริง ๆ

Friday, April 04, 2025

SUGAR GLASS BOTTLE (2022, Neo Sora, Japan, 20min, A+30)

 

เมื่อตอนช่วงราว 21.00 น.มีเพจข่าวเพจนึงเพิ่งลงคลิปพบผู้รอดชีวิตจากซากตึกสตง. เราก็แชร์ไป แต่พอเราลองเข้าไปเช็คเพจข่าวอื่น ๆ ของสำนักข่าวที่มีชื่อเสียง ก็ไม่เห็นมีใครรายงานข่าวว่าพบผู้รอดชีวิตแล้ว เราก็เลยเอะใจ และก็เห็นมีคน comment ว่ามันคือคลิปเก่าจากวันแรก

 

เราก็เลย block เพจข่าวเพจแรกที่ลงคลิปนั้นไปแล้ว เพราะคิดว่ามันคือ fake news ช่วงนี้มี fake news เยอะแยะมากมายจริง ๆ

+++++

 

SUGAR GLASS BOTTLE (2022, Neo Sora, Japan, 20min, A+30)

 

นี่มันคือ prequel ของ HAPPYEND (2024, Neo Sora) นี่นา เพราะหนังเรื่องนี้มันเล่าเรื่องของสองหนุ่ม Kou และ Yuta ในโลกอนาคตอันใกล้ที่มีปัญหาแผ่นดินไหว และการที่รัฐบาลพยายามสอดส่องประชาชนอย่างเข้มงวด แต่หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นไปที่ “ความผูกพันในกลุ่มเพื่อนก่อนเรียนจบ” เหมือนอย่างใน HAPPYEND แต่เน้นไปที่ปัญหา homeless และการที่บริษัททุนใหญ่พยายามไล่ที่คนจน

 

เราดูหนังเรื่องนี้ที่

https://www.lecinemaclub.com/now-showing/sugar-glass-bottle/

 

 

Thursday, April 03, 2025

AN IMAGINARY FILM ABOUT AN ORGANIZATION IN THAILAND

 

‘Cause I am your teddy

And you are my man

Sometimes I am frightened, but I'm ready to learn
About the power of love

 

วันนี้กิน PIZZA ICE CREAM PEPPERONI ตัวไอศกรีมจริง ๆ แล้วคือชีส (ถ้าเข้าใจไม่ผิด)

 

IMAGINARY FILM WISH LIST

 

อยากให้มีคนสร้างหนังที่นำกรณีต่าง ๆ เกี่ยวกับบางหน่วยงานในประเทศไทย มาดัดแปลงให้เป็น fiction ที่ exaggerate เหตุการณ์หลายเหตุการณ์ให้เกินจริง และร้อยเรียงหลายๆ เหตุการณ์เข้าด้วยกัน ออกมาเป็นหนังแนว THE PHANTOM OF LIBERTY (1974, Luis Bunuel) ที่เต็มไปด้วยฉากต่าง ๆ อย่างเช่น จนท.บ้านเมืองที่สนับสนุนให้โรคพิษสุนัขบ้าแพร่ระบาด มีแต่สุนัขบ้า แมวบ้า วิ่งไล่พล่านกัดคนไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง, ฉากครูดอยที่ทำดีแต่โดนสั่งให้ออกจากราชการ, ฉากบรรณารักษ์ถูกสั่งห้ามใช้เงินซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด ฯลฯ และเป็นหนังแนว Kafkaesque ด้วย โดยต้องมีตัวละครบางตัวที่นั่งทำเอกสารมากมายเป็นเวลายาวนาน และต้องเจอขั้นตอนเหี้ยห่าต่าง ๆ ในการแก้ไขเศษสตางค์ให้ตรงตามที่จนท.ต้องการ อะไรทำนองนี้

 

ช่วงท้ายของหนังออกมาเป็น MURDER ON THE THAI EXPRESS มีตัวละครจนท.คนหนึ่งถูกฆ่าตายบนรถไฟ และบนรถไฟคันนั้นก็เต็มไปด้วยข้าราชการจากหลายหน่วยงานในไทย รถไฟขบวนนี้มีผู้ต้องสงสัยมากมายหลายสิบคน

++++++++

 

เทศกาลภาพยนตร์ Udine ประกาศรายชื่อหนังที่จะได้ฉายในปีนี้แล้ว อยากให้หนังหลายๆ เรื่องในเทศกาลนี้ได้รับการจัดจำหน่ายในไทยมาก ๆ ค่ายหนังต่าง ๆ ช่วยไปกว้านซื้อหนังในเทศกาลนี้มาฉายกันด้วยนะคะ

 

ดีใจสุดขีดที่ BETTING WITH GHOST ผีพารวย (2024, Nguyen Nhat Trung, Vietnam, A+30) กับ THE WOMAN IN UNIT 23B (2016, Prime Cruz, Philiippines, A+30) ได้เข้าฉายในเทศกาลนี้ด้วย เพราะเราชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้อย่างรุนแรงมาก ๆ  BETTING WITH GHOST เพิ่งเข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศไทยในปีที่แล้ว ส่วน  THE WOMAN IN UNIT 23B เคยเข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ Cinema Oasis ในกรุงเทพ

 

ดูรายชื่อหนังในเทศกาลภาพยนตร์ Udine ได้ที่

https://www.fareastfilm.com/archivi/FEFJ/files/2025/All%20The%20Films%20at%20A%20Glance%20FEFF%202025.pdf

 

 

 

Wednesday, April 02, 2025

KIM ASENDORF

 

MONOGRID (2021, Kim Asendorf, Germany, video installations, A+30)

 

ดูที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1

 

PXL DEX (2025, Kim Asendorf, Germany, video installations)

 

ดูที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 งานวิดีโอชิ้นนี้เรายืนดูแค่ราว ๆ 1 นาที เพราะอากาศมันร้อน 55555 เราก็เลยไม่ได้ยืนดูนาน ๆ

 

ALTERNATE (2023, Kim Asendorf, Germany, video installations, A+30)

 

ดูที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 ตัวงานจริงสวยมาก ๆ แต่เราไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปใกล้ ๆ

 

SABOTAGE (2022, Kim Asendorf, Germany, video installations, A+30)

 

ดูที่สถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 เราได้ยืนดูงานนี้เป็นเวลาแค่ราว 30 นาที ประทับใจสุดขีดมาก ๆ ไม่นึกมาก่อนว่า computer art จะออกมาเป็นอะไรที่งดงามแบบนี้ได้

 

ตอนช่วง 1-2 นาทีแรกที่เรายืนดูงานของเขา เรามองว่า มันก็ไม่ต่างอะไรจากมิวสิควิดีโอเพลงแดนซ์เทคโนที่เราได้ดูในทศวรรษ 1990 ที่ชอบเอาคอมพิวเตอร์มาสร้างภาพ animation ยึกยือไปเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น music video เพลง CASCADE (1993) ของวง The Future Sound of London

https://www.youtube.com/watch?v=WVRAPIXzb1o

 

แต่พอยืนดูงานของเขาไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานระยะหนึ่ง เราก็เปลี่ยนความคิด และมองว่ามันเป็นอะไรที่งดงามสุดขีดมาก เป็นความงดงามพิลาสพิไลในแบบของตัวเองจริง ๆ

 

เหมือนงานของเขาเป็น digital version ของหนังทดลองอย่าง THE DANTE QUARTET (1987, Stan Brakhage, A+30) ที่เป็นการเอาภาพแอบสแตรคท์สีสันสวยงามมาก ๆ มาเรียงร้อยต่อกันไปเรื่อย ๆ

 

รู้สึกว่า concept ในการสร้างงานของเขา มันทำให้นึกถึงองค์ประกอบบางอย่างในนิยายและภาพยนตร์ของ Alain Robbe-Grillet และภาพยนตร์ของ Peter Greenaway ด้วย แต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า มันคืออะไรกันแน่

 

เราได้ยืนฟังสิ่งที่คุณ Kim Asendorf พูดในงานแค่แป๊บเดียว และเราก็ฟังไม่ออกทั้งหมดว่าเขาพูดว่าอะไรบ้าง แต่ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด

 

1. เหมือนเขาไม่แคร์ว่าคนจะจัดประเภทงานของเขาว่าเป็นศิลปะประเภทอะไร เขามองว่ามันเป็น digital art มั้ง ส่วนเราอาจจะมองว่า งานของเขาจัดเป็น computer art, generative art, abstract art, conceptual art หรืออะไรก็ได้ แล้วพองานของเขาถูกจัดแสดงในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวแบบนี้ เราก็เลยแอบจัดให้งานของเขาที่เราได้ดูที่สถาบันเกอเธ่ ถือเป็น video installations ได้ด้วย 55555

 

2.เขามองว่า computer games ถือเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง

 

3. เหมือนเขามองว่าผลงานศิลปะ CANNOT BE EXPLAINED ซึ่งเราก็ชอบจุดนี้ในผลงานของเขาอย่างรุนแรงมาก

 

4. เขาบอกว่า ถ้าหากตอนนี้เขายังเป็นนักศึกษามหาลัย เขาก็คงจะสนใจ AI และพยายามสร้าง AI art ออกมา แต่ตอนนี้เขาแก่แล้ว เขาก็เลยไม่มีเวลาศึกษา AI

 

เราเข้าใจเอาเองว่า เขาคงศึกษาเรื่องการเขียน code เรื่องการสร้าง computer software เพื่อสร้างงานศิลปะในแบบของตัวเขาเองมาเป็นเวลานาน 20 ปีแล้ว เขาก็เลยขี้เกียจมาศึกษาเรื่อง AI ต่อ

 

เราเข้าใจว่า เขาไม่ต่อต้าน AI art แต่ตัวเขาเองขี้เกียจที่จะมาเริ่มต้นศึกษาเรื่องการใช้ AI เป็น tool ในการสร้างงานศิลปะในตอนนี้ เพราะฉะนั้นเขาก็จะยังคงสร้างงานศิลปะด้วยการเขียน code เขียน program ด้วยตัวเองต่อไป แทนที่จะให้ AI เขียนให้

 

แต่เขาสนใจเรื่อง blockchain มาก ๆ ซึ่งเราไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย

 

5. เขาใช้ gut feeling ในการตัดสินใจว่างานศิลปะแต่ละชิ้นที่ทำอยู่ เสร็จแล้วหรือไม่ พร้อมแล้วหรือไม่ ถ้าหาก gut feeling บอกว่ามันเสร็จแล้ว ก็เท่ากับว่ามันดีพอแล้วสำหรับเขา โดยเขาไม่แคร์ว่ามันจะดีพอสำหรับคนอื่น ๆ หรือไม่ก็ตาม

 

ถ้าหากเราฟังผิดหรือเข้าใจอะไรผิดไป ก็ comment มาได้นะคะ

+++

 

วันนี้เราได้มาดูหนังที่ห้าง “บิ๊กซี บางพลี” เป็นครั้งที่สองในชีวิตการแสดงค่ะ หลังจากที่เราเคยมาเยือนห้างนี้เป็นครั้งแรกในวันที่ 19 มี.ค. 2024 เพื่อดูหนังเรื่อง PHUPHAN SOBBED ภูพานสะอื้น (2024, Prommee Deekoat, Parinya Baopetch, Suchart Pudjantueg, C+ )

 

โดยในการมาเยือนเป็นครั้งที่สองนี้ เราได้ดูหนังเรื่อง “มิสเก๋” หรือ THE HAUNTED APARTMENT ผีนรก 610 (2024, Guntur Soeharjanto, Indonesia, 103min, A+15) กับหนังเรื่อง THE LEGEND OF PHI TAKHON MASK ตำนานหน้ากากผีตาโขน (2025, Tang Stuntman แต่ง สตั้นแมน, 104min, C ) ค่ะ

 

ซึ่งก็เป็นเรื่องบังเอิญสุดขีดมาก ๆ ที่เราได้ดูหนังสองเรื่องนี้ต่อกัน แล้วก็พบว่า หนังสองเรื่องนี้ มันพูดถึง “หน้ากากที่มีอัญมณีสีแดงตรงกลางหน้าผาก” เหมือนกันทั้งสองเรื่องเลย

 

ในส่วนของหนังเรื่อง THE HAUNTED APARTMENT นั้น เรารู้สึกว่าหนังมันมี “ความปัญญาอ่อน” อยู่ แต่มันเป็นความปัญญาอ่อนในแบบที่เรามักพบได้ในหนังผีทั่วไป และเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไว้แล้ว เพราะฉะนั้น “ความปัญญาอ่อนที่กูคาดไว้แล้วว่าต้องเจอในหนังทำนองนี้” ก็เลยไม่ได้ลดทอนความสุขในการดูหนังของเรามากนัก 55555

 

ส่วน “ตำนานหน้ากากผีตาโขน” นั้น เราพบว่าหนังค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับเรา คือหนังมันอาจจะมีไอเดียอะไรน่าสนใจอยู่บ้าง อย่างเช่น การนำเอาเรื่องตำนานอภินิหารกับ “หนังบู๊” มาผสมกัน แต่เนื่องจากเราไม่ใช่แฟนหนังบู๊อยู่แล้ว จุดแข็งของหนังเรื่องนี้ อย่างเช่น ฉากบู๊ ก็เลยไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้น

 

แต่ไอเดียหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือการให้ตัวละครพระเอกต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาในฉากบู๊ ซึ่งไอเดียดังกล่าวเปิดโอกาสให้ “stuntman” สามารถแสดงแทนพระเอกได้ตลอดฉากบู๊ พระเอกไม่ต้องเล่นเองเลยก็ได้ในฉากบู๊ เพราะตัวละครพระเอกใส่หน้ากากตลอดเวลาในฉากดังกล่าว

 

การสร้างฉากบู๊แบบนี้ ก็เลยทำให้เรานึกถึงละครโทรทัศน์เรื่อง “ศึกชิงเจ้ายุทธจักร” หรือ THE WATER LEGEND (1980) ที่เราชอบสุดขีด เพราะในละครทีวีฮ่องกงเรื่องนี้ มีตัวละครนำตัวหนึ่งที่แสดงโดย ฉีเส้าเฉียน ซึ่งฉีเส้าเฉียนเป็นดาราหนุ่มที่ฮอตสุดขีดในยุคนั้น เขาก็เลยไม่ค่อยว่างมาถ่ายทำละครทีวีเรื่องนี้ ทางผู้สร้างละครทีวีเรื่องนี้ก็เลยเขียนบทให้ตัวละครที่เขาแสดง “ใส่หน้ากาก” อยู่ช่วงหนึ่งของเรื่อง แล้วก็ให้ stuntman มาแสดงแทนฉีเส้าเฉียนในหลาย ๆ ตอนในช่วงที่ตัวละครดังกล่าวใส่หน้ากากอยู่ 555555

 

ไตเติล “ศึกชิงเจ้ายุทธจักร”

https://www.youtube.com/watch?v=HFj1kjhrLZw

 

แล้วพอเราดู “เครดิตช่วงท้าย” ของ “ตำนานหน้ากากผีตาโขน” เราก็สงสัยว่า ตกลงคนที่เล่นฉากบู๊แทนพระเอกในหนังเรื่องนี้ เป็น “หญิงสาว” ใช่ไหมนะ หรือเราเข้าใจผิด

 

Tuesday, April 01, 2025

SHE WORKS HARD FOR THE MONEY

 

Favorite Music Video: SHE WORKS HARD FOR THE MONEY – Donna Summer (1983, Brian Grant)

 

พอได้ดูกับได้ฟัง MV เพลงนี้แล้วก็ทำให้ย้อนรำลึกขึ้นมาได้ว่า เราเติบโตมากับการฟังเพลงแนว feminist และเพลงแนวเห็นใจชีวิตผู้หญิงในทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 อย่างเช่นเพลง

 

1. GIRLS JUST WANT TO HAVE FUN (1983) – Cyndi Lauper

 

2. SISTERS ARE DOIN’ IT FOR THEMSELVES (1985) – Eurythmics

 

3. SUPERWOMAN (1989) – Karyn White

 

4. ALL WOMAN (1991) – Lisa Stansfield

 

5. SUCCESS HAS MADE A FAILURE OF OUR HOME (1992) – Sinéad O’Connor

 

พอเราไปอ่าน wikipedia เกี่ยวกับที่มาของเพลง SHE WORKS HARD FOR THE MONEY แล้วก็พบว่า มันน่าสนใจดีด้วย เพราะว่า Donna Summer ได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้จากการที่เธอได้พบ “พนักงานทำความสะอาดห้องน้ำหญิง” ชื่อ Onetta Johnson โดยบังเอิญในเดือนก.พ. 1983 โดยในคืนนั้นดอนน่า ซัมเมอร์ได้ไปเข้าห้องน้ำหญิงในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งในห้องน้ำมีการเปิดทีวีเสียงดัง แต่ดอนน่าก็พบว่า มีพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำหญิงคนหนึ่งฟุบหลับอยู่อย่างเหนื่อยล้าในซอกมุมหนึ่งของห้องน้ำ แล้วดอนน่าก็คิดในใจว่า ”She works hard for the money.” แล้วก็นึกขึ้นมาได้ในทันทีว่า เธอสามารถนำสิ่งนี้มาแต่งเป็นเพลงใหม่ได้

 

ดอนน่าก็เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมา แล้วเพลงนี้ก็กลายเป็นชื่ออัลบั้มใหม่ของดอนน่า  แล้วดอนน่าก็เชิญ Onetta Johnson ซึ่งเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำหญิงคนนั้น ให้มาถ่ายรูปร่วมกับดอนน่าในปกหลังของอัลบั้มด้วย

Monday, March 31, 2025

DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD (1995, Tsutomu Shibayama, Japan, animation, 97min, A+30)

 

รายงานผลประกอบการประจำวันอาทิตย์ที่ 30 มี.ค. 2025

 

วันนี้เราออกมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ 5 เรื่อง ตอนแรกเรานึกว่าวันนี้คนในห้างสรรพสินค้าจะน้อย เรานึกว่าคนอาจหวาดกลัวแผ่นดินไหวกัน ปรากฏว่าคนในห้างสรรพสินค้ายังคงแน่นเหมือนเดิม (หรือเปล่า) โดยเฉพาะที่สามย่านมิตรทาวน์ที่เราหาที่นั่งว่างใน FOOD COURT ไม่ได้เลยตอนเที่ยง

 

1. A ROAD TO A VILLAGE (2023, Nabin Subba, Nepal, 106min, A+30)

 

ดูที่ HOUSE SAMYAN รอบ 10.00 น.

 

2. PRESENCE (2024, Steven Soderbergh, 84min, A+30)

 

ดูที่ HOUSE SAMYAN รอบ 12.55 น.

 

3. EMILIA PÉREZ (2024, Jacques Audiard, France/Mexico, 132min, A+25)

 

ดูที่ HOUSE SAMYAN รอบ 14.35 น.

 

4. PINK FLOYD: LIVE AT POMPEII (1972, Adrian Maben, documentary, Belgium/West Germany/France, A+25)

 

ดูที่ BACC รอบ 18.45

 

5. DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD (1995, Tsutomu Shibayama, Japan, animation, 97min, A+30)

 

ดูที่พารากอน รอบ 21.00 น.

 

สรุปว่า วันนี้ 3 อันดับแรก เราชอบ A ROAD TO A VILLAGE, PRESENCE และ DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD อย่างสุดขีด ตอนนี้ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเราชอบเรื่องไหนมากที่สุดใน 3 เรื่องนี้

 

ส่วนอันดับ 4 ของวันนี้คือ PINK FLOYD: LIVE AT POMPEII

 

คือเราแทบไม่เคยฟังดนตรีของ Pink Floyd มาก่อน พอเราได้ฟังดนตรีของวงนี้ในหนังเรื่องนี้เราก็รู้สึกตื่นตะลึงมาก ๆ รู้สึกว่ามันไพเราะมาก ๆ แต่เราอยาก “หลับตาฟังดนตรี แล้วจินตนาการภาพอะไรบ้า ๆ บอ  ๆ ในหัวด้วยตัวเอง” มากกว่า 5555 เรารู้สึกเฉย ๆ กับ “ภาพ” ที่เราได้เห็นในหนังเรื่องนี้

 

ส่วนอันดับ 5 ของวันนี้คือ EMILIA PÉREZ ซึ่งเราชอบความ “น้ำเน่า” และความ musical ของมันมาก ๆ และก็ชอบ “ไอเดีย” บางอย่างของหนังด้วย แต่เรารู้สึกว่าหนังมันไม่ convincing เราในบางส่วน เราก็เลยไม่ได้ชอบมันถึงขั้น A+30

 

ซึ่งเราก็มีปัญหาคล้าย ๆ อย่างนี้กับ SPERMAGEDDON (2025, Rasmus A. Sivertsen, Tommy Wirkola, animation, Norway, 80min, A+25) เหมือนกัน เพราะเราก็ชอบ “ความคิดสร้างสรรค์” ของ SPERMAGEDDON มาก ๆ แต่หนังมันขาดความ convincing ในบางจุด เราก็เลยไม่ได้ชอบมันถึงขั้น A+30

 

ส่วน A ROAD TO A VILLAGE นั้นเราดูแล้วนึกถึง OHAYO (1959, Yasujiro Ozu, Japan, A+30) มาก ๆ นึกว่าเป็นคู่หนังที่เหมาะนำมาเปรียบเทียบกัน และเราก็ตัดสินไม่ได้ว่าเราชอบหนังเรื่องไหนมากกว่ากัน แต่เราชอบตอนจบของ A ROAD TO A VILLAGE อย่างรุนแรงมาก ๆ

 

ส่วน PRESENCE นั้น เราก็ชอบสุดขีด โดยเฉพาะตอนจบของหนัง สิ่งแรกที่เราทำหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ คือเข้า google เพื่อเสิร์ชหารูป Eddy Maday ถอดเสื้อ แต่เราหารูปเขาตอนถอดเสื้อไม่ได้เลย มันอะไรกันคะเนี่ย

 

ส่วน DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD นั้น เราดูแล้วหวีดสุดขีดมาก ๆ เพราะเราไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้ไว้เลย นึกว่ามันคงเป็นหนังสำหรับเด็กที่ไม่เข้าทางเรา ปรากฏว่าดูแล้วหวีดสุดขีด ดูแล้วนึกว่า ETERNALS (2021, Chloé Zhao) ผสมกับ DOCTOR STRANGE IN THE MULTIVERSE OF MADNESS (2022, Sam Raimi) แต่ว่า DORAEMON มาก่อนหน้าหนังกลุ่มนี้ของ Marvel ราว 20 กว่าปี นึกไม่ถึงว่าหนังชุด DORAEMON จะล้ำยุคล้ำสมัยอย่างรุนแรงมาก ๆ

Sunday, March 30, 2025

WHY I AM PARANOID WHEN I SEE CRACKS ON A WALL

 

พอเกิดเหตุตึกถล่มเมื่อวานนี้แล้ว เราก็เลยนึกถึงหนึ่งในเหตุการณ์ที่ฝังใจและสร้างความหวาดกลัวให้เราอย่างสุดขีดมาก ๆ เมื่อ 32 ปีก่อน นั่นก็คือเหตุการณ์ตึกโรงแรมรอยัลพลาซ่าถล่มที่นครราชสีมาในวันที่ 13 ส.ค. 1993 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 137 ราย จำได้ว่าตอนนั้นเรากับเพื่อนๆ ติดตามข่าวนี้ด้วยความระทึกขวัญมาก เพราะอยู่ดี ๆ มันก็ถล่มลงมาเอง โดยไม่มีปัจจัยภายนอกอย่างเช่น แผ่นดินไหวใด ๆ มาเป็นแรงผลักดัน ข่าวนี้ก็เลยเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึก paranoid มาก ๆ เวลาเห็นรอยร้าวตามอาคารต่าง ๆ

 

ข้างล่างนี้เป็นข้อมูลที่ copy มาจาก

https://www.thairath.co.th/scoop/flashback/2716230

https://www.sanook.com/news/8973934/

 

“หลังจากเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ได้ตรวจพบหลักฐานการประชุมเมื่อปี 2530 ระบุว่าได้เกิดรอยร้าวตามฝาผนัง ซึ่งกรรมการบริหารทราบดี แต่ปกปิดและโบกปูนปิดไว้ กระทั่งปี 2534 ได้ต่อเติมห้องพักบนชั้น 5-6 เพื่อให้ทันกับการประชุมไลออนส์ ต่อมาก็มีรอยร้าวที่บันไดขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้รับความสนใจที่จะแก้ไข”

 

 ได้มีการต่อเติมอาคารจาก 3 ชั้น เป็นอาคาร 6 ชั้น พร้อมห้องประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ที่ชั้น 6 และยังมีอีก 3 โครงการที่จะทำเพิ่ม คือ ปรับปรุงคาเฟ่ใหม่ทั้งหมด และจะสร้างอาคารจอดรถ สูง 8 ชั้น จอดรถได้ 400 คัน ด้วยงบสูงถึง 30 ล้านบาท กับเตรียมจัดงานใหญ่ฉลองครบรอบ 10 ปีโรงแรมฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2536 แต่กลับมาเกิดเหตุการณ์สลดโรงแรมพังถล่มขึ้นเสียก่อนในวันที่ 13 สิงหาคม 2536 จากสาเหตุการก่อสร้างอาคารและการอนุญาตแบบแปลนก่อสร้างอาคารที่ไม่ถูกต้องตามหลัก พรบ.ควบคุมอาคาร ต่อเติมโรงแรมเพิ่มอีก 3 ชั้น ทำให้เสารับน้ำหนักตัวอาคารไม่ไหว อีกทั้งโครงสร้างเสายังไม่ได้เชื่อมยึดติดกัน ทำให้เสาที่ตั้งอยู่บนคาน แบกรับน้ำหนักมากเกินไป ทำให้คานหลุดออกจากหัวเสาที่ชั้น 2 และโครงสร้างอาคารบนหัวเสายุบตาม ส่งแรงดึงรั้งกระทบเสาต้นข้างเคียงให้หักล้มตามมาในที่สุด”

 

“ช่วงเวลาชุลมุนพบหญิงตั้งครรภ์รายหนึ่ง แพทย์ลงความเห็นจำเป็นต้องทำคลอดก่อนกำหนด เนื่องจากท่อนแขนซ้าย ถูกของหนักทับอาการสาหัส การทำคลอดกลางเศษซากตึกถล่มเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทุกคนเฝ้าลุ้นและภาวนาให้แม่และเด็กรอดปลอดภัย แต่ไม่กี่อึดใจเสียงดีใจของทีมกู้ภัยดังขึ้น หลังเด็กชายลืมตาดูโลก โดยตั้งชื่อว่า ด.ช.ปาฏิหาริย์ แต่มีชีวิตได้เพียง 9 วัน ก็สิ้นลม”

 

WHY I AM PARANOID WHEN I SEE CRACKS ON A WALL

 

พอเราเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวานนี้ และเห็นคลิปเหตุการณ์ตึกถล่มในกรุงเทพเมื่อวานนี้ เราก็เลยย้อนนึกถึงความหวาดกลัวสุดขีดของเราที่มีต่อเหตุการณ์ “ตึกถล่ม” ตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก ซึ่งในตอนเด็ก ๆ นั้น ความหวาดกลัวของเราที่มีต่อเหตุการณ์ตึกถล่ม ก็น่าจะมีสาเหตุมาจากละครโทรทัศน์เรื่อง “คอนโดมิเนียม” (1984, กำกับโดย สุพรรณ บูรณะพิมพ์) ที่ออกอากาศทางช่อง 7 และภาพยนตร์เรื่อง THE TOWERING INFERNO ตึกนรก (1974, John Guillermin, 165min)

 

และความหวาดกลัวของเราที่เกิดจาก fiction อย่างเช่นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ก็เพิ่มพูนขึ้นไปอีกเมื่อเราได้รับรู้ “ข่าว” ตึกถล่มจริง ๆ ในเวลาต่อมา โดยเฉพาะข่าว

 

1.เหตุการณ์โรงแรมนิวเวิลด์ถล่มที่สิงคโปร์ในปี 1986 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 33 ราย โดยก่อนเกิดเหตุโรงแรมถล่มนี้ มี “สัญญาณเตือน” ปรากฏขึ้นมาก่อนในรูปแบบของรอยร้าวตามตัวอาคาร ก่อนที่อาคารโรงแรมจะถล่มในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา

 

2. เหตุการณ์โรงแรมรอยัล พลาซ่าถล่มที่จังหวัดโคราชในปี 1993 ซึ่งก่อนเกิดเหตุนี้ก็มีสัญญาณเตือนปรากฏออกมาในรูปแบบของ “รอยร้าว” ตามตัวอาคารเช่นกัน เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 137 ราย

https://www.thairath.co.th/scoop/flashback/2716230?fbclid=IwY2xjawJU7L9leHRuA2FlbQIxMAABHV72oB3GV2O35hJFstaHMIc3YRgl00Jbp3keWer0u4rHZ0SxEhGC9nGFvg_aem_NGe6d9R0ssxJZptZgMn0Bw

 

3.เหตุการณ์ห้างสรรพสินค้า Sampoong ถล่มที่กรุงโซล เกาหลีใต้ในวันที่ 29 มิ.ย. 1995 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 502 คน โดยก่อนที่ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้จะถล่มนั้น ก็มี “สัญญาณเตือน” ปรากฏขึ้นในรูปแบบของรอยร้าวที่เพดานชั้น 5 ของห้างสรรพสินค้าในเดือนเม.ย.ปี 1995

 

เหตุการณ์ห้างสรรพสินค้าถล่มนี้เคยถูกนำเสนอในภาพยนตร์สารคดีเรื่อง NON-FICTION DIARY (2013, Jung Yoon-suk, 90min, A+30) ที่เคยเข้ามาฉายในกรุงเทพด้วย

 

4. เหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่มที่นครนิวยอร์คในวันที่ 11 ก.ย.ปี 2001 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3000 คน แต่เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายอาคาร

 

ก็เลยสรุปได้ว่า การที่เรากลายเป็นคนที่ paranoid เวลาเห็นรอยร้าวตามอาคารต่าง ๆ ก็มีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ในข้อ 1-3 นี่แหละ ทั้งเหตุการณ์ “โรงแรมนิวเวิลด์” ถล่มที่สิงคโปร์ในวันที่ 15 มี.ค. 1986 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 33 ราย, เหตุการณ์โรงแรมรอยัล พลาซ่าถล่มที่จังหวัดนครราชสีมาในปี 1993 และเหตุการณ์ห้างสรรพสินค้าถล่มที่กรุงโซลในปี 1995 เพราะทั้งสามเหตุการณ์นี้ มันมี “สัญญาณเตือน” ก่อนถล่ม ซึ่งได้แก่รอยร้าวตามจุดต่าง ๆ ของอาคาร

 

Before the Hotel New World (Lian Yak Building) in Singapore collapsed on March 15, 1986, signs of structural problems included persistent cracks in columns, walls, and floors, as well as crumbling concrete.

 

ข้อมูลในย่อหน้าข้างล่างนี้ มาจาก

https://www.nlb.gov.sg/main/article-detail?cmsuuid=ea8bc1f2-ae27-4208-beb6-7ff88715f3ea

 

On 22 March 1986, then President Wee Kim Wee appointed a commission of inquiry to investigate the cause of the collapse. In the final report released on 16 February 1987, the panel concluded that the collapse was due to the inadequate structural design of the building. The problem was further exacerbated by new installations on the roof, and the appearance of persistent cracks in columns, walls and floors weeks before the collapse. 

 

ข้อมูลในย่อหน้าข้างล่างนี้ มาจาก

https://news.northeastern.edu/2021/07/02/what-are-the-warning-signs-before-a-building-collapses/

 

Q:You’ve spoken of the 1986 collapse of the Hotel New World in Singapore that killed 33 people as another kind of warning example.

 

A: In that building the occupants were seeing that concrete on the garage floor is crumbling. They were going to the owner, who happened to be the building designer, and he was telling them, ‘No, it’s fine.’ And then the building collapsed. So if you see something is wrong, you need to take action.

 

สาเหตุของการถล่มของโรงแรมนิวเวิลด์ จาก wikipedia

“ the original structural engineer had made an error in calculating the building's structural load. The structural engineer had calculated the building's live load (the weight of the building's potential inhabitants, furniture, fixtures, and fittings) but the building's dead load (the weight of the building itself) was completely omitted from the calculation. This meant that the building as constructed could not support its own weight. Three different supporting columns had failed in the days before the disaster, the other columns – which took on the added weight no longer supported by the failed columns – could not support the building.”

 

หลังจากเกิดเหตุการณ์โรงแรมนิวเวิลด์ถล่ม รัฐบาลสิงคโปร์ก็เลยตรวจสอบอาคารหลายแห่ง และก็พบว่าอาคารหลายแห่งไม่ปลอดภัย ทางรัฐบาลก็เลยอพยพคนออกจากอาคารเหล่านั้น และทำลายอาคารเหล่านั้นทิ้ง

 

Following this disaster, all buildings built in the 1970s in Singapore were thoroughly checked for structural faults, with some of them declared structurally unsound and evacuated for demolition, including the main block of Hwa Chong Junior College and Catholic High School campus at Queen Street.

 

ในส่วนของห้างสรรพสินค้าที่กรุงโซลนั้น สัญญาณเตือนในรูปแบบของรอยร้าวก็เกิดขึ้นเช่นกัน

 

In April 1995, cracks began to appear in the ceiling of the fifth floor in the south wing, but the only response by Lee Joon and staff management was to move merchandise and stores from the top floor to the basement.

 

On the morning of June 29, the number of cracks in the area increased dramatically, prompting store management to close parts of the top floor. However, the management failed to shut the building down or issue formal evacuation orders, as the number of customers in the building at the time was unusually high, and management did not want to lose the day's revenue. When civil engineering experts were invited to inspect the structure, a cursory check revealed that the building was at risk of collapse. The facility's manager also examined the slab in one of the fifth-floor restaurants only hours before the collapse. Five hours before the collapse, the first of several loud bangs was heard emanating from the top floors, as the vibration of the air conditioning caused the cracks in the slabs to widen further. Amid customer complaints about the vibration, the air conditioning was turned off, but the cracks in the floors had already grown to 10 cm (3.9 in) wide.

 

An emergency board meeting was held when it became clear that the building's collapse was inevitable. The directors suggested that all staff and customers should be evacuated, but Lee Joon violently refused to do so for fear of revenue losses. However, Lee Joon and the executives left the building safely before the collapse occurred.

https://en.wikipedia.org/wiki/Sampoong_Department_Store_collapse#Documentary

++++++++++++++

ขอสารภาพตามตรงว่า ตอนที่เราดูหนังสารคดีเรื่อง “สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่กลับออกจากป่า” INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985, produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705 min) ที่หอภาพยนตร์ ศาลายานั้น เรารู้สึกว่าคุณหมอเหวงตอนวัยหนุ่มน่ารักมาก ๆ ดูแล้วเราก็แอบรู้สึกอิจฉาคุณธิดา ถาวรเศรษฐ อยู่ในใจ 55555