Monday, November 10, 2025

ALL THE PAINS FROM FILM FESTIVALS IN 1998-2025

 

ช่วงนี้เราก็ยังคงหยิบเทปเพลงเก่า ๆ มาฟังเป็นครั้งคราว เราชอบอัลบัมนี้มาก ๆ SWEPT (1991) ของ Julia Fordham จากค่าย EMI เพลงที่ชอบที่สุดในอัลบัมนี้น่าจะเป็นเพลง TIED

 

เทปมีอายุ 34 ปีแล้ว แต่ยังฟังได้ดีอยู่เลย ขอบพระคุณ EMI ค่ะ

 

เนื้อเพลง TIED

 

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon

Beyond the realm of dignity
Beyond imagination, please forgive me
How long, how long, how long, how long will it be?
It's a tragedy

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon

What happened to humanity?
There is no understanding such insanity
Hold on, hold on, hold on please if you can
In that troubled land

Tie a yellow ribbon round your heart
Counted every moment we're apart
It's been five long years since you've been here
Tie a yellow ribbon round your heart

++++

 

I’M STUCK (2025, Sirapat Aroon, 21min, A+25)

++++++++

ส่วนเราเคยดู FRANKENSTEIN เวอร์ชั่นของ Kenneth Branagh กับ Paul Morrissey

+++++++++

 

ALL THE PAINS FROM FILM FESTIVALS IN 1998-2025

 

มาจดบันทึกความทรงจำว่า เราฟังเทป “เทศกาลหนัง พังกระโปก!” ของ Man on Film จบแล้ว งดงามที่สุด ดีใจมาก ๆ ที่มีการพูดคุยกันถึงเทศกาล Bangkok International Film Festival 2025 กันอย่างเต็มที่ เพราะเราชอบหนังในเทศกาล BKKIFF 2025 อย่างรุนแรงมาก ถือได้ว่าเป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เลือกหนังได้ตรงใจเรามากที่สุดในชีวิต cinephile ของเราเลย คือแค่มีงาน retrospective ของ Harun Farocki กับ Ryusuke Hamaguchi นี่ก็กราบตีนอย่างสุด ๆ แล้ว และหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เลือกมาในงาน ทั้ง DRY LEAF, AGON, DRACULA, RESURRECTION, GOD WILL NOT HELP, I ONLY REST IN THE STORM, DIRECTOR’S DIARY, etc. นี่ก็ตรงใจเราอย่างถึงที่สุด

 

เหมือนการจัด International Film Festival ใน Bangkok แบบนี้คือ “ช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด” ในแต่ละปีน่ะ ตั้งแต่ Bangkok Film Festival ของ Brian Bennett ในปี 1998 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน คือเราเป็นคนฐานะยากจนที่ไม่มีเงินเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะฉะนั้น “ความสุขสูงสุด” ของเราในแต่ละปี ก็คือการได้ลางานเพื่อไปหมกตัวใน Bangkok Film Festival (1998-2004), World Film Festival of Bangkok (2003-2024) และ Bangkok International Film Festival (2003-2025) นี่แหละ

 

เพราะฉะนั้นเราก็เลยดีใจมาก ๆ ที่ podcast นี้พูดคุยกันถึง BKKIFF 2025 มันเหมือนเป็นการช่วยจดบันทีกความทรงจำที่มีต่อเทศกาลนี้ และถ้าหากวันหนึ่งวันใดในอนาคต เราอยากรำลึกถึง “ช่วงเวลาที่เรามีความสุขมากที่สุดในปี 2025” เราก็อาจจะเปิด podcast นี้ฟังอีก เพราะมันได้ช่วยบันทึกความทรงจำที่มีต่ออะไรต่าง ๆ ในเทศกาลนี้เอาไว้แล้ว

 

ชอบมาก ๆ ที่ podcast นี้มีการพูดถึงปัญหาต่าง ๆ ในเทศกาลเอาไว้ด้วย เผื่อถ้าหากมีการจัดเทศกาลหนังแบบนี้อีก ทางผู้จัดงานจะได้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก (เราหวังว่าอย่างนั้นนะ)

 

ส่วนตัวเรานั้น เราก็พบว่าเทศกาล BKKIFF 2025 มีปัญหาเยอะมากเช่นกัน แต่เราไม่ค่อยได้เขียนถึงปัญหาในเทศกาลนี้ เพราะว่าเพื่อน ๆ ได้เขียนถึงไปหมดแล้ว เราก็เลยไม่ต้องเขียนซ้ำอีก 55555 และพอเราฟัง podcast นี้ เราก็เลยพบว่า เรา “โชคดี” มาก ๆ ด้วยใน 2 เหตุการณ์ด้วยกัน นั่นก็คือ

 

1. เราดู DIRECTOR’S DIARY (2025, Aleksandr Sokurov, Russia, documentary, 5hrs 5mins, A+30) ในการฉายรอบที่สอง ซึ่งการฉายราบรื่นดี ไม่มีปัญหาอะไร เราก็เลยดูหนังเรื่องนี้อย่างมีความสุขสุดขีดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

แต่พอเราฟัง podcast นี้ เราก็เลยพบว่า ในการฉายรอบแรกนั้น ซับไตเติลภาษาไทยมันวิ่งนำหน้าตัวหนังไปราว 15 นาทีในช่วงครึ่งหลังของหนัง หนักมาก ๆ คือเหมือนซับไตเติลภาษาไทยขึ้นตัวอักษรอะไรก็ตามมาให้เราอ่าน เราจำเป็นต้องรออีก 15 นาทีแล้วเราถึงจะค่อยเห็นภาพที่มันซิงค์กับซับไตเติลนั้น นึกว่าบ้า

 

ก็เลยถือว่าเป็นโชคดีของเราที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในการฉายรอบแรก เห็นใจคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในรอบแรกมาก ๆ

 

2. เราได้ดู ON THE ROAD (2025, David Pablos, Mexico, A+30) ในรอบที่ซับไตเติลภาษาอังกฤษ+ภาษาไทย ไม่ซิงค์กับภาพบนจออย่างรุนแรงเช่นกัน เหมือนซับไตเติลมันมาช้ากว่าภาพราว 1-5 นาทีในบางช่วง อะไรทำนองนี้ คือบางครั้งซับก็ไล่ตามภาพทัน แต่ในหลาย ๆ ครั้งซับก็ขึ้นช้ากว่าภาพนานหลายนาที

 

แต่อันนี้ก็เป็นโชคดีของเรา ที่เคยเรียนภาษาสเปนเมื่อ 30 ปีก่อน เพราะฉะนั้นตอนที่เราดู ON THE ROAD เราก็เลยพยายามทบทวนภาษาสเปนที่เคยเรียนมา แล้วก็พยายามจับคำภาษาสเปนที่ตัวละครพูด เพื่อจะได้นำมาเชื่อมโยงกับซับไตเติลที่ขึ้นตามมาในอีก 5 นาทีต่อมา 55555 เราก็เลยไม่ได้อารมณ์เสียอย่างรุนแรงมากนัก แต่เราก็เห็นด้วยว่า เหตุการณ์แบบนี้มันถือเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงมาก และถ้าหากเราไม่เคยเรียนภาษาสเปนมาก่อน เราก็คงอารมณ์เสียอย่างรุนแรงขณะที่ดูหนังเรื่องนี้เช่นกัน

 

สรุปว่า โดยรวม ๆ แล้ว เรารู้สึกว่า BKKIFF 2025 มีปัญหาเยอะมาก แต่อาจจะเป็นเพราะเราดวงดี เราก็เลยไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากปัญหาในงานนี้มากนัก แต่เราก็ขอสนับสนุนให้ทุกคนช่วยกันพูดและเขียนถึงปัญหาในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ กันต่อไปนะ เพราะการพูดและเขียนถึงปัญหาเหล่านี้จะได้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดแบบนี้ขึ้นอีก

 

เนื่องจากเพื่อน ๆ ได้พูดและเขียนถึงปัญหาต่าง ๆ มากมายใน BKKIFF 2025 ไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็เลยขอจดบันทึกความทรงจำถึงปัญหาร้ายแรงที่เราเคยเจอในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ในปีก่อน ๆ แทนแล้วกัน

 

1. โดยส่วนตัวแล้ว เรา “อารมณ์เสีย” กับ World Film Festival of Bangkok 2024 มากกว่า BKKIFF 2025 ซึ่งอันนี้มันเป็นเรื่องของ “ดวง” จริง ๆ เหมือนช่วง WFFBKK 2024 นั้น เป็นช่วงที่เรา “ดวงซวย”

 

คือใน WFFBKK 2024 นั้น มันมีการฉายภาพยนตร์เรื่อง REVOLVING ROUNDS (2024, Johann Lurf + Christina Jauernik, Austria, A+30) ที่เป็นหนังสามมิติ แล้วเหมือนทางโรง SF CENTRAL WORLD มีปัญหาเหี้ยห่าอะไรก็ไม่รู้ ก็เลยเปลี่ยน “โรงฉาย” หนังเรื่องนี้ถึง 2 ครั้ง และสร้างปัญหาให้กับเราที่ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว ต้องคอยเอาตั๋วไปเปลี่ยนใหม่

 

เหมือนตอนที่มีประกาศเปลี่ยนโรงครั้งแรก เราก็เลยเอาตั๋วที่ซื้อมาแล้วไปเปลี่ยนเป็นตั๋วสำหรับโรงใหม่ ซึ่งก็ทำให้เราเสียเวลามาก

 

แล้วพอถึงวันฉายจริง 13 พ.ย. 2024 ก็มีประกาศเปลี่ยนโรงฉายใหม่อีก เราก็เลยจะเอาตั๋วไปเปลี่ยนอีกครั้ง แต่พนักงาน SF ในชั้นขายตั๋วบอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนตั๋ว เราสามารถเอาตั๋วที่มีอยู่แล้วไปเข้าโรงใหม่ได้เลย

 

แต่พอเรายื่นตั๋วหนังนี้เพื่อจะเข้าไปดูหนังในโรง พนักงาน SF ตรงทางเข้าโรงหนังกลับไม่ให้เราเข้าไปดูหนัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พนักงาน SF มันไม่มีการประสานงานกันเลย เราก็เลยโมโหมาก ๆ โกรธสุดขีดมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เราควบคุมอารณ์ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เราก็เลยแผดเสียงใส่พนักงานอย่างรุนแรง จนในที่สุดพนักงานก็ปล่อยให้เราเข้าไปดูหนังได้ แต่เราก็ยังคงโกรธเกลียดและไม่ให้อภัยเหตุการณ์นี้มาจนถึงปัจจุบัน

 

เพราะฉะนั้นถึงแม้ BKKIFF 2025 จะมีปัญหาเหี้ยห่ามากมายเพียงใด แต่โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันก็โกรธเกลียดและชิงชังการทำงานของพนักงาน SF ในช่วง WFFBKK 2024 มากกว่าค่ะ (มันควรจะประสานงานกันให้ดีกว่านี้ไหม) ซึ่งอันนี้มันเป็นเรื่องของดวงจริง ๆ เหมือนช่วง BKKIFF 2025 เป็นช่วงที่เรา “ดวงดี” แต่ช่วง WFFBKK 2024 เป็นช่วงที่เรา “ดวงซวย”

 

2. ช่วง Bangkok Film Festival ในปี 1998-2000 มีการประกาศตารางฉายหนังล่วงหน้าก็จริง แต่ก็เหมือนชอบมีการปรับเปลี่ยนตารางหนังที่จะฉายไปเรื่อย ๆ ในแต่ละวันในเทศกาลนะ เหมือนมีการโยกย้ายรอบฉายหนังบางเรื่อง หรือมีการ cancel หนังบางเรื่องอย่างกะทันหัน ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นเราก็เลย paranoid ต้องคอยมายืนจ้องตารางฉายหนังที่ติดไว้หน้าโรงหนังใน Emporium ในทุก ๆ วันของเทศกาล เพื่อตรวจสอบดูว่ามันมีการโยกย้ายรอบฉายอะไรบ้าง เราจะได้ปรับแผนใหม่ได้ แล้วยุคนั้นมันเป็นยุคที่ไม่มีการสื่อสารกันทางอินเทอร์เน็ตด้วย และเป็นยุคที่โทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลายด้วย (เราเพิ่งซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกในชีวิตในปี 2006) เพราะฉะนั้นคนดูก็เลยต้องมาตรวจสอบตารางฉายกันหน้าโรงหนังเท่านั้นเพื่อดูว่ามีการโยกย้ายรอบหนังอะไรบ้าง

 

3. ในปี 2008 มีการจัด “เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพ ครั้งที่ 5” ในหลาย ๆ สถานที่ฉาย ซึ่งรวมถึงที่ Esplanade Ratchada

 

ในวันที่ 26 มี.ค. 2008 เรากับเพื่อนก็เลยไปที่ Esplanade Ratchada เพื่อจะดูหนังทดลองในโปรแกรม BEFF CORE – TRACK CHANGES แต่พอเราไปจะซื้อตั๋วหนังที่ชั้นสอง พนักงานตรงชั้นขายตั๋วของ Esplanade ก็บอกเราว่า “หนังรอบนี้สำหรับ VIP เท่านั้นค่ะ” เรากับเพื่อนก็เลยต้องกลับบ้าน ไม่ได้ดูหนังทดลองในโปรแกรมนี้เลย

 

แล้วหลังจากนั้นเราก็พบว่า จริง ๆ แล้วมันมีการฉายหนังทดลองนี้ให้ดู “ฟรี” และเพื่อน ๆ ของเราหลายคนก็ได้เข้าไปดู คือคนที่จะดูหนังทดลองนี้ ต้องขึ้นไปขอตั๋วจากเจ้าหน้าที่ใน “ชั้น 3” คือถ้าหากใครขึ้นไป “ชั้น 3” ก็จะได้ตั๋วหนังทดลองโปรแกรมนี้แล้วเข้าไปดูหนังได้ฟรี แต่ถ้าหากใครไปถามพนักงาน Esplanade ชั้นสอง พนักงานชั้นสองก็จะบอกว่า “รอบนี้สำหรับ VIP เท่านั้น” แล้วก็จะไม่ได้เข้าไปดูหนัง ต้องกลับบ้านมือเปล่า อย่างเช่นเรากับเพื่อน

 

คือปัญหาแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง มันประสานงานกันยังไงเนี่ย เหี้ยมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรายังคงจำเหตุการณ์นี้ได้ไม่ลืมแม้เวลาจะผ่านมานาน 17 ปีแล้ว

 

4. และปัญหาที่ทำให้เราอารมณ์เสียตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ก็คือการจัดงาน retrospective ของ Ulrike Ottinger ใน World Film Festival of Bangkok 2005 ในงานนั้นมีการจัดฉายหนังหลายเรื่องของ Ottinger ด้วยฟิล์ม 35 มม.

 

แต่ปัญหาก็คือว่า หนังทุกเรื่องในโปรแกรมนี้ของ Ottinger เป็นหนังเยอรมันที่ไม่มีซับไตเติลภาษาอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าพนักงานในบริษัทของ Ottinger ที่เยอรมนี ส่งฟิล์มมาผิด คือแทนที่เขาจะส่งฟิล์มหนัง 35 มม.แบบที่มีซับไตเติลมาให้ เขากลับส่งฟิล์มที่ไม่มีซับเติลมาให้ ทั้ง MADAME X: AN ABSOLUTE RULER (1975, A+30), FREAK ORLANDO (1981, A+30), DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS (1984, A+30), JOAN OF ARC OF MONGOLIA (1989, A+30) และ TWELVE CHAIRS (2004, 3hrs 18mins)

 

ตอนนั้นเราก็เลยได้ดู MADAME X: AN ABSOLUTE RULER , FREAK ORLANDO , DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS  และ JOAN OF ARC OF MONGOLIA ในแบบไม่มีซับไตเติล เพราะเราซื้อตั๋วล่วงหน้าไปแล้ว แต่เราไม่ได้ดู TWELVE CHAIRS เพราะพอมันไม่มีซับไตเติล เราก็เลยขี้เกียจดู

 

เราเจ็บแค้นกับเหตุการณ์นี้มาก ๆ ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา แต่ความแค้นของเราเพิ่งทุเลาลงในช่วงที่โรคโควิดระบาดหนักในปี 2020-2021 เพราะในช่วงนั้นทางเมืองนอกมีการฉาย MADAME X: AN ABSOLUTE RULER , FREAK ORLANDO , DORIAN GRAY IN THE MIRROR OF THE YELLOW PRESS  และ JOAN OF ARC OF MONGOLIA ให้คนทั่วโลกได้ดูฟรีออนไลน์แบบมีซับไตเติลภาษาอังกฤษ เราก็เลยได้ดูหนัง 4 เรื่องนี้แบบมีซับไตเติลในที่สุด

 

แต่เราก็ยังคงไม่ได้ดู TWELVE CHAIRS (2004, 3hrs 18mins) แบบมีซับไตเติลภาษาอังกฤษอยู่ดีนะ เพราะฉะนั้นความแค้นที่เกิดขึ้นในปี 2005 ก็เลยยังไม่หมดสิ้นไป

 

5. นอกจากปัญหาของ “เทศกาลภาพยนตร์” แล้ว ในบางครั้งเราก็เจอปัญหาจาก “พนักงาน/เจ้าหน้าที่” ของสถานที่ฉายหนังด้วย

 

ปัญหาที่เราเคยเจอก็คือ ในช่วงที่ Filmvirus จัดฉายหนังที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปีแรก ๆ นั้น มีบางครั้งที่เราเดินทางไปดูหนัง แต่เจ้าหน้าที่ห้องสมุดไม่ให้เราเข้าไป โดยบอกเราว่า “วันนี้ไม่มีการฉายหนัง” เราก็เลยงงว่า มันมีการยกเลิกรอบฉายกะทันหันเหรอ ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย ยุคนั้นน่าจะเป็นช่วงราว ๆ ปี 2000 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลาย เราต้องติดตามข่าวสารรอบฉายเหล่านี้จากทาง “หนังสือพิมพ์” เป็นหลัก เราก็เลยต้องเดินทางกลับบ้านมือเปล่า อุตส่าห์ฝ่ารถติดมาถึงม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจ้นทร์ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ดูหนังแต่อย่างใด

 

แล้วเราก็มารู้ในภายหลังว่า จริง ๆ แล้ววันนั้นมันมีการฉายหนังในห้องสมุด แต่อีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดนี่แหละ ที่เสือกมาโกหกเรา ไม่ยอมให้เราเข้าไปดูหนัง

 

แล้วในรอบฉายสัปดาห์ต่อ ๆ มา เราก็เดินทางไปดูหนังที่ห้องสมุดนี้อีก แล้วก็เจออีเจ้าหน้าที่ห้องสมุด บอกเราว่า “วันนี้ไม่มีการฉายหนัง” อีกเหมือนเดิม เราก็เลยยอมจ่ายเงิน 20 บาท เพื่อเข้าไปใช้บริการห้องสมุดในฐานะคนนอก (ในยุคนั้น คนนอกม.ธรรมศาสตร์ ต้องจ่ายเงิน 20 บาท แล้วจะเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดได้ แต่ถ้าหากบอกว่า “มาดูหนัง” ก็จะได้เข้าห้องสมุดฟรี) แล้วพอเราจ่ายเงิน 20 บาทไปแล้ว และเข้าไปในห้องสมุดได้แล้ว เราก็เลยไปบอกเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉายหนัง ว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ห้องฉายหนังก็เลยขึ้นมาบอกเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าห้องสมุดว่า วันนี้มันมีการฉายหนังจริง ๆ แล้วเจ้าหน้าที่ห้องสมุดก็เลยคืนเงิน 20 บาทให้กับเรา เหมือนอีเจ้าหน้าที่ห้องสมุดอ้างว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง) เป็นเพราะไม่มีคนบอกเธอมาก่อนว่า วันนี้มีการฉายหนัง

 

6. เราขอจดบันทึกปัญหาอีกอย่างนึงด้วย ซึ่งถือว่าเป็น “ปัญหาความผิดพลาดที่ส่งผลดีต่อตัวเราเองอย่างไม่คาดฝัน” 55555 คือในยุคนั้นหนังแต่ละเรื่องมักฉายด้วยฟิล์ม 16 มม. และ 35 มม. และเราเข้าใจว่า พอมันฉายด้วยม้วนฟิล์มแบบนี้ มันก็เลยตรวจสอบได้ยากว่า ทางเมืองนอกส่งฟิล์มมา “ถูกเรื่อง” หรือเปล่า

 

และก็มีอยู่ 2 ครั้ง ที่ทางเมืองนอกส่งฟิล์มภาพยนตร์มา “ผิดเรื่อง” แต่เรื่องที่ส่งมาผิด กลับเป็นหนังที่ดีกว่าที่วางโปรแกรมไว้เสียอีก 55555

 

6.1 ใน Bangkok Film Festival ปี 2000 เราซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปดูหนังเรื่อง SEDUCING MAARYA (2000, Hunt Hoe, Canada/India) ในวันที่ 24 ก.ย.ปี 2000 แต่พอเข้าไปในโรงแล้ว ทางผู้จัดงานก็มาประกาศในโรงหนังว่า พอแกะกล่องฟิล์มออกมาแล้ว ก็พบว่า ทางเทศกาลหนังอะไรสักอย่างที่เมืองนอกส่งหนังมาผิดเรื่อง ทางเมืองนอกส่งหนังเรื่อง UNDER THE PALMS (1999, Miriam Kruishoop, Netherlands, A+30) มาแทน เพราะฉะนั้นทางเทศกาลก็เลยฉาย UNDER THE PALMS แทน ส่วนใครที่ไม่อยากดูหนังเรื่องนี้ก็ refund ตั๋วได้

 

เราตัดสินใจดู UNDER THE PALMS ไป และก็พบว่าชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงสุดขีด เราก็เลยเขียนความเห็นที่มีต่อหนังเรื่องนี้ลงใน IMDB ด้วย

 

ทางเทศกาล Bangkok Film Festival ประกาศจัดรอบฉาย SEDUCING MAARYA ใหม่ในวันที่ 28 ก.ย.ปี 2000 โดยให้ Hunt Hoe หิ้วฟิล์มหนังเรื่องนี้จากแคนาดามากรุงเทพด้วยตัวเอง (หรืออะไรทำนองนี้) เราก็เลยซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปดู SEDUCING MAARYA และก็พบว่า เราชอบ UNDER THE PALMS มากกว่าเยอะเลย 55555 สรุปว่าการส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่องช่วยให้เราได้ดูหนังที่ชอบสุดขีดโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

6.2 ในปี 1998 ทางสถาบันเกอเธ่ ซอยสาทร 1 ประกาศจัดงาน Rainer Werner Fassbinder Retrospective โดยมีหนังเรื่อง ALI: FEAR EATS THE SOUL (1974) ฉายด้วย

 

แต่พอเรากับเพื่อน ๆ เดินทางไปดูหนังเรื่องนี้ที่เกอเธ่ เจ้าหน้าที่เกอเธ่ก็มาประกาศในโรงหนังว่า ทางเมืองนอกส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่อง ส่งเรื่อง CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY (1975, Peter Lilienthal, West Germany, A+30) มาแทน เพราะฉะนั้นทางเกอเธ่ก็เลยจำเป็นต้องฉาย CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY ในวันนั้น เราก็เลยได้ดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนังที่เราชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป เหมือนตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราพบว่าหนังมันมี wavelength ที่ประหลาดมากจนเราจูนไม่ติด แต่พอดูจบแล้ว และหวนคิดถึงหนังเรื่องนี้ทีไร เราก็ยิ่งชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

 

และในอีกหลายสัปดาห์ต่อมา เราก็ได้ดู ALI: FEAR EATS THE SOUL ที่สถาบันเกอเธ่ ซึ่งก็เป็นหนังที่เราชอบอย่างรุนแรงสุดขีดเหมือนกัน แต่เราอาจจะชอบ CALM PREVAILS OVER THE COUNTRY ในระดับที่มากกว่าหรือเท่ากับ ALI: FEAR EATS THE SOUL

 

เหมือน “การส่งฟิล์มหนังมาผิดเรื่อง” ในครั้งนั้น ช่วยให้เราได้ดูหนังที่หาดูได้ยากมาก และเป็นหนังที่เราชอบสุดขีด ซึ่งก็ถือเป็นโชคดีของเราไป เพราะในปัจจุบันนี้ การหาดูหนังของ Fassbinder น่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่การหาดูหนังของ Peter Lilienthal ยังคงเป็นเรื่องที่ยากมาก

+++

 

Favorite Soundtrack from CRAYON SHIN-CHAN THE MOVIE: SUPER HOT! THE SPICY KASUKABE DANCERS (2025, Masakazu Hashimoto, Japan, animation, A+30) ดีใจสุดขีดที่หนังชินจังภาคนี้นำเอาเพลง DANGER ZONE ของ Kenny Loggins มาใช้ด้วย ซึ่งเราเดาว่าการใช้เพลงนี้ในชินจังในฉากนั้นคงเป็นการจงใจ tribute ให้หนังเรื่อง TOP GUN (1986, Tony Scott, A+30) ส่วนฉากอื่น ๆ ในหนังชินจังภาคนี้คงเป็นการ tribute ให้หนังเรื่องอื่น ๆ ตั้งแต่ RRR (2022, S.S. Rajamouli, India, A+30) ไปจนถึง MISSION: IMPOSSIBLE

 

ดีใจที่เพลง DANGER ZONE ได้รับยอดวิวไปแล้ว 136 ล้านวิว แต่ถ้าหากพูดถึงเพลงประกอบหนังเรื่อง TOP GUN แล้ว เพลงที่เราชอบที่สุดน่าจะเป็น MIGHTY WINGS ของ Cheap Trick

https://www.youtube.com/watch?v=siwpn14IE7E&list=RDsiwpn14IE7E&start_radio=1

++++

 

DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) นี่ถือเป็น one of my most favorite films I saw in 2025 เลย ด้วยเหตุผลที่ส่วนตัวมาก ๆ เพราะว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง ทั้งในตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ในวันที่ 24 ต.ค. และทุกครั้งที่เรานึกถึงหนังเรื่องนี้ในช่วง 16 วันที่ผ่านมา ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรหนังเรื่องนี้ถึงทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง

 

คือเราร้องห่มร้องไห้ในฉากที่โนบิตะหลุดเข้าไปในภาพวาดโง่ ๆ ของตัวเอง แล้วเจอกับโดเรมอน “เวอร์ชั่นต๊อกต๋อย” (ตามเสียงพากย์ภาษาไทย) หรือที่เราขอเรียกว่า “โดเรมอนในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอก” น่ะ มันเป็นโดเรมอนที่แทบไม่เหลือสภาพความเป็นโดเรมอนอีกต่อไปแล้ว เป็นโดเรมอนที่สิ้นไร้ไม้ตอก จะพังมิพังแหล่มาก ๆ แต่โดเรมอนตัวนั้นก็ยังคงเปี่ยมด้วยความรักและความหวังดีต่อโนบิตะ และพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะช่วยชีวิตของโนบิตะเอาไว้ให้ได้

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราถึงร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงให้กับฉากนี้ และเราก็ร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึงฉากนี้ในช่วง 16 วันที่ผ่านมา เราเดาว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะว่า “โดเรมอนในสภาพจะพังมิพังแหล่” นั้น มันทำให้เรานึกถึง “ลูกหมี” ของเรา มันเหมือนความรักความผูกพันระหว่างโนบิตะกับโดเรมอนในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอกนั้น มันทำให้นึกถึงความรักความผูกพันระหว่างเรากับตุ๊กตาหมีของเรา

 

เราก็เลยขอยกให้ DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) เป็นหนึ่งในหนังที่เราชอบที่สุดที่ได้ดูในปีนี้ และก็ถือเป็นหนึ่งในโดเรมอนภาคที่เราชอบมากที่สุด โดยแข่งกับภาค DORAEMON: NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD (1995, Tsutomu Shibayama, Japan, animation, A+30) ที่เราชอบสุดขีดเหมือนกัน

 

อีกสาเหตุนึงที่ทำให้เราชอบภาค NOBITA’S ART WORLD TALES เป็นเพราะว่า ในภาคนี้โนบิตะแทบไม่มีโอกาสได้แสดง “ความโง่” และ “ความขี้เกียจ” ออกมาด้วยน่ะแหละ 55555 เพราะเราเกลียดผู้ชายที่ “โง่” และ “ขี้เกียจ” มาก ๆ และเราก็มีปัญหากับพฤติกรรมนี้ของโนบิตะทุกครั้งในโดเรมอนแต่ละภาค แต่พอในภาค ART WORLD TALES นี้ โนบิตะแทบไม่ได้แสดงนิสัยแบบนี้ออกมา มันก็เลยช่วยให้เรามีความสุขกับการดูหนังเรื่องนี้มาก ๆ

 

จริง ๆ แล้วเราชอบ “บทภาพยนตร์” ของ  DORAEMON: NOBITA’S ART WORLD TALES (2025, Yukiyo Teramoto, Japan, animation, A+30) กับ CRAYON SHIN-CHAN THE MOVIE: SUPER HOT! THE SPICY KASUKABE DANCERS (2025, Masakazu Hashimoto, Japan, animation, A+30) อย่างรุนแรงมาก ๆ ด้วย เพราะว่าในบทหนังสองเรื่องนี้ ผู้เขียนบทเหมือนแอบหยอดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไว้ในช่วงต้นเรื่อง ซึ่งดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญอะไรทั้งสิ้น แต่อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สลักสำคัญที่ถูกหยอดไว้เรื่อย ๆ ในระหว่างที่เนื้อเรื่องดำเนินไปนี่แหละ กลับกลายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างรุนแรงในฉากไคลแมกซ์ของหนัง 2 เรื่องนี้ ซึ่งเราก็ชอบอะไรแบบนี้มาก ๆ

 

 

No comments: