FLOW STATES (2025, Nivedita Johri, Hong Kong, interactive
video installation, A+25)
EMBODIED TILES (2025, Patt Vira, interactive video
installation, A+30)
เล่นสนุกมาก เหมือนมีความเคลื่อนไหวอย่างน้อย
3-4 อย่างในวิดีโอเกมนี้
1.
ความเคลื่อนไหวของร่างกายของเราส่งผลให้สีสันของรูปทรง 6
เหลี่ยมในแต่ละจุดของวิดีโอเปลี่ยนแปลงไป
2. ไม่แน่ใจว่าความเคลื่อนไหวของร่างกายของเรา
ส่งผลให้เกิดก้อนสีเล็ก ๆ ในรูปทรง 6 เหลี่ยมบางอันด้วยหรือเปล่า
3. รูปทรง 6 เหลี่ยมแต่ละอันก็หมุนไปหมุนมาได้
4. การหมุนไปหมุนมาของรูปทรง 6 เหลี่ยมแต่ละอัน
ส่งผลให้ก้อนสีเล็ก ๆ ในแต่ละรูปทรงไหลไปไหลมา ซึ่งอาจจะเปิดทางให้ก้อนสีเล็ก ๆ
แต่ละอันไหลตามท่อที่คดเคี้ยวเลี้ยวลด ลงไปสู่รูปทรงอื่น ๆ ที่อยู่ล่าง ๆ ลงไป
จนไหลออกจากจอภาพได้ในที่สุด
PIX (2018, Kimbab:) , interactive installation)
TRAFFIC DESTINY (2025, Rogerger Ng, Hong Kong, video
installation, A+30)
ฮาสุดขีด งานวิดีโอนี้มี 6 จอ
สองจอนำเสนอละครบุพเพสันนิวาส, สองจอถ่ายการจราจรในกรุงเทพที่ติดขัด และอีก 2
จอเหมือนเป็นภาพ abstract ของการจราจร
สองจอที่เป็นละครบุพเพสันนิวาสจะฮามาก ๆ
เพราะวิดีโอนี้จะกระตุกไปมา สะดุดหยุดชะงักอยู่เรื่อย ๆ
โดยแปรผกผันกับสภาพการจราจร คือถ้าหากช่วงไหนรถเคลื่อนตัวได้ ละครก็จะหยุดกึก
แต่ถ้าหากช่วงไหนที่รถติดไฟแดง หรือการจราจรติดขัด ละครก็จะไหลไปเรื่อย ๆ ได้
เพราะ Rogerger Ng ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่คนขับรถยนต์หลายคนทำในช่วงที่รถติดไฟแดง
นั่นก็คือดูละคร/ดูคลิปอะไรต่าง ๆ ในรถยนต์ไปเรื่อย ๆ
มันก็เลยดูแล้วฮาสุดขีดที่ตัวละครมักจะหยุดนิ่งอยู่เรื่อย
ๆ โดยเฉพาะในฉากสำคัญ นึกถึงอารมณ์ตลกแบบที่เราพบได้ในหนังอย่าง ALONE:
LIFE WASTES ANDY HARDY (1998, Martin Arnold, Austria, A+30)
แน่นอนว่า
ดูงานวิดีโอนี้แล้วนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง THE MOST BEAUTIFUL TIME โมงยามที่งามที่สุด (2014, Teeraphan Ngowjeenanan, 30min,
A+30) ด้วย
เพราะหนังเรื่องนั้นเป็นการถ่ายถนนลาดพร้าวช่วงรถติดตลอดทั้งเรื่อง (ถ้าจำไม่ผิด)
เพราะฉะนั้นในแง่นึงเราก็เลยรู้สึกว่า TRAFFIC DESTINY เหมือนเป็นการต่อยอดจากภาพยนตร์ของ
Teeraphan โดยเอาความฮาแบบหนังของ Martin Arnold เข้ามาผสมด้วย
DAS GEDÄCHTNIS (THE MEMORY) (2025, Theerawat
Klangjareonchai, video installation, A+30)
ตัววิดีโอจริงนี่งดงามจนสุดจะบรรยาย
มไหศวรรย์มหรรคาลัยมาก ๆ โดยภาพนิ่งที่เราถ่ายมานี่ไม่สามารถสะท้อนความงามของตัววิดีโอนี้ได้เลย
อาจจะเป็นเพราะภาพในวิดีโอนี้มันกะพริบแวบวับแวววาวจรัสแสงตลอดเวลา
คือต้องดูมันในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวเท่านั้นน่ะ ถึงจะเห็นความงามของมัน
เห็นความวิบวับของมัน พอดูเป็นภาพนิ่งแล้วแทบไม่เห็นอะไรเลย
เหมือนเป็นงานวิดีโอที่ใช้เทคโนโลยียุคปัจจุบัน
แต่เราดูแล้วนึกถึงหนังเงียบ 2 genres ที่นิยมทำกันเมื่อ 100
ปีก่อน เพราะว่าตัววิดีโอนี้เหมือนถ่ายสภาพบ้านเมืองในเยอรมนี
แต่นำฟุตเตจสภาพบ้านเมืองนั้นมาทำให้เป็นภาพ abstract วิบวับ
เพราะฉะนั้นพอเราดูวิดีโอนี้แล้ว เราก็เลยนึกถึง
1. หนังเงียบกลุ่ม CITY SYMPHONY อย่างเช่น
1.1 BERLIN: SYMPHONY OF METROPOLIS (1927, Walter Ruttmann,
Germany)
1.2 MAN WITH A MOVIE CAMERA (1929, Dziga Vertov, Soviet
Union)
1.3 RAIN (1929, Joris Ivens, Netherlands)
2. หนังทดลองในทศวรรษ 1920 ที่เล่นกับ “จังหวะ” ของ “รูปทรงเรขาคณิต” หรืออะไรทำนองนี้
โดยเฉพาะหนังของ Marcel Duchamp, Viking Eggeling, Hans Richter
ETERNAL GAIN, ETERNAL PAIN. (WOULD YOU STILL LOVE ME IF I
WAS A DIGITAL C. ELEGANS) (2025, Wasawat Somno, video installation, A+30)
ดูแล้วนึกถึง “หลักธรรมะ”
โดยที่ตัวผู้สร้างวิดีโอนี้คงไม่ได้ตั้งใจ 55555 และก็นึกถึงหนังเรื่อง BLADE
RUNNER (2017, Denis Villeneuve, A+30) ด้วย
เพราะเหมือนหนังเรื่องนั้นทำให้เรามองว่า “หุ่นยนต์ก็มีความรู้สึกได้
เพราะในบางครั้ง ความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่ถูก “โปรแกรม” ได้”
TRACING THE CURVE (2024-2025, Wuttin Chansataboot, video
installation, 4min, A+30)
งดงามสุดขีด
MANUS (2025, yaboihanoi, video installation, 4min, A+30)
งดงามเพริศแพร้วจนสุดจะบรรยาย ONE OF MY
MOST FAVORITE FILMS I SAW IN 2025
ตอนที่ดูวิดีโอนี้ เราต้อง “กอดอก”
ตัวเองอย่างแน่นมาก ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน
เพราะถ้าหากเราไม่เอามือกอดอกตัวเองไว้แน่น ๆ
เราจะต้องเอามือเอาแขนของเราออกมาร่ายรำไปตามวิดีโออย่างแน่นอน
คือดูวิดีโอนี้แล้วอยากเซิ้ง อยากรำปอบผีฟ้าไปด้วย ดูวิดีโอไปด้วยมาก ๆ
ซึ่งเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรามาก่อน
เพราะฉะนั้นการได้ดูวิดีโอนี้ก็เลยเหมือนมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ
ที่ไม่เคยพบเคยเจอให้กับเรา 55555
ดูแล้วนึกถึง
“ละครทีวีฮ่องกงแนวกำลังภายในในทศวรรษ 1980” ด้วย
เพราะพอเวลาตัวละครในละครดังกล่าว “ใช้กำลังภายใน”
บางทีมันจะถูกนำเสนอออกมาในภาพกราฟฟิกที่เห็นแขนเห็นมือซ้อน ๆ ๆๆ ๆ กัน แบบนี้
ดูแล้วนึกถึงละครเวทีของคุณ Pichet
Klunchun ด้วย
ชอบมาก ๆ
ด้วยที่ท่าทางการร่ายรำในวิดีโอนี้เหมือนการรำไทยยุคโบราณ แต่ดนตรีนี่นึกว่า HIGHER
STATE OF CONSCIOUSNESS (1995) ของ Josh Wink
ดูจบแล้วต้องบอกว่า “วิทยายุทธเธอสูงมากค่ะ”
++++
TITLE WAIVE (2019-2025, Ryan Trecartin, video
installation, 33min, A+30)
1. เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูปุ๊บก็เตรียมเข้าชิงอันดับ
1 ประจำปีในทันที นึกว่ามีฉากคลาสสิคทุก 1 วินาที
ก่อนหน้านี้หนังเรื่อง I-BE AREA (2007,
Ryan Trecartin, 108min) ก็เคยติดอันดับ 1 ของเราประจำปี 2008
ไปแล้ว และหนังเรื่องนั้นก็มีฉากคลาสสิคทุก 1 วินาทีเหมือนกัน
เราได้ดู I-BE AREA ที่ Conference
of Birds Gallery ตรงถนนสีลมในปี 2008
แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ดูหนังของ Ryan Trecartin อีกเลยมั้งในช่วง
17 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า 17 ปีผ่านไป หนังของเขาก็ยังคงแรงฤทธิ์เหมือนเดิม ดีใจที่เขายังคงรักษาความ
“ไม่ทราบชีวิตอะไรอีกต่อไป” ในหนังของเขาได้ดีขนาดนี้
2. ดูแล้วก็รู้สึกว่า Ryan Trecartin นี่เหมือนเป็นลูกผสมระหว่าง “พจน์ อานนท์” กับ Werner Schroeter คือหนังของเขามีความ “unapologetically หีแตก”
แบบหนังของพจน์ อานนท์ และก็มีความ “sophisticated queer aesthetics” แบบหนังของ Werner Schroeter ผสมอยู่รวมกัน
3. เพราะฉะนั้นก็เลยสรุปได้ว่า ในความเห็นส่วนตัวของเรานั้น
Ryan Trecartin นี่แหละ คือ “คู่แข่งตัวจริง” ของ Ratchapoom
Boonbunchachoke และ Gabriel Abrantes 555555
หรือจริง ๆ แล้วก็คือ เราอยากให้มีคนจัด triple
retrospectives มาก ๆ แบบเอาหนังของ Ratchapoom
Boonbunchachoke, Ryan Trecartin และ Gabriel Abrantes มาฉายควบกัน เพราะเราว่าหนังของ 3 คนนี้เหมาะปะทะกันอย่างรุนแรงที่สุด
แต่อันนี้ถือเป็น “ผู้กำกับที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน”
นะ เพราะถ้าหากเป็นผู้กำกับรุ่นก่อนหน้านั้น เราก็ว่าควรมีการจัด triple retrospectives ของ Michael Shaowanasai + Bruce LaBruce + Rosa
von Praunheim อะไรทำนองนี้
4. ไม่ขอเขียนบรรยายอะไรใด ๆ เกี่ยวกับ
TITLE WAIVE เพราะมันเกินความสามารถของเราจริงๆ ที่จะถ่ายทอดความหีแตกของหนังเรื่องนี้ออกมาเป็นตัวอักษรได้
++++
บางทีเราก็แอบสงสัยว่า ถ้าหาก Bo
Widerberg ไปเกิดในนอร์เวย์, เดนมาร์ก หรือไอซ์แลนด์ เขาอาจจะโด่งดังกว่านี้
แต่พอเขามาเกิดในสวีเดนในยุคเดียวกับ Ingmar Bergman เขาก็เลยเหมือนถูกความดังของ
Bergman บดบังรัศมีจนหมดหรือเปล่า 55555
อย่าง Roy Andersson นี่เราก็ว่า
เขาอาจจะโชคดีที่มา “รุ่นถัดจาก Bergman” เหมือนเขาทำหนังมานานแล้ว
แต่เพิ่งมาเริ่มโด่งดังเปรี้ยงปร้างตอนที่ Bergman อำลาวงการไปแล้ว
55555
แต่เราเคยดูหนังของ Bo Widerberg แค่เรื่องเดียวนะ เรื่อง ALL THINGS FAIR (1995) ในรูปแบบวิดีโอเทปจากร้านแว่น
และก็เคยดูหนังสารคดีเรื่อง LIFE AT ANY COST (1998, Stefan Jarl, Sweden) เป็นหนังสารคดีที่พูดถึงความดีความงามของ Bo Widerberg หนังสารคดีเรื่องนี้เคยมาฉายที่ศาลาเฉลิมกรุงเมื่อราว 25 ปีก่อน และหนังสารคดีเรื่องนี้ก็เลยทำให้เราอยากดูหนังของ
Bo Widerberg อย่างรุนแรง ปรากฏว่า เวลาผ่านมาแล้ว 25 ปี
ก็ไม่เห็นมีใครนำหนังคลาสสิคของ Bo Widerberg มาลงโรงฉายในไทยเลย
น่าเสียดายมาก ๆ
No comments:
Post a Comment